เรื่องอื้อฉาวซาไป ใช่จะหมายความว่า เกิดความโปร่งใสชัดเจนแล้ว ความน่าเชื่อถือกลับมาแล้ว
เพราะเรื่องอื้อฉาวเกี่ยวกับวงการอัยการ ขณะนี้ไปไกลเกินกว่าจะใช้เพียงเวลาในการทำให้ผู้คนลืมเลือน
1. เมื่อวันที่ 5 พ.ย. นายวงศ์สกุล กิตติพรหมวงศ์ อัยการสูงสุด ให้สัมภาษณ์ในงานสัมมนา “มิติใหม่อัยการแผ่นดิน” ประเด็นเกี่ยวกับวิกฤติศรัทธาของประชาชนที่มีต่ออัยการในช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะคดีนายบอส-วรยุทธ อยู่วิทยาฯลฯ บางตอนระบุว่า
“..ในกระแสที่ประชาชนคิดอะไรต่างๆ สำนักงานอัยการสูงสุดเราได้แถลงให้ทราบ ในหลายเรื่องใช้ข้อเท็จจริงที่อยู่ในสำนวนการสอบสวน ใช้กฎหมาย กฎระเบียบ สิ่งต่างๆ ในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา สำนักงานอัยการสูงสุดแก้ไขปัญหาได้ดีระดับหนึ่ง ซึ่งจะเป็นบทเรียนของสำนักงานอัยการสูงสุดส่วนหนึ่ง เราอาจจะต้องปรับปรุงกฎระเบียบที่รองรับเอื้อต่อการอำนวยความยุติธรรมมากขึ้น เราจะเห็นได้ว่าสุดท้ายเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏ เป็นการใช้ดุลพินิจสั่งสำนวนของอัยการท่านหนึ่งเท่านั้นเอง เป็นเรื่องปกติของสำนักงานอัยการสูงสุด และกระบวนการยุติธรรมไทยทั่วไป..”
อย่างไรก็ตาม นายวงศ์สกุลได้กล่าวพาดพิงไปถึง ดร.คณิต ณ นคร อดีตอัยการสูงสุด แลอดีตอัยการสูงสุดท่านอื่นๆ ด้วย โดยระบุว่า “การร้องขอความเป็นธรรมมีมาหลายสิบปี ตั้งแต่มีระเบียบอัยการในปี 2528 ในสมัยนั้นต้องให้รองอธิบดีเป็นผู้ใช้อำนาจนี้ จนกระทั่งปี 2537 ดร.คณิต ณ นคร เข้ารับตำแหน่งอัยการสูงสุด เปลี่ยนระเบียบการร้องขอความเป็นธรรมให้เสนออัยการสูงสุดเป็นผู้สั่ง ใช้อำนาจระเบียบนี้อยู่พักใหญ่ กระทั่งเกิดคดี ส.ป.ก.4-01 ที่ จ.ภูเก็ต ดร.คณิตท่านสั่งไม่ฟ้อง เห็นว่าเป็นเรื่องนโยบายของรัฐ อย่างไรก็ดี การใช้อำนาจสั่งของอัยการสูงสุดจะไปตัดอำนาจของผู้กลั่นกรองตาม ป.วิอาญา มาตรา 145 ซึ่งไม่ต้องส่ง ผบ.ตร.ให้ความเห็นชอบ ก็เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากมาย ในที่สุด ดร.คณิตก็ออกคำสั่งยกเลิกการใช้ระเบียบของท่านเอง
จนกระทั่งสมัยนายสุชาติ ไตรประสิทธิ์ เป็นอัยการสูงสุด ก็มีการปรับเปลี่ยนระเบียบร้องขอความเป็นธรรมกลับมาใหม่ โดยให้รองอัยการสูงสุดที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้พิจารณา ถ้ารองอัยการสูงสุดมีความเห็นการสั่งคดีไปอย่างไร ก็ใช้มาตรา 145 ส่งให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) หรือผู้ว่าราชการจังหวัดให้ความเห็นชอบอีกครั้งหนึ่ง ถ้าผู้ว่าฯ หรือ ผบ.ตร.เห็นแย้ง อัยการสูงสุดจึงจะใช้อำนาจหน้าที่ไปชี้ขาดความเห็นอีกครั้ง ตามมาตรา 145 การร้องขอความเป็นธรรมเป็นประโยชน์ต่อประชาชน บางครั้งผู้รวบรวมพยานหลักฐานอาจรวบรวมไม่ครบถ้วน ผู้ต้องหา ผู้เสียหาย ประชาชนอาจมาร้องอัยการว่ามีพยานหลักฐานที่ต้องรวบรวมอีก
...การร้องขอความเป็นธรรมมีขั้นตอนอยู่ ถ้ามีพยานหลักฐานเกี่ยวข้อง บางคดีเหตุเกิดเป็นสิบปี พยานหลักฐานเพิ่งปรากฏก็มี แต่ละเรื่องแต่ละคดีมีความแตกต่างกันไป ร้องขอความเป็นธรรมได้ตลอดเวลา อยู่ในเงื่อนไขว่าพยานหลักฐานฟังได้หรือไม่”
นอกจากนี้ ประเด็นเรื่องการมอบหมายให้รองอัยการสุงสุดพิจารณาแทน นายวงศ์สกุลชี้แจงว่า
“...การทำงานของสำนักงานอัยการสูงสุดตลอด 1 ปี อัยการสูงสุดจะดูแลเฉพาะสำนวนคดีที่อัยการสูงสุดต้องสั่งเอง เช่น ในคดีความผิดนอกราชอาณาจักร, พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทุจริต และชี้ขาดความขัดแย้ง ทั้ง 3 ประเภทนี้อัยการสูงสุดต้องสั่งจำนวน 6,000-7,000 เรื่อง ในแต่ละปี ส่วนการร้องขอความเป็นธรรม อัยการสูงสุดสามารถมอบหมายให้รองอัยการสูงสุดหรือผู้ตรวจราชการที่รับผิดชอบเข้าไปช่วยดำเนินการดูแล ผู้ได้รับมอบหมายจะมีอำนาจสิทธิขาดดำเนินไปในส่วนนั้นๆ ตามรัฐธรรมนูญ ตามกฎหมายอัยการ ส่วนคดีการเมือง หลักการทำงานของอัยการสูงสุดเราก็พิจารณาตามพยานหลักฐาน ภายใต้กฎหมายระเบียบที่เกี่ยวข้อง
...พนักงานอัยการทุกคนมีอิสระในการพิจารณาสำนวนคดีเป็นของตนเอง ไม่มีใครสามารถสั่งได้ คล้ายกับผู้พิพากษาของศาลยุติธรรม อัยการสูงสุดจะไปชี้นำสั่งอย่างไรไม่ได้เลย เป็นหลักประกันพนักงานอัยการทำงานภายใต้ดุลพินิจ อัยการสูงสุดจะเข้าไปควบคุมได้ต่อเมื่อมีเหตุ เช่น พนักงานอัยการสั่งสำนวนช้าจนผู้ต้องหาหรือผู้เสียหายร้องเข้ามา เราก็จะเข้าไปดูปฏิบัติตามระเบียบขั้นตอนหรือเปล่า แต่ดุลพินิจในการสั่งคดียังเป็นของเขาเหมือนเดิม”
2. การแสดงความคิดเห็นข้างต้นของอัยการสูงสุด ยังไม่เห็นว่าจะสะสางหลายเรื่องที่สังคมคาใจอย่างไร
อยากรู้จริงๆ อัยการ “ทนายของแผ่นดิน” ทั่วประเทศกว่า 3,000 คนนั้นด้วยจิตวิญญาณ ด้วยหัวใจส่วนลึกในฐานะ “วิญญูชน” อย่างแท้จริง ท่านทั้งหลายมีความรู้สึกอย่างไร? เห็นว่าแก้ไขตรงกับปัญหาขององค์กรอัยการในยุคนี้หรือไม่? ครบถ้วนหรือไม่? เชื่อมั่นในความมีธรรมาภิบาลมากขึ้น หรือไม่?
ขอให้ท่านอัยการทั้งหลาย ได้ตอบกับตัวท่านเอง และเพื่อนร่วมงานของท่านเองด้วยเถิด
3. กรณีแทรกแซงวิ่งเต้นคดีบอส ตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏในการตรวจสอบของคณะกรรมการอิสระที่มี อ.วิชา มหาคุณ เป็นประธาน
ประชาชนทั้งประเทศขานรับ ชื่นชม ว่าตีแผ่ความจริงได้กระจ่างแจ้ง
มีอัยการบางคน พยายามตัดตอนคดี
วิ่งเต้นคดี ช่วยเหลือผู้ต้องหา
มีการปั้นแต่งพยานหลักฐานเท็จ ฯลฯ
อัยการบางคนที่เข้าไปวิ่งเต้นคดีนั้น ขณะนั้น อ้างสังกัด “อัยการคดีพิเศษ” ท่านทราบหรือไม่ว่าในช่วงนั้น ใครเป็นลูกพี่? ใครเป็นอธิบดีอัยการคดีพิเศษ? แล้วเหตุใดจึงไม่มีคำชี้แจงจากปากท่านบ้าง
เอาให้ตรงประเด็น เอาให้ตรงข้อสงสัย จึงจะเกิดความกระจ่างชัด
นอกจากนี้ กรณีคดีบอสนั้นก็สั่งคดีโดยรองอัยการสูงสุดคนเดียวกับที่สั่งไม่อุทธรณ์คดีฟอกเงินพานทองแท้
คดีฟอกเงินพานทองแท้ ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนเห็นควรพิพากษาลงโทษให้จำคุกจำเลย 4 ปี โดยไม่รอลงอาญา และทำความเห็นแย้งไว้ท้ายคำพิพากษาด้วย ครั้งนั้น รองโฆษกอัยการก็ชี้แจงว่า อัยการสูงสุด นายวงศ์สกุล กิตติพรหมวงศ์เพิ่งทราบเรื่องภายหลัง เพราะขณะนั้นเดินทางไปราชการในพื้นที่ภาค 7 โดยนายเนตรนาคสุข รองอัยการสูงสุด อาวุโสลำดับที่ 1 รักษาราชการแทน เป็นผู้ลงนามคำสั่งไม่อุทธรณ์คดี
ครั้งนั้น ก็อ้างว่า ให้รายงานข้อเท็จจริง แล้วจะชี้แจงต่อสังคมต่อไป
แต่จากบัดนั้นเป็นต้นมา ผ่านไปหลายเดือน ก็ยังไม่มีคำชี้แจงรายละเอียด เหตุผล ข้อเท็จจริง เกี่ยวกับการสั่งไม่อุทธรณ์คดีฟอกเงินของนายพานทองแท้เลย
สังคมยังคาใจจนวันนี้ว่า ทำไมอัยการสูงสุดถึงต้องไปตรวจราชการต่างจังหวัด แล้วคนที่ลงนามแทนจึงต้องเป็นผู้อื่น? เพราะอะไร? แล้วทำไมการพิจารณาไม่ผ่านอัยการสูงสุด ทั้งๆ ที่ คดีในข้อหาสำคัญยังไม่หมดอายุความยังมีเวลา การไปตรวจราชการก็ไปแค่ต่างจังหวัด ไม่ใช่ไปต่างประเทศ
4. ไหนจะยังมีคดีอื่นๆ
คดีธรรมกาย คดีมูลนิธิธรรมกาย คดีฟอกเงินเจ้าสัวธรรมกาย
คดีวิคตอเรีย ซีเคร็ท ล่าสุด มีการสอบสวนในชั้น ป.ป.ช. มีการให้ข้อมูลเส้นทางการเงิน พบว่า ผู้ต้องหามีการจ่ายเงินให้เจ้าหน้าที่รัฐ ในจำนวนนั้น มีอัยการบางคนได้รับเงินด้วย
โดยนายรณสิทธิ์ พฤกษยาชีวะ ประธานมูลนิธิรณสิทธิ์เพื่อช่วยเหลือเหยื่อค้ามนุษย์ เด็ก และสตรี เพิ่งเข้าไปให้ปากคำ ระบุมีเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ อัยการรวมถึงเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูง ได้รับโอนเงินตั้งแต่หลักสิบล้านบาท ไปจนถึงหลักร้อยล้านบาท จากเสี่ยผู้ต้องหาคดีวิคตอเรีย ซีเคร็ท
ถามว่า คนในองค์กรอัยการ ยังจะปกป้อง “ปลาเน่า” กันอยู่หรือ?
โดยเฉพาะเมื่อปลาเน่าตัวนั้น เป็น “ปลาใหญ่” ?
แล้วองค์กรอัยการ จะอยู่อย่างไร?
สงสัยว่า นายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จะปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไปอีกหรือ? อันตรายต่อความมั่นคงของประเทศชาติอย่างยิ่ง
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี