ถ้าจะมีใครสักคนถามว่า สังคมไทยได้อะไรจากกิจกรรมการชุมนุมทางการเมืองที่ฝ่าฝืนคำสั่งห้ามการชุมนุมตามพ.ร.ก.ฉุกเฉินร้ายแรงในพื้นที่กรุงเทพมหานคร เชื่อว่าคำตอบคงคล้ายๆ กันว่า ไม่มีประโยชน์อะไรกับสังคมไทยและประเทศไทยแม้แต่น้อย นอกจากความสะใจของกลุ่มแกนนำการชุมนุม กลุ่มอีแอบกลุ่มคนชังชาติที่อยู่เบื้องหลังการชุมนุม กลุ่มคนอาชีพนักการเมืองจากพรรคการเมืองบางพรรคที่คอยตักตวงผลประโยชน์จากความเสียหายหายนะของประเทศไทย
สังคมไทยทั้งหมดต้องยอมรับความจริงแรกก่อนว่า“การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19)”สร้างความเสียหายแก่เศรษฐกิจประเทศไทยในระดับหายนะและไม่ใช่แค่ประเทศไทยเท่านั้น แต่เกือบทั่วโลกทั่วทุกภูมิภาคได้รับผลกระทบเกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจแทบทั้งสิ้น
เมื่อประเทศคู่ค้าของไทยเกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจ กอปรกับการแข็งค่าของเงินบาท ทำให้การส่งออกของประเทศไทยเกิดปัญหาค้าขายก็ไม่ได้ภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่เป็นรายได้หลักของเศรษฐกิจไทยก็หายนะอย่างหนัก เพราะไม่ว่าเขาว่าเราก็กลัวว่ามหันตภัยไวรัสร้ายนี้จะกลับมาระลอกสองระลอกสามหรือไม่
จริงๆ ประเทศไทยค่อนข้างโชคดีที่ระบบการสาธารณสุขเข้มแข็งได้รับการยอมรับจากประชาคมโลก เศรษฐกิจไทยจึงน่าจะเงยหน้าได้เร็วกว่าเพื่อนในอาเซียนด้วยกันจากนโยบายของรัฐบาลทหารแก่ที่พยายามสนับสนุนกิจกรรมด้านการท่องเที่ยวควบคู่ไปกับการสาธารณสุข แต่มันเป็นไปไม่ได้เลยหากสังคมไทยยังเอาชนะคะคานกันอยู่เช่นนี้
ยุวชน เยาวชนก็ขาดสติ ขาดวุฒิภาวะจนลืมสามัญสำนึกที่พึงมีไปเสียสิ้น ม็อบเรียกร้องประชาธิปไตย เรียกร้องเสรีภาพ แต่ม็อบทำลายเสรีภาพการทำธุรกิจของพ่อค้าแม่ค้าทำลายเสรีภาพและลิดรอนสิทธิ์การใช้ถนนใช้บริการสาธารณะของประชาชนคนกทม.จนสิ้น
ถ้าไม่อยากถูกจับกุมดำเนินคดี ไม่ต้องสำรอกหอนเห่า แค่ไม่ทำผิดไม่ละเมิดกฎหมายก็จบแล้ว ถ้าไม่อยากถูกคุกคามก็เลิกคุกคามคนเห็นต่าง เพราะคนเห็นต่างไม่ใช่คนชังชาติ ส่วนคนชังชาติ พรรคการเมืองอีแอบเลิกตะแบงปลุกเร้าให้สังคมวุ่นวายเพื่อเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ได้แล้ว คนทำผิดกฎหมายต้องได้รับโทษ เพราะเราอยู่ภายใต้กฎหมายฉบับเดียวกัน ถ้าไม่ละเมิดกฎหมายก็ไม่มีความผิด
ไม่ว่าเป้าหมายจริงเป้าหมายลวงของม็อบจะคืออะไร แต่การต่อสู้บนถนนครั้งนี้ใครจะเป็นผู้ชนะ ลองตักน้ำใส่กะโหลกชะโงกดูเงาตั้งสติและตรองให้จงหนัก เมื่อครั้งเกิดเหตุการณ์พฤษภาทมิฬปี 2535 พลเอกเปรมติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี ในขณะนั้นนำพลตรีจำลอง ศรีเมือง หัวหน้าพรรคพลังธรรม และผู้นำมวลชน กับ พลเอกสุจินดา คราประยูร อดีตสมาชิกแกนนำคณะรัฐประหารรสช.คู่ขัดแย้งทางการเมืองเข้าเฝ้าฯพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร หลังเกิดความวุ่นวายกลายเป็นจลาจลในกรุงเทพมหานคร ครั้งนั้นทรงมีพระราชดำรัสพระราชทานแก่คู่ขัดแย้งความโดยสรุปว่า
จะเป็นฮ่องกงโมเดลหรือไม่ไม่รู้ แต่กิจกรรมนี้ผู้แพ้มีรายเดียวชื่อ ประเทศไทย
ถ้าม็อบยุวชน เยาวชนทำร้ายประเทศกันเยี่ยงนี้ ยังจะถามหาอนาคตข้างหน้า…เพื่อ
เศรษฐกิจชาติมันต้องหายนะจบที่รุ่นนี้แหละ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี