ระยะนี้มีข่าวลือเรื่องรัฐประหารไม่เว้นแต่ละวัน และเป็นเรื่องน่าแปลกที่ผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องพากันเงียบกริบ ทั้งๆ ที่สามารถบอกกล่าวความจริงให้เข้าใจและเชื่อมั่นได้ว่าจะมีรัฐประหารหรือไม่ จึงทำให้เกิดความตื่นตระหนกและความวิตกกังวลแพร่ขยายออกไป ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อบ้านเมือง
การแจงความจริงเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องยากอะไร เพราะการรัฐประหารนั้นพูดง่ายแต่ทำยาก และไม่ใช่ว่าจะทำได้ตามใจชอบ รวมทั้งต้องคาดหมายถึงสาเหตุและผลที่เกิดขึ้นว่าจะเป็นประการใด จะเป็นผลดีผลร้ายต่อบ้านเมืองประการใด ใช่ว่าใครนึกอยากจะทำก็ทำได้ตามใจชอบ
เมื่อเกิดข่าวลือแพร่หลายกันออกไปและยังเป็นที่วิตกกังวลของผู้คน จึงจำเป็นอยู่เองที่จะต้องทำความเข้าใจในเรื่องนี้เพื่อเป็นหลักในการตั้งสติและใคร่ครวญว่าการรัฐประหารจะเกิดหรือไม่ประการใด
อันการรัฐประหารนั้นก็คือการเข้ายึดอำนาจรัฐและประเทศไทยก็ผ่านบทเรียนเรื่องนี้มาแล้วนับตั้งแต่ปี 2475 เป็นต้นมา หลายครั้งหลายคราที่เกิดรัฐประหารบ้างก็สำเร็จ บ้างก็ล้มเหลว และผู้ก่อการก็กลายเป็นกบฏ ต้องถูกประหารชีวิตบ้าง ถูกจำคุกบ้าง ต้องลี้ภัยบ้าง โดยสรุปก็คือไม่มีชะตากรรมที่ดีเลย
แม้กระทำรัฐประหารสำเร็จแต่ผลบั้นปลายในที่สุดก็ไม่มีชะตากรรมที่ดี บทเรียนของการรัฐประหารที่สำเร็จตั้งแต่ 2475 เป็นต้นมาล้วนเป็นสิ่งที่พิสูจน์อย่างหนักแน่นแล้วว่าการรัฐประหารแม้สำเร็จแล้วแต่มักจะไม่สามารถดำเนินการให้สำเร็จตามเหตุผลที่อ้างในการรัฐประหารเลยแม้แต่ครั้งเดียว
เพราะในที่สุดแล้วคณะรัฐประหารก็เหลิงระเริงในอำนาจ ไม่สามารถทนทานต่อความเย้ายวนแห่งอำนาจและผลประโยชน์ตลอดจนการประจบสอพลอได้ เป็นเหตุให้ในที่สุดผู้ที่ช่วงชิงได้ไปซึ่งผลประโยชน์เป็นกอบเป็นกำยั่งยืนยาวนานก็กลายเป็นพวกประจบสอพลอที่เลียมือเลียตีนคณะรัฐประหาร จนกระทั่งบางหมู่บางคณะได้กลายเป็นผู้มีอำนาจที่แท้จริงในบ้านเมืองสืบเนื่องยาวนานมากว่า 30 ปี
คนเหล่านี้ได้สร้างกรรมทำเข็ญไว้กับบ้านเมือง ได้วางหมากวางกลเพื่อให้ดอกผลของการรัฐประหารภายหลังการเลือกตั้งแล้วต้องไปสู่ทางตันและต้องกลับไปสู่การรัฐประหาร ทำให้คนเหล่านั้นกลับคืนสู่อำนาจได้อย่างแยบยล
ลองทอดสายตาดูกันดีๆ ก็จะเห็นว่ากรณีทั้งหลายที่เกิดขึ้นในระยะที่ผ่านมานั้นถึงวันนี้เป็นเช่นที่ว่านี้หรือไม่ ก็ใครเล่าที่มีอำนาจที่แท้จริงอย่างยาวนานและอยู่ในอำนาจรัฐ จนกระทั่งหัวหน้าคณะรัฐประหารเองก็กลายเป็นลูกไก่อยู่ในกำมือ จะทำการสิ่งใดก็ต้องขอความยินยอมเห็นชอบเสมอไป
และในที่สุดผู้ที่รับชะตากรรมก็คือประเทศชาติประชาชน และคณะรัฐประหารนั้น ความจริงนี้เห็นตำตากันมาช้านานแล้ว ดังนั้นถึงเวลาวาระที่ประเทศไทยจะต้องไม่มีการรัฐประหารอีกต่อไป หรือถ้าหากจะมีก็ต้องเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว และเป็นหน้าที่ของคนทั้งหลายที่จะต้องทำให้สายใยชีวิตจิตวิญญาณของการรัฐประหารสิ้นสุดลง หาไม่แล้วบ้านเมืองของเราก็จะแตกสลายกลายเป็นขี้ข้าชาติอื่นในที่สุด
บทเรียนการรัฐประหารทุกครั้งสรุปได้ดังนี้
ประการแรก ต้องมีความเป็นเอกภาพ พร้อมเพรียงและตระหนักถึงอันตรายอันก่อให้เกิดความจำเป็นที่จะต้องกระทำรัฐประหารพร้อมกันทุกเหล่าทัพ และระยะหลังนี้ก็จะรวมทั้งตำรวจด้วย หากไม่มีความเป็นเอกภาพในข้อนี้ก็ยากที่การรัฐประหารจะสำเร็จได้
ประการที่สอง ต้องมีปัญหาเกิดขึ้นในบ้านเมืองอย่างรุนแรงหนักหนาสาหัส ถึงขนาดคนทั้งหลายเห็นพ้องต้องกันว่าไม่สามารถแก้ไขปัญหาโดยวิถีทางอื่นได้ หากปล่อยไปก็จะยิ่งเสียหายมากขึ้น จึงต้องใช้อำนาจรัฐประหารหยุดยั้งเหตุร้ายเหล่านั้นเสีย
ประการที่สาม มีความขัดแย้งเกิดขึ้นระหว่างผู้ถืออำนาจรัฐกับกองทัพ ซึ่งหลายครั้งแค่มีความขัดแย้งเรื่องนี้ก็เกิดรัฐประหารแล้ว แต่มาถึงปัจจุบันนี้ความขัดแย้งแค่นี้ไม่สามารถยกเป็นข้ออ้างในการรัฐประหารได้อีกแล้ว เพราะประชาชนตื่นรู้และมีประสบการณ์ ทั้งต่อต้านขัดขวางการรัฐประหาร ดังนั้นการรัฐประหารสองครั้งหลังสุดนี้จึงต้องมีเสียงประชาชนเรียกร้องเข้าประกอบด้วย
ประการที่สี่ การรัฐประหารเกิดผลกระทบต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างรุนแรง ดังนั้นทุกครั้งจึงมีการอ้างว่าคณะรัฐประหารได้ถวายการอารักขาพระมหากษัตริย์ พระบรมวงศานุวงศ์ และทูตานุทูตแล้ว จากนั้นก็ขอเข้าเฝ้าฯ และเพื่อให้บ้านเมืองสงบเรียบร้อยก็โปรดให้เข้าเฝ้าฯ เท่ากับเป็นสัญญาณหมายว่าคณะรัฐประหารยอมรับสถาบันพระมหากษัตริย์และพระมหากษัตริย์ก็รับรองการรัฐประหารนั้น ซึ่งไม่มีทางอื่นที่จะเป็นไปนอกจากนี้
ยกเว้นบางกรณีเช่นกรณีเมษาฮาวาย พระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินออกจากกรุงเทพมหานครไปยังโคราช จึงทำให้การรัฐประหารครั้งนั้นล้มเหลวและสิ้นสุดลง จนกระทั่งคณะรัฐประหารได้รับอภัยโทษในที่สุด
มาถึงวันนี้พิษภัยของการรัฐประหารเป็นที่ประจักษ์ชัด โดยเฉพาะพิษร้ายจากการวางหมากกลไว้ในรัฐธรรมนูญ 2560 ซึ่งเป็นรากฐานของปัญหาทั้งหลายของบ้านเมือง จึงเกิดความขัดแย้งอย่างกว้างขวาง และเป็นที่มาของข่าวลือเรื่องการรัฐประหารนั้น
แต่มาถึงวันนี้เสียงต่อต้านการรัฐประหารกึกก้องไปทั้งบ้านทั้งเมือง จึงยากที่การรัฐประหารจะเกิดขึ้นได้ และถ้าหากเกิดขึ้นก็คงจะเป็นครั้งสุดท้าย เพราะประชาชนนอกจากไม่ยินยอมแล้ว ยังเป็นไปได้ที่จะขอถวายคืนพระราชอำนาจเพื่อพระราชทานประชาธิปไตยตามพระราชปณิธานของล้นเกล้ารัชกาลที่ 7 ให้สำเร็จดังพระราชประสงค์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี