“ทำไมคนที่ไม่เคารพในเสรีภาพของผู้อื่น จึงชอบเรียกร้องเสรีภาพให้ตนเอง” คำถามนี้น่าคิดมิใช่น้อย เหตุที่ต้องตั้งคำถามเช่นนี้ ก็เพราะยิ่งนับวันก็ยิ่งพบว่าในสังคมไทยมีคนเรียกร้องเสรีภาพกันมากขึ้น และมากขึ้นเป็นลำดับแต่ที่น่าอัศจรรย์ใจคือ การได้พบว่าคนที่เรียกร้องเสรีภาพเหล่านั้น ล้วนจงใจกระทำละเมิดต่อเสรีภาพของผู้อื่นตลอดเวลา
หากจะอ้างตามหลักวิชาการสมัยใหม่ ก็ต้องกลับไปดูงานเขียนของ Immanuel Kant นักปรัชญาชาวเยอรมัน ที่บอกว่ามนุษย์ต้องมีเหตุผลและเสรีภาพ แต่ก็ต้องไม่ลืมว่ามนุษย์ก็คือสัตว์ชนิดหนึ่ง ดังนั้นจึงแสดงออกตามอารมณ์ ความต้องการ ความรู้สึก และตามสัญชาตญาณ นั้นก็หมายความว่าการกระทำของมนุษย์ในหลายต่อหลายครั้งก็ไม่ต่างไปจากสัตว์ แต่ถ้ามนุษย์กระทำการใดๆ ตามหลักของเหตุผล และหลักเสรีภาพ ก็จะแสดงออกให้เห็นว่ามนุษย์ได้กระทำการด้วยความดีและมีศีลธรรม
แต่คำถามต่อมาก็คือ “เหตุผล” ที่มนุษย์อ้างนั้นเป็นเหตุผลที่ดีงามจริงหรือ หรือว่าเป็นเพียงข้ออ้างต่างๆ ที่ยกขึ้นมาเพื่อสนับสนุนการกระทำของตนเองเท่านั้น โดยไม่ใส่ใจว่านั่นคือเหตุผลที่แท้จริงที่ทุกคนยอมรับได้หรือไม่
ในประเด็นนี้ Kant ยอมรับว่าการอ้างเหตุผลของมนุษย์นั้น มันไม่ใช่เหตุผลตามความหมายของคำว่าreasoning คือการใช้หลักของเหตุผลที่แท้จริง แต่มนุษย์มักจะยกข้ออ้างต่างๆ มา แล้วบอกว่านั่นคือเหตุผล แต่ทว่ามันคือเหตุผลของคนอ้างเท่านั้น โดยยกเอาข้ออ้างมาเป็นเหตุผลเพื่อสนับสนุนข้อสรุปและการตัดสินใจกระทำของตน โดยมุ่งเน้นในสิ่งที่ตนเองชอบ แล้วก็อ้างเหตุผลมาสนับสนุนสิ่งที่ตนเองชอบ แล้วก็อ้างต่อไปว่าการกระทำของตนเองมีเหตุผล และเป็นสิ่งดีงาม ถ้าหากมนุษย์ทุกคนอ้างเหตุผลเช่นนี้แล้ว ก็บอกได้คำเดียวว่า สังคมมนุษย์จะไม่มีทางสงบอย่างแน่นอน เพราะต่างฝ่ายต่างอ้างเหตุผล เพื่อสนับสนุนความต้องการของตน
แน่นอนว่า หากเราเชื่อตามแนวคิดของนักวิชาการและนักปรัชญาตะวันตก ก็จะต้องยอมรับว่ามนุษย์มีความเท่าเทียมกัน ไม่ว่ามนุษย์จะมีเพศใด เชื้อชาติใด ใช้ภาษาใดมีวัฒนธรรม และความเป็นอยู่อย่างไร มนุษย์ก็ต้องเท่าเทียมกัน โดยมนุษย์ที่เท่าเทียมกันนั้นต้องเป็นผู้มีเหตุผลมีเสรีภาพ มีความเสมอภาค และมีศักดิ์ศรีของตนเอง โดยหลักวิชาการด้านเสรีภาพของตะวันตกเชื่อด้วยว่า มนุษย์มีอิสรภาพเต็มเปี่ยม โดยมีอิสรภาพเหนือชีวิต ร่างกาย จิตใจ และทรัพย์สินอย่างสมบูรณ์ ซึ่งหมายความว่า มีความเสมอภาคในความเป็นมนุษย์ หรือมีความเท่าเทียมกัน แล้วก็ยังเชื่ออีกว่าคนที่มีความเท่าเทียมกัน มีเสรีภาพ และมีเหตุผลคือคนที่จะช่วยกันทำให้สังคมมนุษย์มีความมั่นคง มีความสุข มีความเคารพกันและกัน มีศีลธรรมจรรยา และมีประโยชน์สุขร่วมกัน แล้วที่สำคัญคือจะเป็นสังคมที่มีความยุติธรรมในด้านการเมืองและด้านสังคม เพราะทุกคนจะเคารพในความเป็นคนของกันและกันอย่างแท้จริง
ขอย้ำว่า นั่นคือหลักปรัชญาตะวันตก แต่เมื่อพิจารณาหลักของพุทธศาสนาก็ให้ความสำคัญของเสรีภาพอย่างเห็นได้ชัด จนกล่าวได้ว่าพุทธศาสนาคือศาสนาที่เน้นหลักประชาธิปไตย เพราะพระพุทธองค์ทรงมอบให้คณะสงฆ์เป็นใหญ่ในกิจการด้านศาสนา โดยทำตามพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด และเน้นหลักปฏิบัติโดยยึดทางสายกลาง มีความเสมอภาคภายใต้พระธรรมวินัย โดยไม่คำนึงว่าบุคคลที่เข้ามาเป็นพระภิกษุแล้วนั้นจะมาจากวรรณะใด เช่น กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร หรือจัณฑาล แต่เมื่อได้เป็นพระภิกษุโดยถูกต้องแล้ว ทุกคนต่างเท่าเทียมกัน ต้องปฏิบัติตามสิกขาบทเท่าเทียมกัน และต้องเคารพกันตามลำดับอาวุโสของการอุปสมบท คือผู้อุปสมบทก่อนมีอาวุโสสูงกว่าผู้อุปสมบทภายหลัง พระภิกษุมีสิทธิ เสรีภาพเท่าเทียมกันภายใต้พระธรรมวินัย แต่มีข้อกำหนดเพื่อความเป็นระเบียบของหมู่คณะคือ พระภิกษุผู้เป็นเจ้าถิ่นจะมีสิทธิได้รับของก่อนพระภิกษุผู้เป็นอาคันตุกะ และภิกษุที่มีพรรษาสูงกว่าได้รับของตามลำดับพรรษา พระภิกษุมีเสรีภาพในการเดินทางและการจำพรรษา และสามารถเลือกปฏิบัติกรรมฐาน และถือธุดงควัตรข้อใดก็ได้ตามที่เห็นสมควรโดยไม่ผิดพระธรรมวินัย มีการแบ่งอำนาจการปกครองเพื่อความสงบสุขของหมู่สงฆ์โดยทำตามพระธรรมวินัย และมีผู้ทำหน้าที่ตัดสินคือพระวินัยธรรม แล้วที่สำคัญคือการใช้เสียงข้างมากในพุทธศาสนา คือวิธีเยภุยยสิกา โดยใช้หลักธรรมาธิปไตยควบคู่ไปด้วย คือยึดมั่นในหลักคุณงามความดี คุณธรรม ความถูกต้องอย่างเคร่งครัดโดยเสียงส่วนใหญ่นั้นต้องยึดมั่นในหลักธรรมะ หลักความถูกต้องดีงาม และหลักคุณธรรม
เมื่อเปรียบเทียบหลักการด้านเสรีภาพกันโดยย่อๆ ระหว่างแนวคิดตะวันตกกับแนวคิดของพุทธศาสนา จะพบว่าให้ความสำคัญด้านเสรีภาพไม่ต่างกัน แต่แนวคิดของพุทธศาสนามีรายละเอียดปลีกย่อยที่เน้นหนักในเรื่องหลักธรรมะ และความถูกต้องดีงาม และหลักคุณธรรม แต่สำหรับแนวคิดของ Kant ไม่ได้ให้ความสำคัญกับหลักของศาสนา จารีต ประเพณี อำนาจรัฐ และอำนาจของครอบครัว เพราะ Kant มองว่ามนุษย์ต้องอิสระจากทุกสิ่งอย่าง เพื่อให้สามารถตัดสินใจได้โดยอิสระเสรี และปกครองตนเองได้โดยยึดมั่นในหลักศีลธรรม โดย Kant มองว่ามนุษย์ต้องปกครองตนเองได้ด้วยหลักศีลธรรม คือต้องมีเสรีภาพในการใช้เหตุผล เพื่อกำหนดหลักการที่ถูกต้องดีงามสำหรับตัวเองได้
แน่นอนว่ามนุษย์ต้องเชื่อมั่นว่าคนเราทุกคนต้องมีเสรีภาพในการใช้เหตุผล และต้องมีหน้าที่เคารพเสรีภาพในการใช้เหตุผลของกันและกัน ไม่ใช่ว่าอ้างเหตุผลเพื่อสนับสนุนการกระทำของตนเองเท่านั้น แต่กลับใช้อำนาจบีบบังคับให้ผู้อื่นต้องกระทำตามความต้องการของตนเอง แล้วยังห้ามผู้อื่นใช้เหตุผลของเขาโต้แย้งคำสั่งของตน
ก่อนที่จะฟุ้งกับหลักคิดของตะวันตกและหลักคิดของพุทธศาสนามากไปกว่านี้ ขอกระตุกความคิดของคุณๆ กลับมาที่เรื่องการประท้วงของนักเรียนที่กำลังเกิดขึ้นในยุคนี้ โดยเฉพาะข้อเรียกร้องที่ว่าต้องการให้นักเรียนมีเสรีภาพมากขึ้น เช่น ต้องการไว้ทรงผมใดๆ ก็ได้ แต่งกายไปโรงเรียนด้วยเสื้อผ้ารูปแบบใดก็ได้ รวมถึงเรียกร้องให้ยกเลิกกฎระเบียบและการปฏิบัติอื่นๆ เช่น ไม่ต้องเข้าแถวเคารพธงชาติช่วงเช้า เป็นต้น รวมทั้งข้ออ้างว่าให้ยุติการกระทำละเมิดต่างๆ ต่อนักเรียนอีกด้วย(แต่ข้ออ้างเรื่องกระทำละเมิดต่อนักเรียนนั้น เป็นข้ออ้างที่เลื่อนลอยมาก) ส่วนข้ออ้างที่ว่าไม่มีความปลอดภัยในโรงเรียน ก็เป็นข้ออ้างที่แสนจะเลื่อนลอยเช่นกัน
แน่นอนว่า สังคมไทยยินดีรับฟังคำเสนอแนะ และข้อเรียกร้องของนักเรียนเสมอ แต่ขณะเดียวกันก็มีคำถามว่า สิ่งที่นักเรียนเรียกร้อง และเสนอแนะนั้น เป็นสิ่งที่เหมาะสมแท้จริงหรือไม่ แล้วเป็นประโยชน์โดยแท้จริงกับตัวของนักเรียนเองหรือไม่
มีคำถามว่า การมีกฎให้นักเรียนชายตัดผมสั้น(ผมทรงนักเรียน) นักเรียนหญิงต้องตัดผมทรงนักเรียน (ห้ามดัด ห้ามซอย ห้ามไว้ผมยาวรุงรัง ห้ามทำสีผม) มันคือการละเมิดสิทธิ เสรีภาพของเด็กจริงหรือ แล้วการอนุญาตให้เด็กนักเรียนไว้ทรงผมอะไรก็ได้ตามใจปรารถนาคือการทำให้เด็กมีเสรีภาพจริงหรือ การไว้ผมยาวหรือผมสั้นสำหรับเด็กนักเรียนชาย มีผลอะไรต่อชีวิตประจำวันของนักเรียนบ้าง มีผลต่อค่าใช้จ่ายประจำวันของเด็กนักเรียนและต่อครอบครัวมากขึ้นหรือไม่ ทรงผมมีผลต่อสุขภาพอนามัยของเด็กนักเรียนหรือไม่
แค่เรื่องทรงผมของนักเรียนชายเพียงประเด็นเดียวเท่านั้น คนในสังคมก็ต้องมานั่งพูดคุยกันให้ลึกซึ้งแล้ว แล้วก็ต้องไม่ลืมว่ามนุษย์ทุกคนอยู่ร่วมกันในสังคม หากมนุษย์ทุกคนมีเหตุผลที่ดี มีความรับผิดชอบต่อตัวเองและต่อสังคมอย่างดีแล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นต้องมาถกเถียงกันเรื่องสิทธิ เสรีภาพของแต่ละคน แต่ปัญหาคือในความเป็นจริงนั้นมนุษย์มีเหตุผลแท้จริงหรือ แล้วยึดมั่นในเหตุผลสากลแท้จริงหรือ แล้วมนุษย์มีความรับผิดชอบต่อตัวเองและต่อสังคมดีแล้วหรือ
สังคมมนุษย์ไม่จำเป็นต้องมีกฎระเบียบใดๆ เลย ถ้าหากมนุษย์รับผิดชอบตัวเองได้ดีเยี่ยม และรับผิดชอบสังคมได้ดีเลิศ แล้วสังคมมนุษย์ก็ไม่จำเป็นต้องมีกฎเกณฑ์ใดๆ ด้วย หากมนุษย์ทุกคนมีเหตุผลที่ดี และทำทุกอย่างโดยคำนึงถึงเหตุผลที่ดี แต่คำถามสุดท้ายคือ มีมนุษย์สักกี่คนที่มีเหตุผลที่ดี และทำตามหลักของเหตุผลที่ดี และทำเพื่อประโยชน์ของส่วนรวมโดยแท้จริง
กับเพียงแค่การทำตามกฎระเบียบที่ทำให้สังคมมีความเป็นระเบียบเรียบร้อย มีความสงบสุข มนุษย์จำนวนไม่น้อยยังไม่สามารถทำได้เลย แล้วถ้าหากสังคมไม่มีกฎระเบียบ สังคมจะแหลกเหลวเละเทะและเสื่อมทรามสักเพียงใด โปรดลองคิดดู แล้วฝากคิดประเด็นสุดท้ายว่า หากนักเรียนคิดว่าไม่จำเป็นต้องทำตามกฎระเบียบที่ดีงามแล้วนักเรียนสามารถดูแลตัวเองได้หรือไม่ ขนาดมีกฎมีระเบียบ นักเรียนหลายคนยังทำตัวเละเทะได้ถึงเพียงนี้ หากปราศจากกฎระเบียบแล้ว จะเกิดความเละเทะมากมากสักเพียงใดกับตัวเอง โปรดพิจารณาให้ถี่ถ้วนด้วยเถอะ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี