ปฏิเสธกันได้ไหมว่า ปัญหาทางการเมืองที่วุ่นวายอยู่ในบ้านเมืองเวลานี้ คือ การไม่ถอยออกจากอำนาจของ คสช.
ไม่ถอยก็เรื่องหนึ่ง แต่เมื่ออยู่ในอำนาจแล้ว ประสิทธิภาพในการใช้อำนาจเพื่อความเจริญก้าวหน้าของชาติบ้านเมือง มีมากน้อยเพียงใดก็อีกเรื่องหนึ่งอีก สำคัญที่สุดคือ “ความชอบธรรม” หรือ “ความสง่าผ่าเผย” ที่จะอยู่ในอำนาจอย่างเป็นที่ยอมรับ ก็อีกเรื่องหนึ่งอีก
เวลานี้ จึงเป็นเวลาที่มีฝ่ายที่กำลังพยายาม “รื้อนั่งร้านแห่งอำนาจ” ของ คสช.
เริ่มจากการเสนอ “แก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ” ที่กำลัง “สู้กัน” ด้วยทุกกระบวนท่าอยู่ในเวลานี้
• พวกหนึ่งใช้ “การชุมนุม” เป็นเครื่องกดดัน
• อีกพวกหนึ่งใช้เสียงข้างน้อยแต่อำนาจมาก คือ สว. เป็นตัวคุมเกม ยังไม่รวมแรงหนุนจาก “สส.” และ “สอพลอ” อีกจำนวนมากด้วย
แทนที่จะช่วยกัน “ลดเงื่อนไข” แล้วนำไปสู่ “ทางออก” ร่วมกัน ทุกฝ่ายล้วนพยายาม “สร้างเงื่อนไข” จนการเดินไปสู่ทางออกทำได้ยากมาก และต้อง “วิวาทกัน”ระหว่างเดินหาทางออกนั้นด้วย
ความชิงชัง ความเป็นปฏิปักษ์ การเล่นพรรคเล่นพวก แบ่งขั้ว แบ่งข้าง คือ ความวิปริตที่สุดของบ้านเมืองเรา
กลับมาที่ คสช. ซึ่งเป็นเงื่อนไขของความขัดแย้งทั้งปวงในเวลานี้
1) คสช. มีสิทธิเท่าเทียมกับทุกคนที่จะอยู่ในอำนาจหลังการเลือกตั้ง หากเข้าสู่สนามแข่งขันอย่างเท่าเทียมเสมอภาคกับทุกคน ทว่า ระหว่างที่ คสช. กุมอำนาจเบ็ดเสร็จ และทั้งจำเป็นและจำใจที่จะต้องคืนอำนาจแบบรัฏฐาธิปัตย์ให้ประชาชนแล้ว ก็เตรียมการร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อนำมาสู่การเลือกตั้ง อันเป็นการคืนอำนาจให้ประชาชนอย่างแท้จริง (ส่วนประชาชนจะไปถูกชี้นำ ชักจูง ล่อลวง ติดสินบน ให้ยกอำนาจให้ใครเป็นตัวแทนใช้อำนาจนั้นต่อไป ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง) จะเห็นว่า การร่างรัฐธรรมนูญนั้น ตั้งอยู่บนความไม่เป็นกลางอย่างแท้จริง มีการคว่ำรัฐธรรมนูญฉบับอาจารย์บวรศักดิ์อุวรรณโณ ทิ้ง ในชั้น สนช. ประชาชนไม่มีสิทธิออกเสียง พร้อมกับคำรำพึงของบวรศักดิ์ว่า “เขาอยากอยู่ยาว”
2) จากนั้นมาตั้งกรรมการร่างรัฐธรรมนูญชุดนายมีชัยฤชุพันธุ์ ร่างผ่านความเห็นชอบ แต่ก็ถูกแก้ไขไปไม่น้อยโดยเฉพาะการยัด “บทเฉพาะกาล” เข้ามา เพื่อเปิดทางให้ สว. ที่ถูกปรับกระบวนการคัดเลือกให้ คสช. เป็นผู้แต่งตั้งชุดหนึ่ง และเห็นชอบจากที่เลือกกันมาเองอีกชุดหนึ่ง มีอำนาจในการเลือกนายกรัฐมนตรี มีอำนาจในการ “กั้น” หรือจะเรียกสวยๆ ว่า “กลั่นกรอง” ก็ได้ ในการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ
3) บัดนี้คงเห็นกันแล้ว ว่า สว. ทรงอิทธิพลเพียงใด โดยไม่ต้องมีที่มาจากประชาชน แต่มีที่มาจาก “ผู้มีอำนาจ” และกำลังทำงานปกป้องผู้มีอำนาจ และเปลี่ยนผ่านจากอำนาจรัฏฐาธิปัตย์มาสู่อำนาจหลักการเลือกตั้ง ด้วยกลไกต่างๆ ที่วางไว้ โดยเฉพาะการสถาปนา สว.
4) การเลือก นายกฯ อาจเห็นไม่ชัด เพราะอ้างได้ว่า ลำพังเสียง สส. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ชนะ นายธนาธรจึงรุ่งเรืองกิจ แล้ว แต่มาเห็นพลานุภาพของ สว.ชัด เมื่อมาถึงเรื่องแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรมนูญ
5) ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊คว่า
“...ทราบกันหรือไม่ว่า รัฐธรรมนูญ พ.ศ 2560 เป็นรัฐธรรมนูญที่ทำลายหลักการพื้นฐานของระบอบประชาธิปไตยหลายอย่าง หนึ่งในหลักการที่ถูกทำลายคือ. การปกครองด้วยเสียงข้างมาก (the majority rule)
มาตราที่ทำลายหลักการนี้คือ มาตรา 256 ที่กำหนดให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญจะผ่านได้ ต้องประกอบด้วยเสียงหนึ่งในสามของ สว. หรือ 84 เสียง แม้ว่า สส.ส่วนใหญ่ หรือแม้แต่ทุกคนทั้งสภา 500 คน โหวตรับหลักการร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่หาก สว. 200 คน โหวตไม่รับหลักการ ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญจะตกไปทันที หมายความว่า เสียงใหญ่จะพ่ายแพ้แก่เสียงส่วนน้อย
คำถาม คือ มีประชาธิปไตยประเทศไหนกัน ที่เสียงส่วนใหญ่ในรัฐสภาพ่ายแพ้แก่เสียงส่วนน้อย
ก็มีในประเทศไทยนี่แหละ
หากเรื่องนี้เกิดขึ้น จะกลายเป็นตัวอย่างที่น่าอัปยศของระบอบประชาธิปไตย และเป็นการสร้างรอยด่างสำคัญให้แก่ประวัติศาสตร์การเมืองไทย
ผู้ที่ต้องมีส่วนสำคัญในการรับผิดชอบในฐานะสร้างหลักการที่วิบัติแบบนี้ขึ้นมาคือ คณะผู้ร่างรัฐธรรมนูญชุดนายมีชัย ส่วนผู้ที่ต้องรับผิดชอบ หากหลักการวิบัตินี้ถูกนำไปใช้ปฏิบัติจริงคือ สว. ชุดนี้ ดังนั้น หากพวกเขายังไม่เปลี่ยนความคิดและจุดยืน ประวัติศาสตร์ก็คงจารึกพวกเขาในฐานะเครื่องจักรทางการเมืองที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อทำลายระบอบประชาธิปไตยอย่างเลี่ยงไม่พ้น”
6) กระนั้นก็ตาม จะมีฝ่ายที่สนับสนุนและปกป้องรัฐบาล บอกว่า เขาก็ทำตามกฎหมายและรัฐธรรมนูญไงจะเอาอะไรกันอีก ซึ่งก็พูดถูก แต่กฎหมายมายังไง มาโดยใครและเพื่อใคร ถกกันไปก็มีแต่ทะเลาะเบาะแว้ง เพราะทุกวันนี้ เรามิได้เถียงกันอย่างบัณฑิต แต่พยายาม “เอาชนะกัน” แบบ “ฝ่ายใคร ฝ่ายมัน”
7) การยื้อเวลาลงมติต่อร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญทั้ง 6 ฉบับ เป็นสิ่งที่นายวิรัช รัตนเศรษฐ ไปยอมรับในรายการวิทยุรายการหนึ่งของกรมประชาสัมพันธ์ว่า “คิดไว้ก่อนแล้ว” คือความชัดเจนเรื่อง “ความไม่จริงใจ” ที่จะแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ โดยอาศัยข้ออ้างว่า สว.ยังไม่เข้าใจและมีระเบียบให้ตั้งกรรมาธิการขึ้นศึกษาได้ ผิดไหม ก็ไม่ผิดอีกนั่นแหละ ปัญญาใครปัญญามัน พรรคร่วมรัฐบาลก็เหวอไปสิ (ฮา...)
8) เมื่อวันที่ 25 ก.ย. 2563 นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์สส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ และเลขานุการวิปรัฐบาล กล่าวถึงกรณีที่ประชุมรัฐสภามีมติตั้งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญเพื่อพิจารณาศึกษาญัตติร่างรัฐธรรมนูญทั้ง 6 ฉบับ ว่า เหตุที่วิปรัฐบาลต้องตัดสินใจแต่งตั้ง กมธ.ขึ้นมาศึกษา ไม่ได้เพราะต้องการซื้อเวลา แต่เราอยากแก้รัฐธรรมนูญโดยจากการประเมินสถานการณ์การอภิปรายของ สว.เมื่อวานที่ผ่านมา (24 ก.ย.) พบว่าไม่มี สว.คนใดเห็นด้วยกับญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญ หากมีการลงมติ น่าจะได้เสียงจาก สว.ไม่ถึง 84 เสียง และไม่น่าจะได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุมรัฐสภา ทำให้ญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญตกไป
ทั้งนี้ มี สว.หลายคนแสดงความเห็นว่ายินดีจะให้ความเห็นชอบกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ถ้าเป็นประโยชน์ต่อประชาชน แต่ขณะนี้ยังไม่เห็นว่าร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของ สส.มีประโยชน์ต่อประชาชนอย่างไร ดังนั้น ประธานวิปรัฐบาล และวิป สว.จึงมีการพูดคุยกันว่าจะแก้ปัญหาอย่างไร เพราะไม่อยากให้ญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญตกไป จึงได้ข้อสรุปว่าอยากให้มีการพูดคุยทำความเข้าใจกันก่อน และดูว่าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญในประเด็นอะไร จะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนอย่างไรบ้าง ดังนั้นทางออกทางเดียว คือ ตั้ง กมธ.ขึ้นมาศึกษาก่อนรับหลักการ เนื่องจากข้อบังคับการประชุมรัฐสภาได้เปิดช่องไว้ให้ซึ่งทำได้เฉพาะเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญเท่านั้น กฎหมายทั่วไปไม่มี เพราะรู้ว่าเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องที่หาข้อสรุปร่วมกันยาก
9) พรรคร่วมรัฐบาลอย่างพรรคภูมิใจไทยที่หัวหน้าพรรคบอกว่า โหวตสนับสนุนการตั้งกรรมาธิการด้วยความเจ็บปวด กับพรรคประชาธิปัตย์ที่ไม่ได้โหวตหนุนการตั้งกรรมาธิการ แต่ทั้งสองพรรคก็ส่งตัวแทนมาร่วมในกรรมาธิการ ขณะที่ฝ่ายค้านซึ่งโหวตไม่เห็นด้วย เลือกที่จะไม่ร่วมสังฆกรรม โดยไม่ส่งใครมาเป็นกรรมาธิการเลย นอกจากนี้ก็ไม่ส่งคนมาชี้แจงเนื้อหาการเสนอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญด้วย
10) วันที่ 6 ตุลาคม 2563 นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์สส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการฯ กล่าวว่า เสียดายกับท่าทีของฝ่ายค้านในการปฏิเสธคำเชิญของคณะกรรมาธิการฯ เพราะการมาชี้แจงจะได้เป็นโอกาสที่จะได้ทำความเข้าใจกับสว. โดยตอนนี้มีความสงสัยในญัตติของฝ่ายค้านว่ามีความขัดแย้งกันหรือไม่ เพราะญัตติหนึ่งเสนอให้ตั้งส.ส.ร. แต่อีกญัตติหนึ่งที่เสนอกลับเป็นการแก้ไขรายมาตรา ซึ่งคิดว่าถ้าจะตั้งส.ส.ร.ก็ไม่จำเป็นต้องแก้ไขรายมาตรา
“การไม่มาชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการของฝ่ายค้าน ทำให้การทำงานของคณะกรรมาธิการยากขึ้น และเป็นการไม่เคารพประชาธิปไตย ไม่เคารพเสียงข้างมาก ทั้งๆ ที่อยากแก้ไขรัฐธรรมนูญ ท่านละเลยการปฏิบัติหน้าที่ ฝ่ายค้านควรเคารพประชาธิปไตยและการทำงานของฝ่ายนิติบัญญัติ สงสัยว่าเป็นความพยายามที่ไม่ต้องการให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่สำเร็จหรือไม่และต้องการโยนบาปให้สว.และพรรคร่วมรัฐบาล” นายชัยวุฒิ กล่าว
11) นายชัยวุฒินี้พูดเก่ง เหมาะแก่การเป็นโฆษกยิ่งนัก เพราะ “พูดอะไรก็ได้” ที่จริงการไม่ร่วมสังฆกรรมเป็นกรรมาธิการของฝ่ายค้าน ก็เป็นกลไกประชาธิปไตยอย่างหนึ่งที่บอกความไม่เห็นพ้อง และไม่ได้ทำลายกรรมาธิการ กรรมาธิการยังทำงานได้ และก็เห็นว่าทำกันต่อโดยมิได้สนใจไยดีอะไร จึงไม่ใช่ความเลวร้ายใดๆ ในสังคมประชาธิปไตย การไม่ส่งคนมาชี้แจงก็เช่นกัน เพราะแต่ละฉบับที่เสนอแก้ไข มิได้ผูกโยงซึ่งกันและกัน ฉบับที่ขอแก้ไขเป็นรายมาตรา ก็มีหลักการ เหตุผล และเจตนารมณ์ของมัน ซึ่ง สว. คงไม่โง่เกินกว่าจะทำความเข้าใจได้ และไม่ต้องเอามาผูกมัดรวมกับฉบับที่เสนอให้ตั้ง ส.ส.ร. ด้วย เพราะบางมาตราที่ควรแก้ไขเพิ่มเติมโดยเร็ว ก็แก้เป็นรายมาตราได้ ส่วน ส.ส.ร.มีพันธกิจที่ต่างไป ไม่เห็นจะเข้าใจยากที่ตรงไหนเลย ถึงเวลาลงมติ ก็ลงเป็นรายฉบับ ไม่ได้ลงมติรวมด้วย ดังนั้น จะถามไปทำไมว่า “ญัตติหนึ่งเสนอให้ตั้ง ส.ส.ร. แต่อีกญัตติหนึ่งที่เสนอกลับเป็นการแก้ไขรายมาตรา” เห็นด้วยกับญัตติไหน โหวตรับรองญัตตินั้นไปสิครับ จะมาเล่นแง่อะไรนักหนา
12) ทราบมาด้วยว่า นายชัยวุฒิคนนี้ คือคนหนึ่งที่ค้านการให้มี สข. สมาชิกสภาเขตกรุงเทพมหานครอย่างแข็งขัน ทั้งๆ ที่นั่น คือการทำลายประชาธิปไตยทางตรง และไม่เคารพต่อความเป็นประชาธิปไตยอย่างยิ่งยวด เดิมกรุงเทพมหานครเคยมีสมาชิกสภาเขต เลือกตรงจากประชาชน จู่ๆ ยุค คสช. ก็มางด และจะให้มี “คณะกรรมการประชาคมเขต” ที่สุดท้ายเลือกโดย “ผู้อำนวยการเขต” แล้วจะทำหน้าที่ตรวจสอบ ดุล และคานอำนาจกับ ผอ.เขต ได้ยังไง ตัดขาดการเลือกของ “ประชาชน” ออกไปทำไม ไม่ต่างอะไรจาก คสช. ขอเลือก สว. เองเลย
ประชาธิปไตยในยุคสานต่อ คสช. นี้ จึงเจริญยั่งยืนดีด้วยวิธีการแบบที่ สว. ร่วมมือกับ สส. บางจำพวก และ “สอพลอ” บางจำพวกนี่เอง!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี