นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี เข้าร่วมเวทีเสวนาที่ ครป. จัดขึ้น และมีคำแนะนำต่อวันสำคัญ คือวันที่ 17-18 พฤศจิกายนนี้ ที่จะมีการพิจารณาเรื่องรัฐธรรมนูญของรัฐสภา แหลมคม และน่าสนใจ ดังนี้
ต้องเท้าความนิดหนึ่งว่า ผมได้มีโอกาสแสดงความคิดต่อสถานการณ์ปัจจุบันกับเรื่องรัฐธรรมนูญมา ถอยหลังไปไกลมาก ก็คือ เมื่อปี พ.ศ.2559 ก่อนที่จะมีการลงประชามติ ผมก็เป็นคนหนึ่งที่ออกมาแสดงความคิดเห็นว่า ไม่สมควรรับร่างรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 โดยเหตุผลที่ผมให้ในวันนั้นมีมากพอสมควร ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ปัญหาเกี่ยวกับหมวดสิทธิเสรีภาพ ซึ่งถดถอยไปจากเดิม หรือคำกล่าวอ้างว่า เป็นรัฐธรรมนูญฉบับปราบโกง แต่จริงๆ แล้ว กลไกตรวจสอบกลับมีความอ่อนแอ หรือมีความโน้มเอียงที่จะไม่เที่ยงธรรมมากยิ่งขึ้น และรวมไปถึงเรื่องที่ชัดเจนมากที่สุดก็คือ ความไม่เป็นประชาธิปไตยตามมาตรฐานสากล
จำได้ว่าวันนั้น มีประเด็นที่เกี่ยวกับวุฒิสภาโดยเฉพาะ ซึ่งได้รับคำอธิบายจากผู้ร่างรัฐธรรมนูญทำนองว่า สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ที่จะต้องมีบทบาทเยอะแยะไปหมดดังที่เขียนอยู่นั้นก็เพราะว่าการเมืองก่อนหน้านั้นมีแต่ความขัดแย้ง แตกแยก วุฒิสภาก็จะเข้ามาทำหน้าที่เป็นองค์กรที่ทำให้ความขัดแย้งลดลง ซึ่งผมได้พูดในวันนั้นว่า จากวิธีการร่างรัฐธรรมนูญที่เกิดขึ้นผมไม่ได้มองว่า วุฒิสภาจะมาลดความขัดแย้ง แต่ผมมองว่า เมื่อใช้ไปแล้ว วุฒิสภานั่นแหละ จะเป็นจุดของความขัดแย้งเสียเอง แล้วก็มีแนวโน้มสูงว่า วุฒิสภาจะถูกมองว่า มีฝักมีฝ่ายไม่ใช่เป็นคนกลาง ซึ่งผมคิดว่า ที่พูดในวันนั้น น่าจะเป็นจริงเกือบหมดแล้ว ในวันนี้
พูดในวันนั้น ก่อนที่จะมีพรรคพลังประชารัฐ ก่อนที่จะมีความชัดเจนว่า บุคคลใน คสช. จะมาเล่นการเมืองเสียเอง แต่เมื่อมาเปลี่ยนแปลงทีหลัง คือ ตัดสินใจเข้ามาเล่นการเมืองเสียเอง ไอ้ประเด็นที่ตั้งข้อสังเกตว่าจะเป็นปัญหา ก็ยิ่งมีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ผ่านกระบวนการที่ไปตีความเรื่อง ความเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐและอื่นๆ ซึ่งก็เป็นการสะสมความผิดเพี้ยนของเจตนารมณ์ที่เคยกล่าวอ้างไว้ในตอนร่าง
ต่อมาในช่วงการเลือกตั้ง ด้วยเหตุผลที่สืบเนื่องมา ผมจึงได้บอกว่า ผมไม่สนับสนุนให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชากลับมาเป็นนายกรัฐมนตรี เพราะท่านได้กลายเป็นหรือจะกลายเป็นจุดของความขัดแย้ง ในขณะที่มีการโฆษณากันอย่างแพร่หลายว่า ท่านจะเป็นผู้นำความสงบมาสู่สังคม วันนี้ผมคิดว่าก็ชัดเจนแล้ว ที่ พล.อ.ประยุทธ์ ได้กลายมาเป็นจุดของความขัดแย้ง หรือกลายมาเป็นศูนย์กลางของความขัดแย้งไปอีก
เมื่อปีที่แล้ว หลังจากที่ผมได้ลาออกจากการเป็น สส.แล้ว ได้ไปออกรายการกับคุณสุทธิชัย หยุ่น และได้พูดถึง ตั้งแต่ก่อนที่จะมีปัญหาเรื่องการยุบพรรคอนาคตใหม่ ก่อนที่จะมีปัญหาการชุมนุมประท้วงในปีนี้ ว่าผมมีความเป็นห่วงว่า สังคมกำลังเดินเข้าสู่ความขัดแย้ง หรือความแตกแยกที่รุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งคุณสุทธิชัยก็ได้ถามว่า แล้วจะป้องกันหรือแก้ไขอย่างไร ผมก็บอกว่า จริงๆ แล้ว มิติของความขัดแย้งมันเริ่มสลับซับซ้อนมากขึ้น มันไม่เหมือนกับความขัดแย้งของสองขั้วการเมืองเมื่อ 10 กว่าปีที่ผ่านมา มันมีมิติปัญหาเรื่องความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ที่สำคัญที่สุดคือ มันมีมิติของความคาดหวังของคนรุ่นใหม่ ซึ่งเปลี่ยนแปลงกระบวนทรรศน์ หรือความคาดหวังต่อสังคมในอนาคต ที่ค่อนข้างจะไม่ตรงกับคนรุ่นก่อนเขา
แต่สลับซับซ้อนแบบนี้เนี่ย ผมก็บอกว่า มันไม่ถึงกับไม่มีทางออกเอาเสียเลย คุณสุทธิชัยก็ถามว่า แล้วอะไรที่จะเป็นตัวช่วยในการลดปัญหาเหล่านี้บ้าง วันนั้นผมก็ตอบไปว่า จุดที่ควรจะง่ายที่สุดก็คือ เรื่อง “รัฐธรรมนูญ” เหตุผลนั้น บางทีหลายคนจะชอบพูดเรื่องประชามติ แต่ว่าถ้าย้อนกลับไปในการเลือกตั้งเมื่อเดือนมีนาคม 2562 แทบจะทุกเวทีที่มีการดีเบตหาเสียง ทุกพรรคการเมืองจะถูกถามว่า จะแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญหรือไม่ ผมบอกได้เลยว่า ทุกเวที ทุกพรรค ยกเว้นพรรคพลังประชารัฐกับพรรคคุณไพบูลย์ นิติตะวัน เท่านั้น ที่บอกว่าจะไม่แก้ ก็ต้องยอมรับความจริงว่า เสียงส่วนใหญ่ในสภาผู้แทนราษฎรวันนี้ มาจากพรรคการเมืองที่ล้วนแล้วแต่บอกว่า จะผลักดันให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญด้วยกันทั้งสิ้น โดยทุกพรรคก็ตระหนักดีว่า ต่อให้ทุกพรรคเห็นด้วย รัฐธรรมนูญก็ไม่ผ่าน ถ้าสมาชิกวุฒิสภาไม่ร่วมมือ
ผมก็บอกว่า กุญแจที่จะคลี่คลายความขัดแย้งนี้ก็คือ ถ้าทำให้รัฐสภามีฉันทามติ ว่าถึงเวลาแล้ว ที่จะต้องแก้กติกาให้เป็นประชาธิปไตยแบบสากลที่ทุกคนยอมรับ ให้เป็นกติกาที่ไม่ต้องมาพูดกันว่ามันถูกออกแบบมาเพื่อฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด มันจะเป็นจุดเริ่มต้นของการสมานฉันท์ ของการปรองดอง หรือการคลี่คลายความขัดแย้งที่ดีที่สุด นั่นคือ 1 ปีที่แล้ว ก่อนที่จะมาเจอกับปัญหาการยุบพรรค ก่อนที่จะมาเจอกับปัญหาการชุมนุม และก่อนที่ประเด็นข้อเรียกร้อง จะเพิ่มเติมไปถึงข้อเรียกร้องที่เกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์
ดังนั้น ในวันนี้ ที่ตั้งโจทย์เรื่องรัฐธรรมนูญว่า ในวันที่ 17-18 พฤศจิกายนนี้จะทำกันอย่างไร ผมก็ต้องบอกว่า ผมจับตาดูและเป็นห่วง เพราะว่าเมื่อ 2 เดือนที่แล้ว ที่ผมถูกถามว่าจากเหตุการณ์การชุมนุมและความขัดแย้งที่เราเห็นชัดเจนขึ้นนี้ เส้นทางมันจะไปอย่างไร ผมก็บอกว่า มันออกได้ 3 ทาง
ทางที่ 1 คือ ถ้าปล่อยกันไปแบบนี้ คือ ไม่ทำอะไร ไม่มีความพยายามที่จะเข้าหากันของฝ่ายต่างๆ วันหนึ่งมันก็ต้องไปจบลงที่ความรุนแรงและการปะทะกัน และถ้าถึงวันนั้นแล้ว มันก็ตอบยากมาก ว่าจะไปต่อในทิศทางไหน อย่างไร
ทางที่ 2 ก็คือ ต้องหาเวที หาพื้นที่ ที่จะทำให้สองฝ่ายมาพูดจากันด้วยเหตุด้วยผล ในเนื้อหาสาระที่เป็นประเด็นอยู่ให้ได้ ซึ่งถ้าทำได้และทำสำเร็จ ก็จะเป็นการคลี่คลายสถานการณ์ได้ดีที่สุด
ส่วนทางที่ 3 ซึ่งผมก็บอกว่า สังคมไทยค่อนข้างชำนาญ ก็คือ ขอโทษที่ต้องใช้คำว่า “มั่วๆ กันไป” คล้ายๆ กับว่า ค่อยๆ เอาตัวรอดกันทีละสถานการณ์ๆ ไป
ถามว่า วันนี้ เราอยู่ตรงไหน? ผมก็บอกว่า วันที่ 17-18 นี้ มันจะเริ่มมีคำตอบชัดเจนขึ้น ว่าเส้นทางที่เดิน จะไปทางไหนแน่
ทำไมถึงพูดอย่างนี้ ก็เพราะว่า ถ้าในวันที่ 17-18 เลือกที่จะปฏิเสธการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ หรือใช้วิธีประวิงเวลา ผมบอกได้เลยว่า เส้นทางที่จะนำไปสู่การคลี่คลายความขัดแย้งนั้น แทบจะไม่เหลือแล้ว พูดง่ายๆ คือ ถ้ารัฐธรรมนูญไม่ผ่านเลย น่าจะไปไม่ได้ แล้วถามผมว่า ถ้าเราจะไปในเส้นทางที่พอจะมีพื้นที่ให้คลี่คลายได้ ผมก็บอกว่า ต้องมีการรับหลักการรัฐธรรมนูญทุกฉบับ
ทำไมผมพูดอย่างนี้ ก็เพราะรัฐธรรมนูญที่เสนอเข้าไปทั้ง 7 ฉบับนั้น มันแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่ม
กลุ่มแรกคือ ปลดล็อก มาตรา 256 ว่าต่อไปนี้จะทำให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญ มันทำได้ง่ายขึ้น บวกกับการยอมรับว่า ต้องมีกระบวนการเขียนรัฐธรรมนูญขึ้นมาแทนรัฐธรรมนูญฉบับนี้ โดยที่ร่างของรัฐบาลกับฝ่ายค้านได้ระบุไว้ว่า ต้องไม่ไปเปลี่ยนแปลงหมวด 1 กับหมวด 2 ร่างของไอลอว์ก็มีเรื่องนี้ คือเรื่อง มาตรา 256 กับ ส.ส.ร. แต่อีกครึ่งหนึ่งของไอลอว์ ไปคาบเกี่ยวกับประเด็นที่ร่างของฝ่ายค้านอีก 4 ฉบับเสนอเข้าไป
ทำไมแยกเป็นสองกลุ่ม ก็เพราะว่าขณะนี้ ฝั่งรัฐบาลเองเนื่องจากเสนอฉบับเดียว ก็จะพูดกันเฉพาะประเด็นเรื่อง ส.ส.ร. แล้วทำให้สังคมเข้าใจว่า ถ้าผ่านฉบับนี้ได้ ก็เสมือนว่าทุกปัญหามันได้รับการแก้ไขแล้ว แต่ข้อเท็จจริงก็คือว่า ในกระบวนการของการผ่านมาตรา 256 และเพิ่มเติมในส่วนของการยกร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่นั้น สมมุติว่าผ่านวาระ 1 วาระ 2 วาระ 3ยังจะต้องไปผ่านด่าน 1 คือ การทำประชามติของประชาชน ซึ่งผมก็ขอพูดเสียเลยว่า คนที่ยังพยายามจะตีความไปอ้างคำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญปี’50 ควรจะไปอ่านทั้งคำวินิจฉัยของศาลและรัฐธรรมนูญทั้ง 2 ฉบับเสียใหม่ เพราะในครั้งนั้น ในการยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ไม่ต้องมีการไปทำประชามติเลย และที่จริงศาลก็ไม่ได้ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของคำวินิจฉัยด้วยว่า ต้องไปทำประชามติก่อน แต่ครั้งนี้ ถ้าจะต้องมีการเขียนหรือการแก้ไขเพิ่มเติมตามที่มีการพูดกันอยู่ อย่างไรก็ต้องไปผ่านประชามติของประชาชนอยู่แล้ว จึงไม่มีเหตุผลใดๆ ที่ต้องตีความว่า จะต้องไปทำประชามติสองรอบ
ด่านที่ 2 ก็คือ สมาชิกสภาสามารถยื่นให้ตีความได้อีก ว่าร่างที่เสนอกันนี้ ไปขัดหรือแย้งหรือชอบด้วยรัฐธรรมนูญในเรื่องของการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของรัฐ หรืออะไรต่างๆ หรือไม่และตอนนี้ก็มีแถมด่านพิเศษขึ้นมา ก็คือ เกิดมี สส. กับ สว. จำนวนหนึ่ง ไม่รู้อำนาจหน้าที่ของตัวเอง แล้วก็อยากจะไปถามศาล ว่าตัวเองมีอำนาจหรือไม่ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่แปลกอยู่
ผ่านด่านเหล่านี้เสร็จแล้ว ก็ต้องไปเลือก ส.ส.ร. ซึ่งก็ไม่รู้อีกว่าจะเลือกกันแบบไหน จะมีการใช้ความได้เปรียบ หรือการถืออำนาจในกลไกของรัฐ เข้ามาเกี่ยวข้องหรือไม่ ยังไม่รู้เลยว่า ส.ส.ร.จะร่างรัฐธรรมนูญออกมาอย่างไร ซึ่งอย่างต่ำก็ต้องใช้เวลาอีกประมาณ 8-9 เดือน เบ็ดเสร็จก็น่าจะปี 2565 แล้วนะครับ เสร็จแล้วยังจะต้องมาผ่านความเห็นชอบของสภา หรือประชามุติกันอีก นั่นก็อาจจะเข้าไปถึงกลางปี 2565 แล้วถ้าสมมติว่าผ่าน ก่อนนำไปใช้ ก็ต้องไปทำกฎหมายลูกมารองรับอีก สรุปว่ามาหลังวัคซีนโควิดแน่นอน เผลอๆ รัฐบาลอาจจะใกล้ครบเทอม
ดังนั้น การรับร่างรัฐธรรมนูญเฉพาะส่วนนี้ จึงไม่อาจเป็นคำตอบได้ นี่ผมพูดบนสมมุติฐานว่า ท่านนายกฯ ไม่ลาออก ตามข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุม เพราะความตึงเครียดบนท้องถนนที่จะเกิดขึ้นต่อไป จากการปฏิเสธร่างของภาคประชาชนจากการไม่แก้ไขบทบัญญัติอื่นๆ จะทำให้การเผชิญหน้ามีต่อ และที่สำคัญก็คือ ทางออกทางการเมืองตามระบบ ไม่ว่าการลาออกหรือการยุบสภา ทำให้เราต้องกลับไปใช้กติกาเดิม ซึ่งก็จะทำให้สถานการณ์วนกลับมาอยู่ที่เดิม โดยไม่ได้คลี่คลายแก้ไขอะไรนี่คือเหตุผลว่า ทำไมผมจึงคิดว่า ควรมีการรับหลักการทั้ง 7 ร่างซึ่งไม่ได้หมายความว่า ผมเห็นด้วยกับเนื้อหาทั้งหมดใน 7 ร่างที่เสนอมา แต่ผมเห็นว่า การรับหลักการจะเป็นรูปธรรมเดียวที่แสดงออกให้เห็นว่า ผู้มีอำนาจ เข้าใจ ได้ยิน สิ่งที่มีการเรียกร้องในวันนี้ว่า กติกาที่ไม่เป็นธรรมจะต้องถูกแก้ไข และประเด็นที่เป็นข้อเรียกร้อง จะมีการพิจารณา
การรับเข้าไป จะเป็นการสร้างเวทีและโอกาส ให้สมาชิกรัฐสภามีโอกาสได้แลกเปลี่ยนกับผู้เสนอ ไม่ว่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับรายละเอียด ก็สามารถแปรญัตติได้ ไปถกเถียงแลกเปลี่ยนกันได้
กรณีหมวด 1 กับหมวด 2 ทุกวันนี้ก็ถูกหยิบมาเป็นคำพูดง่ายๆ โดยแปลความว่าเกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ทั้งหมดในรัฐธรรมนูญ ผมก็อยากจะเรียนมา ถ้าเราย้อนไปดูรัฐธรรมนูญปี’40, 50, 60 นั้น จะพบว่าหมวดหนึ่งกับหมวดสองมีการเปลี่ยนแปลงมาโดยตลอด จึงไม่เป็นไปอย่างที่พยายามทำให้เข้าใจกันอยู่ว่า การแก้หมวด 1 หมวด 2จะกระทบกระเทือนกับเรื่องนั้นเรื่องนี้ สำคัญกว่านั้น อยากจะเรียนว่า ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์และพระราชอำนาจ ไม่ได้มีอยู่เฉพาะในหมวด 1 กับ 2 บทบัญญัติในหมวดอื่นๆ ล้วนมีความเกี่ยวพันกับพระมหากษัตริย์และพระราชอำนาจอยู่ด้วยทั้งสิ้น ถ้าเรากังวลว่า จะมีการใช้โอกาสนี้ไปล้มล้างหรือเปลี่ยนรูปของรัฐ ซึ่งจริงๆ ก็ทำไม่ได้อยู่แล้ว เพราะขัดรัฐธรรมนูญ สิ่งที่เราทำได้ จึงไม่ใช่การไปบอกว่า ไม่ต้องแก้หมวด 1 หมวด 2 หรือห้ามแตะ แต่การมาตกลงกัน มาแปรญัตติ แล้วเขียนไว้เสียเลยว่า ในการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่นั้นว่า “ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักร, เป็นรัฐเดี่ยว มีพระมหากษัตริย์ที่ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจสอดคล้องกับหลักการประชาธิปไตยและประเพณีการปกครองของประเทศ อย่างนี้ต่างหากถึงจะเป็นรูปธรรมของคำตอบ และเปิดพื้นที่ให้เราสามารถนำเรื่องที่ยากและละเอียดอ่อน ออกมาจากความขัดแย้งหรือตอบโต้กันบนท้องถนน ที่สร้างอารมณ์อย่างรุนแรงให้กับทุกๆ ฝ่าย มาคุยกันในเวทีด้วยเหตุด้วยผล
แต่สิ่งที่ผมคาดการณ์ คือ สภาจะรับบางร่าง ไม่รับบางร่าง ซึ่งสังคมก็จะไม่ไว้วางใจ และอยู่ในความสับสน ว่าจะแก้หรือไม่แก้อย่างไร
สุดท้ายที่ผมจะพูด แฟนๆ ท่านนายกฯ ก็คงจะระดมคนเข้ามาด่าผมอีก ตามปกติ แต่เราต้องพูดความจริงกันนะครับว่า ทำไมวันนี้ คนถึงยังพูดกันว่า ช่องว่างระหว่างสองฝ่ายไม่ลดลงเลย ทำไมวันนี้ทุกคนยังมีความหวาดระแวงอยู่ ว่า รัฐธรรมนูญจะผ่านหรือไม่ มีความพยายามจะบอกว่า เอ๊ะ ท่านนายกฯ ส่งสัญญาณแล้วนี่ ผมนี่ว่างงาน จึงมีโอกาสติดตามทุกคำพูด มากที่สุด ที่ท่านนายกฯ พูด คือบอกให้พรรครัฐบาลสนับสนุนร่างของพรรครัฐบาล มากที่สุดที่ท่านนายกฯพูดคือ มันอยู่ในกระบวนการแล้วนี่ สภากำลังพิจารณาอยู่ มากที่สุด ผมไม่ได้ขัดขวาง
จริงๆ แล้วในระบบรัฐสภา ผมอยากทำความเข้าใจว่า ฝ่ายบริหารกับฝ่ายนิติบัญญัติไม่ได้แยกกันโดยเด็ดขาดแล้วอะไรที่ถือว่าเป็นเรื่องที่เป็นทิศทางนโยบายของรัฐบาล รัฐบาลต้องมีส่วนสำคัญในการโน้มน้าวให้ฝ่ายนิติบัญญัติสนับสนุนสิ่งที่ตัวเองทำ
ผมจะยกตัวอย่างว่า มีหลายเหตุการณ์ที่ผมติดตามข่าวแล้ว ผมสงสัยว่ารัฐบาลจะเอาอย่างไรแน่
1.รัฐบาลเขียนในนโยบายที่แถลงต่อสภาว่า รัฐบาลสนับสนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
2.แต่เมื่อมี สส.ฝ่ายรัฐบาล ลุกขึ้นมาอภิปรายคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ผมถามท่านว่า ตามระบบรัฐสภา รัฐบาลจะต้องดำเนินการกับ สส.เหล่านั้นไหม เพราะแสดงออกในทางตรงกันข้ามหรือเป็นปฏิปักษ์กับนโยบายของรัฐบาล คำตอบคือ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยครับ กับ สส. เหล่านั้น
3.มี สส.พรรคร่วมรัฐบาลกลุ่มหนึ่ง ไปลงชื่อสนับสนุนญัตติของพรรคก้าวไกล ที่เสนอให้แก้ไข มาตรา 272 ว่าด้วยอำนาจของ สว.ในการเลือกนายกฯ ซึ่งสำหรับผม การแก้เรื่องนี้นอกจากเป็นสิ่งที่ควรทำแล้ว จะเป็นรูปธรรมที่สุดของคำว่า “ถอยหนึ่งก้าว” เพราะนั่นคือการยอมรับแล้วว่า จะไม่เอาเปรียบจากบทบัญญัตินี้ต่อไป แต่กลับมีการกดดันให้ สส.ที่เข้าชื่อ ต้องไปถอนชื่อออก
แปลกไหมล่ะครับ รัฐบาลประกาศนโยบายเร่งด่วนว่าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตยยิ่งขึ้น มี สส.แสดงตนเป็นปฏิปักษ์กับนโยบายนี้ ไม่ถูกทำอะไร แต่ สส.ที่สนับสนุนให้แก้ไขให้เป็นประชาธิปไตยยิ่งขึ้น กลับถูกกดดันวันนี้มีใครไม่เชื่อบ้าง ว่าถ้า พล.อ.ประยุทธ์ จริงใจที่จะแก้รัฐธรรมนูญ ท่านก็ทำให้สภาผ่านได้ ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ อยากให้ทั้ง 7 ฉบับผ่าน ง่ายนิเดียวพล.อ.ประยุทธ์ลุกขึ้นยืนกลางสภาเลย แล้วบอกว่า 7 ฉบับ ที่เสนอมานี้ คือทางออกของประเทศที่จะทำให้เราได้มาพูดคุยกัน เราอาจไม่ต้องเห็นด้วยกับทุกมาตรา ทุกรายละเอียด แต่ไปแปรญัตติ ไปแก้ไขกันได้ในชั้นกรรมาธิการ แล้วก็เปิดเวทีพูดคุยกัน ถ้าเราไม่ทำอย่างนี้ จะนำบ้านเมืองไปสู่ความขัดแย้ง ผมจะบริหารประเทศไม่ได้ ยืนขึ้นพูดสิครับ และบอกเลยว่า ผมขอนะครับท่าน สว. ท่าน สส. ให้ผมได้ทำงานต่อไปได้ ด้วยการผ่าน7 ฉบับนี้ ผมก็อยากจะรู้ว่ามี สว.ใจร้ายกี่คน ที่จะบอกว่าท่านไม่ต้องอยู่แล้ว เพราะพวกผมจะไม่ยอมให้ผ่าน
นี่คือคำแนะนำเพื่อไม่ให้วันที่ 17-18 เป็นวันแห่งการปิดทางที่จะลดทอนความขัดแย้งและสถานการณ์รุนแรงในบ้านเมือง สำคัญที่สุดคือผมอยากเห็นการนำเรื่องที่
เกี่ยวกับสถาบันออกจากท้องถนน เข้ามาสู่เวทีที่จะคุยกันได้โดยไม่ต้องเพิ่มความเกลียดชังต่อกัน และกระทบถึงสถาบันที่เราเคารพรักทุกวันๆ ต่อไป
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี