นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง คนใหม่ถือเป็นผู้มีประสบการณ์ด้านธุรกิจ เศรษฐศาสตร์ การพัฒนาประเทศ เคยดำรงตำแหน่งเลขาธิการสภาการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และ รมว.คมนาคม เสียงตอบรับจากภาคเอกชนต่อการดำรงตำแหน่ง รมว.คลังของนายอาคม ครั้งนี้จึงเป็นไปในทิศทางบวก เป็นสัญญาณที่ดีสำหรับประเทศไทยที่จะได้เดินหน้าพัฒนาด้านเศรษฐกิจอย่างเต็มที่
แม้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะคาดการณ์ว่าแนวโน้มเศรษฐกิจไทย ในไตรมาส 3/2563 จะขยายตัวได้ดีกว่าไตรมาสที่ผ่านมา เพราะสัญญาณเศรษฐกิจในเดือน ก.ค-ส.ค. มีการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งมีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวชัดเจนขึ้นมากในไตรมาส 2/2564 เมื่อเทียบกับไตรมาส 2/2563 ที่เศรษฐกิจหดตัวแรงมากทำให้ฐานต่ำ แต่ยังจำเป็นต้องจับตาดูนโยบายของท่าน “ขุนคลัง” คนใหม่ที่จะออกมาสนับสนุนและเสริมแนวโน้มในการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ
ดังนั้น ภารกิจต่อจากนี้ของรัฐบาลและทีมเศรษฐกิจคือการเร่งดำเนินโยบายการคลังอย่างต่อเนื่อง เพื่อบรรเทาภาระของประชาชน เพิ่มสภาพคล่องให้แก่ผู้ประกอบการ และเร่งการกระตุ้นการใช้จ่ายของทั้งภาครัฐและภาคเอกชนอย่างต่อเนื่อง แต่ความท้าทายด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลอยู่ตรงที่ “รัฐบาลมีรายจ่ายเพิ่มขึ้น แต่เก็บรายได้น้อยลง”
ตัวเลขล่าสุดจาก “สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง” (สศค.)เผยว่า ในช่วง 11 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2563 (ตุลาคม 2562 – สิงหาคม 2563) ภาครัฐบาลรวมถึงองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีรายได้ 2.34 แสนล้านบาท ต่ำกว่าเป้าหมาย 2.93 แสนล้านบาท หรือ 12.0% และคาดว่า การเก็บรายได้ของรัฐบาล ณ สิ้นปีงบประมาณ 2563 จะต่ำกว่าเป้า 3.9 แสนล้านบาท
หากดูตัวเลขจาก 3 กรม เก็บภาษีหลักทั้ง 3 แห่ง คือกรมสรรพสามิต กรมสรรพากร และกรมศุลกากร ซึ่งเป็นแหล่งรายได้ 90% ของรัฐบาล พบว่ากรมสรรพสามิตจัดเก็บได้ต่ำกว่าประมาณการ 8.78 หมื่นล้านบาท หรือประมาณ14.9% เนื่องจากการบริโภคที่ต่ำลง ซึ่งเป็นผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจเนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 กรมศุลกากร จัดเก็บรายได้รวม 8.59 หมื่นล้านบาท ต่ำกว่าประมาณการ 1.57 หมื่นล้านบาท หรือ 15.5% จากการหดตัวของมูลค่าการนำเข้า
ด้านกรมสรรพากร ก็จัดเก็บได้รายได้รวม 1.61 ล้านล้านบาท ต่ำกว่าประมาณการ 12.7% เนื่องจากรายได้จากภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีเงินได้นิติบุคคล-บุคคลธรรมดา ลดลง จากภาวะเศรษฐกิจและการค้าที่หดตัว
ในขณะที่ รัฐบาลมีรายจ่ายจำนวนทั้งสิ้น 2.9ล้านล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 299 แสน ล้านบาทหรือร้อยละ 11.3 จากรายได้และรายจ่ายดังกล่าว ส่งผลให้ดุลการคลังภาครัฐบาลขาดดุล 614 แสนล้านบาท คิดเป็นร้อยละ3.9 ของ GDP แน่นอนว่ากลไกขับเคลื่อนกิจกรรมทางเศรษฐกิจแบบครบวงจรต้องอาศัยงบประมาณเป็นจำนวนมาก ขณะเดียวกัน รัฐบาลก็จำเป็นต้องวางแผนสร้างเสถียรภาพในการหารายได้ในระยะยาว เพื่อสร้างสมดุลและรักษาวินัยการคลัง โดยวางแผนการจัดเก็บภาษีให้ประเทศมีรายได้พอเพียงกับรายจ่ายตามแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งคาดว่าอาจจะต้องใช้เวลาอีก 2-3 ปี ต่อจากนี้ เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจให้กลับมา
การวางแผนเก็บระยะยาว ทั้งภาษีสรรพากร สรรพสามิต ศุลกากร และภาษีท้องถิ่น จำเป็นต้องอาศัยการศึกษาและหารือร่วมกันระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อพิจารณาโครงสร้างการกระจายรายได้ให้ได้ทั้งระบบ เพื่อสร้างหลักประกันสำหรับรัฐบาลที่จะวางแผนรายได้ได้อย่างแน่นอน การ“รีด” “ลด” หรือ “เลื่อน” ภาษีปีต่อปี ที่นอกจากจะสร้างความไม่แน่นอนในการจัดเก็บรายได้แล้ว ยังส่งผลต่อความเชื่อมั่นของภาคประชาชนและภาคเอกชนต่อเศรษฐกิจของประเทศอีกด้วย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี