นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตคณะกรรมการการเลือกตั้งจั่วหัวข้อความในเฟซบุ๊คของเขาว่า “ไพบูลย์ นิติตะวัน” ก่อนจะร่ายเนื้อความตามมาว่า...
“เป็นรองประธาน กมธ.วิสามัญศึกษาปัญหา หลักเกณฑ์วิธีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มีการประชุม 23 ครั้ง จากวันอังคารที่ 24 ธันวาคม 2562 ถึงวันที่ 27 สิงหาคม 2563 ได้ผลผลิตเป็นรายงานการศึกษา ความยาว 615 หน้า
เป็นประธาน อนุกรรมการศึกษาเนื้อหารัฐธรรมนูญ ที่ดูรายละเอียดปัญหาของรัฐธรรมนูญรายมาตรา ใช้เวลาในการศึกษาคู่ขนานไปกับ กมธ. ได้ประชุมทั้งสิ้น 18 ครั้ง จากวันที่ 22 มีนาคม 2563 ถึงวันที่ 26 สิงหาคม 2563 ได้ผลผลิตเป็นรายงานยาว 185 หน้า
เป็นหนึ่งในผู้ชี้แจงและตอบคำถามในการรายงานการศึกษาแก้รัฐธรรมนูญต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2563 ใช้เวลาในการประชุม 8 ชม.มีผู้อภิปรายที่เป็น สส. 33 คน
เป็นหนึ่งในผู้ร่วมลงชื่อเสนอญัตติของพรรคร่วมรัฐบาล ที่ให้มีการแก้ไข มาตรา 256 ให้เอา สว.ออกจากขั้นตอนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และให้มี ส.ส.ร.เพื่อร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ยกเว้นหมวด 1 และ หมวด 2
เป็นผู้เสนอให้รัฐสภา มีมติตั้งกรรมาธิการศึกษาญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญ เมื่อคืนวันที่ 24 กันยายน 2563 เพราะรัฐสภาต้องการเวลาศึกษาเพิ่มเติม
ไพบูลย์ นิติตะวัน ใช้เวลามากกว่า 8 เดือน ศึกษารัฐธรรมนูญร่วมกับ กมธ. และ อนุ กมธ. นับสิบท่าน ถกเถียงถึงปัญหาของรัฐธรรมนูญทุกแง่มุม แล้ววันนี้ ยังขอศึกษาเพิ่มเติม
บัณฑิตผู้คงแก่เรียน หรือ ???”
ผมคิดว่า ข้อความทั้งหมดของอาจารย์สมชัย คือการ “ฉายภาพ” ความ “ไม่เชื่อ” ว่าสมาชิกรัฐสภาจะ “เขลา” หรือ “ขาดข้อมูลเพียงพอ” ที่จะตัดสินใจลงมติเป็นอย่างหนึ่งอย่างใดแต่เป็นการ “แกล้งโง่” เพื่อ “ซื้อเวลา” ซึ่งผมก็คิดเช่นนั้น
ปัญหาทั้งหมดคือ “ความไม่จริงใจ” และ “ไม่ตั้งใจ” ที่จะแก้ไขมากกว่า!!
สว.จะแก้รัฐธรรมนูญที่ “ลดอำนาจ” ตัวเอง หรืออาจทำให้ตัวเอง “สิ้นสภาพ” ก่อนเวลาอันควรทำไม?
อาจรวมถึงจะ “ทรยศ” ต่อผู้เลือกทำไมด้วย!!
รัฐบาลกับพรรคพลังประชารัฐ ก็ได้ประโยชน์จากรัฐธรรมนูญนี้อยู่ในขณะนี้ โดยเฉพาะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ได้ สว.เป็นบังเกอร์ เป็น “กรมธรรม์ประกันอุบัติเหตุทางการเมือง” อยู่อย่างแข็งแรง จะ “หนุน” การแก้ไขที่ทำให้ “ชีวิตทางการเมือง” ไม่ปลอดภัยทำไม?
เมื่อชีวิตทางการเมืองของ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ปลอดภัย หรือมีอันเป็นไป พรรคพลังประชารัฐจะ “อยู่เพื่อใคร?”“อยู่ทำไม?” “อยู่ให้ได้อะไร?” มีใครเป็นตัว “เชื่อม” หรือ “สานประโยชน์” ให้บรรดานักการเมืองประเภท “รวมการเฉพาะกิจจัดตั้งรัฐบาล” มืออาชีพพวกนี้ ยังรวมตัวกันแบบนี้ต่อไป
ขณะที่ 2 พรรคร่วม ที่เป็นพรรคใหญ่ อย่างภูมิใจไทยกับประชาธิปัตย์ ก็ยังขาด “ความตั้งใจ” ที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญอย่างจริงจังเหมือนกัน อยู่ในสภาพที่ “รอได้” แม้ประชาธิปัตย์จะใช้เรื่องนี้เป็นเงื่อนไขในการเข้าร่วมรัฐบาล แต่ก็ไม่เคย “เร่งรัด” หากไม่มีกระแสกดดันจากภายนอกช่วย ก็ไม่รู้ว่าจะ “ตามน้ำ” อย่างที่เป็นอยู่หรือไม่ และแม้ในขณะตามน้ำ ก็ใช่จะเร่งรีบ “จ้วงว่าย” ให้ถึงฝั่งอย่างรวดเร็ว เป็นแต่ “กระทุ่มน้ำ” เพื่อ “ประคองสถานการณ์” เอาไว้เท่านั้นเอง
ส่วนภูมิใจไทย ไม่ได้จริงจังอะไรกับเรื่องนี้มาตั้งแต่ต้น แก้ก็ได้ ไม่แก้ก็ได้ ไม่ใช่เรื่องมีอุดมการณ์หรือไม่มีอุดมการณ์ แต่เป็นเรื่องที่มัน “ไม่มีผลอะไร” กับพรรคภูมิใจไทย ที่ “เป็นพรรคร่วมรัฐบาลต่อไป” ก็ดี หรือเลือกตั้งใหม่ก็ ไม่มีปัญหา”
ขณะเดียวกัน แรงกดดันจาก “นอกสภา” ยังไม่ได้สร้าง “อำนาจต่อรอง” หรืออำนาจกดดัน” ที่ “ดีพอ”
การชุมนุมของกลุ่มต่างๆ ขาดความจริงจังชัดเจนต่อประเด็น “แก้รัฐธรรมนูญ” เพราะถูกบั่นทอนด้วยความเลอะเทอะบ้าบอ ของพิธีกรรม “ปักหมุด” “จับ สว. ใส่หม้อถ่วงน้ำ” ชูสามนิ้ว และอะไรๆ ที่เป็นแค่ “เปลือก”
ร้ายแรงกว่านั้น คือ สภาพการต่อว่าด่าทอ “สถาบันพระมหากษัตริย์” ทั้งความเป็น ตัวบุคคล และความเป็นสถาบัน อย่างก้าวร้าว หยาบคาย “กระทบความรู้สึกของคนไทย”มากกว่าการแสดง “เนื้อหา” ที่ประกอบไปด้วย “หลักการและเหตุผล” อย่าง “เคารพ” คือเคารพทั้งสถาบันและเคารพความรู้สึกของคนส่วนใหญ่ ที่ยัง “รอได้” ในเรื่องนี้ ยังไม่คิดที่จะ “หักหาญ” เสียในเวลานี้
ไม่ถึงกับไม่มีเชื้อในความรู้สึก แต่อยู่ระหว่าง“ให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์”
ประกอบกับความรู้ต่อ “รัฐธรรมนูญ” ยังถูกทำให้อยู่ “ไกลตัว” ประชาชน เพราะแม้แต่ช่วงการลงมติ ก็มิได้มีการ “แจกเนื้อหาในรัฐธรรมนูญ” ให้ทั่วถึง และไม่ได้เปิดให้มีการ “ให้ข้อมูลรอบด้าน” อย่างกว้างขวาง สร้างบรรยากาศความเป็นขั้วข้าง เอา “ผีทักษิณ” มาหลอกหลอนคน เอาเหตุผลว่า ถ้าไม่รับรัฐธรรมนูญ พล.อ.ประยุทธ์ (ซึ่งเวลานั้นกระแสนิยมยังดี และแน่นอน ถูกทำให้รู้สึกกว่า ดีกว่าทักษิณแน่ๆ) ต้องรับผิดชอบด้วยการออกไปจากการเป็นนายกฯ กับอีกพวกมองว่า รับๆ ไปก่อนแล้วค่อย “ไปแก้ทีหลัง” รับเพื่อ “ปิดสวิตช์ คสช.”
รัฐธรรมนูญ จึงอยู่ในฐานะ “การเมือง” ไม่ใช่ในฐานะ “สติปัญญา”
คนส่วนใหญ่ ไม่ได้รับ หรือไม่รับ เพราะกระจ่างในปัญญา ว่าดีหรือไม่ดีอย่างไร แต่เป็นไปตาม “บรรยากาศทางการเมือง” ที่ถูกสร้างขึ้นจากทุกฝ่าย
และถึงเวลานี้ อารมณ์ทำนองนั้นก็ยังถูก “ปั่น” อยู่
ฝ่ายพรรคอนาคตใหม่ ที่กลายมาเป็นกลุ่มก้าวหน้า กับพรรคก้าวไกล ก็ปั่นเรื่อง “แก้รัฐธรรมนูญ” ให้ “สุดโต่ง” ไปถึงขั้น “กระทบกับสถานภาพของสถาบันพระมหากษัตริย์” ด้วยท่าทีที่ “ไม่เป็นบวก” ในการโน้มน้าวคนส่วนใหญ่ให้เข้าใจหลักการและเห็นพ้องด้วย กลับกลายเป็น “ความกังวล” หรือ “หวาดระแวง” ที่ “เข้าทาง” ให้อีกฝ่ายใช้จุดนี้ “ปกป้องรัฐธรรมนูญ = ปกป้องสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์” โดยที่ฝ่ายจะแก้กลุ่มนี้ เริ่มเป็น “ปีศาจ” ตัวใหม่ ที่เป็นส่วนผสมระหว่างการ “กำหนดท่าที” ของพวกเขาเอง กับการ“ตีซ้ำ” ของขั้วตรงข้าม
จะเห็นว่า กระแสการ “อ่อย” เรื่อง “แก้รัฐธรรมนูญ” เกิดขึ้นจากการผุดขึ้นเป็นดอกเห็ดทั่วประเทศของ “แฟลชม็อบ” ที่ “เป็นเครื่องมือ” ให้ฝ่ายการเมือง ไปกดดันรัฐบาลต่อ ว่าจง“เปิดทางให้มีการแก้รัฐธรรมนูญ” เพื่อลดแรงกดดันนี้เสีย อย่างน้อยก็ควรส่ง “สัญญาณตอบรับ” เพื่อผ่อนคลายบรรยากาศ จึงนำมาสู่การตั้งกรรมาธิการวิสามัญ ที่ได้ผ่านการเลือกคนที่“ไว้ใจได้ ภาพลักษณ์ดี และมีสติปัญญาเป็นที่ยอมรับ” อย่างนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค มาเป็นประธาน แต่ไม่วายมี“ไพบูลย์ นิติตะวัน” ประกบ ในฐานะรองประธานอยู่ด้วย
ทว่า ผลการศึกษาที่ได้รายงานต่อสภาแล้ว ก็มิได้ซึมเข้ากะโหลก หรืออยู่ในสภาวะ “แกล้งโง่” อย่างที่มีคนตั้งข้อสังเกตข้างต้นก็ไม่ทราบได้ ทำให้ในท้ายที่สุด การพิจารณาญัตติการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ที่เสนอเข้ามา 6 ร่าง ถูก “ยื้อเวลาออกไป” ชนิดที่แม้แต่พรรคร่วมรัฐบาล 2 พรรคใหญ่ งง!!(ต่อมานายวิรัช รัตนเศรษฐ ประธานวิปฝ่ายรัฐบาล ยอมรับในรายการวิทยุรายการหนึ่งของกรมประชาสัมพันธ์ว่า เป็นแผนสองที่เตรียมไว้ และมีแผนสามด้วย)
ขณะที่ นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ และเลขานุการวิปรัฐบาล กล่าวถึงกรณีที่ประชุมรัฐสภามีมติตั้งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญเพื่อพิจารณาศึกษาญัตติร่างรัฐธรรมนูญทั้ง 6 ฉบับ ว่า เหตุที่วิปรัฐบาลต้องตัดสินใจตั้ง กมธ.ขึ้นมาศึกษา ไม่ได้เป็นเพราะต้องการซื้อเวลา แต่เราอยากแก้รัฐธรรมนูญ โดยจากการประเมินสถานการณ์การอภิปรายของ สว.เมื่อวันที่ 24 ก.ย. ไม่มี สว.คนใดเห็นด้วยกับญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญเลย หากมีการลงมติเลยน่าจะได้เสียงจาก สว.ไม่ถึง 84 เสียง และไม่น่าจะได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุมรัฐสภา ทำให้ญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญตกไป
“มี สว. หลายท่านแสดงความเห็นว่า ยินดีจะให้ความเห็นชอบกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญถ้าเป็นประโยชน์ต่อประชาชน แต่ตอนนี้ยังไม่เห็นว่า ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของ สส. มีประโยชน์ต่อประชาชนอย่างไร ดังนั้น ประธานวิปรัฐบาล และวิป สว.จึงมีการพูดคุยกันว่าจะแก้ปัญหาอย่างไร เพราะพวกเราไม่อยากให้ญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญตกไป จึงได้ข้อสรุปว่า อยากให้มีการพูดคุยทำความเข้าใจกันก่อน และดูว่าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญในประเด็นอะไร จะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนอย่างไรบ้าง
ดังนั้น ทางออกทางเดียวคือ ตั้ง กมธ.ขึ้นมาศึกษาก่อนรับหลักการ เนื่องจากข้อบังคับการประชุมรัฐสภาได้เปิดช่องเอาไว้ให้ ซึ่งทำได้เฉพาะเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญเท่านั้น กฎหมายทั่วไปไม่มี เพราะรู้ว่าเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องที่หาข้อสรุปร่วมกันยาก” เลขานุการวิปรัฐบาล ระบุ
ฟังดูก็ประหลาดดี ก็ในเมื่อมีการอภิปรายกันตั้งสองวันสว.ฟังแล้วไม่เห็นพ้อง จึงต้องตั้งกรรมาธิการขึ้นมาหว่านล้อมอย่างนั้นหรือ? แล้วกรรมาธิการวิสามัญชุดนี้ มี “สาลิกาลิ้นทอง”ประการใด ที่จะใช้เวลา 1 เดือน ทำให้ สว.มาเห็นด้วยและโหวตสนับสนุน
ในความเป็นจริงที่วิเคราะห์ได้ คือ การถ่วงเวลา เริ่มตั้งแต่บรรจุเป็นวาระ 20 วันสุดท้ายก่อนปิดสมัยประชุม เพื่อให้เวลาเป็นตัว “บีบ” จากนั้นก็อภิปรายถ่วงเวลา ให้ไม่มีเวลาพอที่จะขานชื่อลงมติ เพื่อจะเสนอให้ตั้งกรรมาธิการวิสามัญขึ้นให้เรื่องนี้ข้ามไปสู่อีกสมัยประชุมหนึ่ง ซึ่งหากไป “ตีตก” ในเวลานั้น ก็จะ “ปิดประตู” การเสนอเรื่องนี้ แล้วรออีกสมัยประชุมหนึ่งจึงจะเสนอใหม่ได้ นั่นแปลว่า ทิ้งปี 2563ไว้ข้างหลังได้อย่างสบายๆ ไปเริ่มกันใหม่ในปี 2564 โน่นเลย
25 กันยายน 2563 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวว่า ก่อนการลงมติตั้งกรรมาธิการวิสามัญศึกษาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 24 ก.ย. 2563 สส.พรรคภูมิใจไทย ได้ร่วมหารือกันและมีข้อสรุปว่า ไม่ว่าผลการศึกษาจะออกมาอย่างไร เมื่อร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ กลับเข้ามาสู่การประชุมร่วมรัฐสภาในสมัยประชุมหน้า สส.พรรคภูมิใจไทย ทุกคนจะลงมติรับหลักการร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่สมาชิกพรรคภูมิใจไทย ได้ร่วมลงชื่อเสนอ ซึ่งมีสาระสำคัญคือ การแก้ไขมาตรา 256 เพื่อให้มีการตั้งส.ส.ร. มายกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แต่ไม่แก้ไขหมวด 1 และหมวด 2
“ไม่มีเหตุผลใดๆ เลยที่เราจะไม่เห็นชอบกับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เราร่วมลงชื่อเสนอเอง เมื่อวันที่ 24 ก.ย. สส.พรรคภูมิใจไทย ลงมติด้วยความไม่สบายใจ เนื่องจากไม่ได้รับทราบมาก่อนว่าจะมีแนวทางเช่นนี้ แต่มีคำอธิบายว่า เป็นแนวทางสายกลางที่จะนำไปสู่เป้าหมาย คือ การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ตามที่ประชาชนต้องการได้ และเมื่อวานนี้ เราถอยถึงที่สุดแล้ว ระยะเวลา 30 วัน ที่คณะกรรมาธิการจะทำการศึกษา พรรคภูมิใจไทย ขอยืนยันหลักการ ให้มีการแก้ไขมาตรา 256 และจะไม่ถอยอีกแล้ว” นายอนุทินกล่าว
หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวว่า ได้มอบให้นายชาดา ไทยเศรษฐ์ สส.อุทัยธานี พรรคภูมิใจไทย ในฐานะรองหัวหน้าพรรค แจ้งต่อคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาลว่าการลงมติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ เป็นเอกสิทธิ์ของสส.ในฐานะสมาชิกรัฐสภา ไม่ใช่เรื่องของฝ่ายรัฐบาล หรือฝ่ายค้าน เพราะฉะนั้น สส.พรรคภูมิใจไทย ขอสงวนสิทธิ์ที่จะลงมติรับหลักการร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่ สส.พรรคภูมิใจไทย เสนอ โดยไม่ผูกพันกับมติของคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล
“เราต้องเชื่อมั่นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่เราร่วมลงชื่อเสนอเอง เราต้องไม่บิดเบือนเจตนารมณ์ของตัวเราเอง และเราต้องรับฟังข้อเรียกร้องของประชาชน นี่คือจุดยืนของพรรคภูมิใจไทย ต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญ” นายอนุทิน กล่าว
ส่วนนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์ไม่เห็นด้วยกับการตั้ง กมธ.เนื่องจากการแก้ไขรัฐธรรมนูญสำคัญอย่างยิ่ง และเป็นเงื่อนไขในการเข้าร่วมรัฐบาล ให้บรรจุเป็นนโยบายสำคัญเร่งด่วนของรัฐบาลแถลงต่อรัฐสภาไปแล้ว นอกจากนี้ ยังได้มีการตั้งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) พิจารณาศึกษาปัญหา หลักเกณฑ์แนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 สภาผู้แทนราษฎร และมีกาดำเนินการเสร็จสิ้นไปแล้ว มีการกำหนดประเด็นชัดเจนว่าจะมีการแก้มาตรา 256 เพื่อตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) โดยไม่แตะหมวด 1 - 2 ดังนั้น พรรคประชาธิปัตย์ เห็นว่า ไม่มีความจำเป็นที่จะตั้งกมธ.ขึ้นมาศึกษาก่อนรับหลักการ ซึ่งมีความชัดเจนในตัวอยู่แล้ว
“เมื่อพรรคร่วมรัฐบาลเสนอร่างแก้ไขมาแล้ว ก็ควรจะดำเนินการในการรับหรือไม่รับในวาระที่ 1 ได้เลย และถ้ามีความต้องการจะปรับปรุงแก้ไขก็สามารถทำได้ในชั้นแปรญัตติในวาระที่ 2 ได้อยู่แล้ว”
นายจุรินทร์กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม เมื่อเสียงส่วนใหญ่เห็นชอบให้ตั้ง กมธ.พรรคประชาธิปัตย์ ก็ยอมรับเสียงส่วนใหญ่และพรรคก็ตั้งตัวแทนเข้าไปร่วมเป็น กมธ. ถือเป็นพื้นฐานหลักการปฏิบัติในสภาอยู่แล้ว ไม่ว่ากฎหมายฉบับไหนแพ้หรือชนะ เราก็ต้องทำหน้าที่ของเราใน กมธ. ไม่ได้หมายความว่า ถ้าไม่เห็นด้วยกับกฎหมายฉบับไหน ลงมติแพ้ ก็จะไม่ไปตั้ง กมธ.ไปร่วม ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการช่วยผลักดันให้การแก้รัฐธรรมนูญประสบความสำเร็จ
เมื่อถามว่า การตั้ง กมธ. พิจารณาออกไป 1 เดือน จะทำให้ส่งผลเสียหาย การประท้วงรุนแรงขึ้น กระทบต่อเศรษฐกิจหรือไม่ นายจุรินทร์กล่าวว่า เราพิจารณาไปตามหลักการการแก้รัฐธรรมนูญถือว่าเป็นนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ก็ควรดำเนินการให้เป็นตามนั้น เพื่อพิสูจน์ความตั้งใจให้กับประชาชน
รอดูกันครับ ว่าเปิดประชุมสมัยหน้า เรื่องนี้จะเข้าสู่การพิจารณาช้าหรือเร็วอย่างไร
ระหว่างนี้ การเคลื่อนไหวของ “ฝ่ายค้าน” กับ “ผู้ชุมนุม”และ “นักวิชาการ” ต่างๆ จะขยับความเข้าใจของสังคมอย่างไร ให้เกิดพลังในการเรียกร้อง ซึ่งแน่นอน ฝ่ายกลุ่มไทยภักดี พรรครวมพลังประชาชาติไทย ซึ่งก็คือคนกลุ่มเดียวกันนั่นแหละ ก็ขยับ “คัดค้านการแก้รัฐธรรมนูญ” ไปพร้อมๆ กัน
ขอแค่ให้ขยับสังคมด้วย “ความรู้” ด้วย “หลักการประชาธิปไตย” แทนการใช้ประเด็น “พวกเรา-พวกอื่น” ก็พอ
และหยุดอ้างเรื่อง “ค่าใช้จ่าย” อยากเป็นสังคมประชาธิปไตยแต่ไม่พร้อมจะลงทุนเพื่อความเป็นประชาธิปไตย ก็อยู่กันแบบไทยๆ ใครมีอำนาจก็สร้างกติกาให้ตัวเองได้เปรียบคนอื่นเขา อีกฝ่ายก็ไม่ยอม และตีกันไปวันๆ แบบนี้ต่อไปก็แล้วกัน !!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี