ปัญหาของประเทศไทยในวันนี้ คือ การไม่พูดความจริง และไม่จริงใจต่อกัน ด้วยเหตุว่า “คู่ขัดแย้ง” ทั้งสองฝ่ายที่ “ก่อสถานการณ์วิกฤติ” ขึ้นมา ถาโถมใส่บ้านเมือง โดยที่ “คนวงนอก” ของความขัดแย้ง ได้แต่ยืนมองตาปริบๆ และกำลังถามตัวเองกันว่า “สุดความอดทน” ของฉันแล้วหรือยังนั้น มีสาเหตุมาจาก ความอยากชนะของทั้งคู่โดยไม่ได้ดู “วิธีการ”
ฝ่าย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็อยากจะชนะ อยากจะถือครองอำนาจต่อไป โดยในใจลึกๆ บอกว่า เพราะฉันรักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ แต่ก็มิได้ใช้วิธีที่ตรงไปตรงมาเสียทั้งหมด
เริ่มตั้งแต่การวางกติกาที่ได้เปรียบคนอื่นก่อนเข้าสู่การเลือกตั้ง หลังเป็นหัวหน้า คสช. แล้ว เรื่องนี้ เห็นกันตำตา แต่ทว่า กองเชียร์ พล.อ.ประยุทธ์ ก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ก็กติกานี้มันช่วยให้คนดีได้มีอำนาจ จะให้อีกพวกขึ้นมาครองอำนาจแทนหรือไง ก็จมกันอยู่ใน “ร่องความคิด” แบบนี้ คิดแบบขั้วใคร ข้างใคร ไม่ได้คิดถึง “ความสง่างาม” การได้รับการ “ยอมรับ” จากทุกฟากฝั่ง
ฝ่ายค้านเองก็เล่นแง่ ตั้งตนเป็นศัตรูกับรัฐบาลจนเลอะเทอะ ไม่สามารถแยกได้ว่าอะไรดี อะไรไม่ได้ แล้วกล้าหาญที่จะหนุนเรื่องดีๆ ตรวจสอบถ่วงดุลเรื่องแย่ๆ ให้คนเห็นว่า ฝ่ายค้านก็เป็นที่พึ่งที่หวังได้ อภิปรายแต่ละครั้ง ก็มีแต่สภาพ “บ้านน้ำลาย” เนื้อหามี 1 ใส่น้ำ ใส่สำนวนโวหาร ที่ไม่ได้สะท้อนความฉลาดและความมีเหตุมีผลใดๆ ลงไปสัก 100 เห็นจะได้ มันจึงน่าเบื่อหน่าย เหมือนคนโกรธกันมา 500 ชาติและมาแสดงความอาฆาตกันในสภา
พอมามีการชุมนุม แรกทีเดียวก็อ้างเรื่องรัฐธรรมนูญ สังคมก็ตอบรับ แต่ต่อมาชักเลยเถิดขึ้นไปเรื่อยๆ โดยที่ฝ่ายผู้ชุมนุมและผู้ให้ท้าย ต่างก็มิยอมรับว่า ตนเองต้องการ “ล้มเลิกการมีสถาบันพระมหากษัตริย์” มิยอมรับความถ่อย ความหยาบคาย และความไม่เอาจริงเอาจังเรื่องกติกาการเลือกตั้ง เรื่องรัฐธรรมนูญ ที่เป็นชนวนของความขัดแย้งครั้งนี้โดยกระโดดทะลุเพดานไปโจมตีองค์พระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์อย่างเอาจริงเอาจัง แถมเรื่องที่นำมาโจมตี โดยเฉพาะในสื่อออนไลน์นั้น หนักไปทางข้อมูลเท็จ ที่มาจากความเขลาและอคติโดยแท้
ในที่สุด บ้านเมืองก็มาถึงจุดที่เกิดการ “แบ่งแยกเพื่อปกครอง” ทุกฝ่ายต่างปั้นมวลชนของตนขึ้นมา แล้วหาเหตุต่อว่าด่าทอกัน ไม่เว้นแต่ละวัน ไม่มีการหาพื้นที่ที่จะ
“คุยกัน” เพื่อ “แสวงจุดร่วม สงวนจุดต่าง”
รัฐบาลบอกว่าถอยคนละก้าว แต่ก็ไม่เคยถอยอะไร อ้างว่าเปิดทางให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญแล้ว แต่ดูกันดีๆ เถอะ ไม่ได้มีหลักประกันอะไรว่าจะได้แก้ หรือแก้แล้วจะผ่าน การขอให้ปลดล็อก ม.272 ตัดอำนาจการเลือกนายกฯ ของ สว. เสีย ให้เป็นหลักประกันก็ไม่ทำ ไม่กล้า ไม่จริงใจที่จะ “ถอย” สส.บางคนของพรรคประชาธิปัตย์ ไปลงชื่อหนุนญัตตินี้ของพรรคฝ่ายค้าน ก็ถูกกดดันกันหัวซุกหัวซุน จนต้องไปถอนชื่อกันอย่างน่าอับอาย หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คนปัจจุบัน ที่เคยชี้ชัดไว้แล้วว่า การให้ สว. ที่มาจากการเลือกของ คสช. มาดักรอ เป็นหลักประกันในการเลือกนายกฯอยู่ล่วงหน้านั้น คือ “ประชาธิปไตยวิปริต” แต่ก็ไม่เคยกล้าหาญจริงจัง ที่จะปลดล็อก ม.272 ซึ่งสามารถแก้เป็นรายมาตราได้ไม่ต้องไปยุ่งยากเรื่องประชามติเลย แต่ก็ให้โฆษกพรรคออกมาแถลงขอบคุณทุกฝ่าย ที่เปิดทางให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญช่างน่ารักอะไรปานนี้ “ค่อยเป็นค่อยไป” สุดท้ายถ้ารัฐบาลนี้ประกาศยุบสภา ก็ต้องเลือกกันด้วยกติกาเดิม ให้ กกต.คำนวณคะแนนปัดจุดทศนิยมตามเดิมใช่หรือเปล่า?
ทั้งๆ ที่ก่อนร่วมรัฐบาล ตั้งเงื่อนไขของการเข้าร่วมว่าต้องมีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตยต่อมานายกฯ แถลงเป็นนโยบายของรัฐบาล อยู่ในกลุ่มนโยบายเร่งด่วน แต่ก็ไม่เคยเร่งด่วน จนเกิดม็อบ “วิ่งไล่ลุง” เกิดกลุ่ม“นักเรียนเลว” เกิดการชุมนุมใหญ่ที่ธรรมศาสตร์ รังสิตถึงได้ “ร้อนอาสน์” ตั้งกรรมาธิการวิสามัญชุด นายพีระพันธุ์สาลีรัฐวิภาค ขึ้นมา ศึกษาปัญหาและแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ได้ผลการศึกษามา ก็มิได้กระตือรือร้นที่จะเดินหน้าแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ต้องรอให้จวนตัวเพราะม็อบรุกไล่ ฝ่ายค้านกดดัน พรรคร่วมรัฐบาลถูกกระทุ้งให้ถอนตัว ฯลฯ ถึงได้เริ่มเสนอญัตติการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญกัน แต่ก็มิได้นำผลการศึกษาของชุดนายพีระพันธุ์ มาเดินหน้าต่อด้วยตัวของรัฐบาลเองให้เกิดบรรยากาศที่ดี กติกาที่เป็นธรรม
พรรคประชาธิปัตย์ ก็เล่นบท “ช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม” ยอมถูกกดขี่ ย่ำยีศักดิ์ศรีไปเสียสารพัด จนคนในพรรคอึดอัด ล่าชื่อจะปลดหัวหน้าพรรคกันอยู่รอบแล้วรอบเล่า
พล.อ.ประยุทธ์ ก็เล่นบทลอยตัว “ให้สภาเขาดำเนินการ” แยกตัวเองออกมาเป็นฝ่ายบริหาร ทั้งๆ ที่พรรคพลังประชารัฐที่ตนมีอิทธิพลเหนือ กุมเสียงส่วนใหญ่ในฝ่ายนิติบัญญัติอยู่ หากจริงใจที่จะแก้ปัญหา ทำไมจะ“ส่งสัญญาณ” ไม่ได้
การอยู่ด้วยกันอย่าง “สวมหน้ากา” เข้าหากัน และ “สมประโยชน์” กัน แบบนี้นี่เอง ที่ทำให้ปัญหาไม่ถูกแก้ เพราะในสถานการณ์ความขัดแย้งแบบที่เป็นอยู่นี้ ทั้งสองฝ่ายต่างก็ “ได้ประโยชน์”
รัฐบาล - ได้ประโยชน์จากการที่อีกฝ่ายด่าทอสถาบัน แทนที่จะโจมตีรัฐบาล
รัฐบาล-ได้ประโยชน์ทันทีจากการที่คนไทยซึ่งส่วนใหญ่ยังรักสถาบัน ลุกขึ้นมาเป็นคู่ปฏิปักษ์กับผู้ชุมนุมเปิดทางให้รัฐสามารถใช้ปฏิบัติการหลายประการต่อแกนนำ และต่อการยุติการชุมนุมในแต่ละครั้งได้
ฝ่ายค้าน-ได้ประโยชน์จากการมีม็อบ เอาประเด็นที่ส่งผ่านทางม็อบ มาม็อบต่อในสภา
ม็อบ-ได้ประโยชน์จากผู้สนับสนุนแฝง โจมตีรัฐบาลน้อยกว่าด่าทอพระเจ้าแผ่นดิน ยิ่งมีคนโกรธ เกลียดมากยิ่งได้โอกาสด่าทอ ก้าวร้าว ระบายโทสะทางการเมืองมากขึ้นไปเรื่อยๆ และอาศัยสภาพ “ถูกกระทำ” จากรัฐมาโอดครวญ ฟ้องร้อง ต่อสังคมโลก ที่เสมือน “รู้กัน” หวังใช้โลกล้อมประเทศ
จึงจะเห็นได้ว่า หลังที่ประชุมร่วมรัฐสภา เลือกผ่านญัตติแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเพียงบางฉบับ ก็ไม่เกิดกระแสลุกฮืออะไร นอกจากมาระบายอารมณ์โกรธต่อตำรวจที่ฉีดน้ำใส่หน้าอาคารรัฐสภาเกียกกาย มาพ่นสี พ่นข้อความระยำตำบอน ด่าทอในหลวง ที่หน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กำแพงวัดปทุมวนาราม และนัดหมายชุมนุมยืดเยื้อเรื้อรังต่อไป เป็นอีเว้นท์รายสัปดาห์
บวกกับกระแส “คนละครึ่ง” ของรัฐบาลมาแรง คนพึงพอใจ ขณะที่ม็อบและฝ่ายค้าน ไม่ได้ทำผลงานใดๆ ที่น่าพึงพอใจ กระแสจึงไม่ขึ้น และกระแสรัฐบาลก็ไม่ตก เนื่องจากฝ่ายโจมตี ไม่โจมตีรัฐบาล แต่ไปโจมตีพระเจ้าแผ่นดินแทน แนวต้านจึงก่อเกิดทั่วแผ่นดิน โดยส่งสัญญาณผ่านการต่อต้านผลักไส ขับไล่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ขณะลงพื้นที่หาเสียงเลือกตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในแทบทุกจังหวัดที่เขาไป
ในความขัดแย้งของบ้านเมืองเวลานี้ ผู้ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด คือ องค์พระประมุข
พวกหนึ่งด่าทอ หยาบคาย ล่วงละเมิดอยู่ตลอดเวลา
อีกพวกหนึ่งรักมาก อยากปกป้อง แต่ “วิธีการ”ที่ปกป้อง ก็มีผลข้างเคียงให้ถูกตำหนิกลับมาเสมอ
พระองค์ท่านก็ทรงปรับตัว ประนีประนอม ดำรงมั่นในขันติธรรม ประทับอยู่ในประเทศยาวนาน มีพระราชกรณียกิจแทบจะทุกๆ วัน ใกล้ชิดกับประชาชน มิทรงถือพระองค์ลดมาตรการป้องกันความปลอดภัยแบบเดิมๆ ที่ทำให้พระองค์ทรงห่างเหินจากพสกนิกร พระราชทานพระราชทรัพย์เพื่อการสาธารณประโยชน์ทั่วไปอยู่เสมอ ฯลฯ
คำถามคือ ทำไม ในสถานการณ์แบบนี้ เราจึงไม่ยอมหา“จุดร่วม” ของสิ่งที่ควรแก้ไข ลงมือแก้ไข แล้วเว้นจุดต่างวางไว้เพื่อประโยชน์ร่วมกันของเราทุกหมู่เหล่ากันล่ะ
1) สถาบันส่งสัญญาณชัดเจนแล้วว่า ทรงเป็น “ในหลวง” ของพสกนิกรทั้งปวง We love them all the same. และประเทศไทยเป็นประเทศแห่งการประนีประนอม รัฐบาลได้พยายามสนอง เปิดพื้นที่เจรจา จริงใจที่จะปลดล็อกชนวนปัญหาแค่ไหน พล.อ.ประยุทธ์ ควรเงี่ยหูฟังข้อท้วงติงในทำนองว่า “ท่านไม่กระตือรือร้นที่จะปกป้องสถาบัน เท่ากับการใช้สถาบันปกป้องตัวเองและรัฐบาล” ก็ในเมื่อพระองค์ท่านลงมาจัดการการเมืองไม่ได้ รัฐบาลจึงควรสนองคุณและนึกถึงคนส่วนใหญ่ที่ไม่ใช่คู่ขัดแย้ง เร่งหาทางแก้ปัญหา โดยไม่ต้องสนใจว่า อีกฝ่าย หรือฝ่ายผู้ชุมนุมซึ่งล้วนแต่เป็นพวก “สุดโต่ง” นั้น จะตอบรับหรือไม่ เพราะเราเป็นฝ่ายถือครองอำนาจและทรัพยากร เราเป็นผู้ใหญ่กว่า เราก็ควรเป็นฝ่ายริเริ่ม ซึ่งหากถูกปฏิเสธ หรือเมินเฉย ก็มิใช่ความผิดของฝ่ายรัฐมิใช่หรือ
2) และแล้ว พล.อ.ประยุทธ์ ก็ออกแถลงการณ์ จะใช้กฎหมายทุกฉบับ ทุกมาตรา เข้าจัดการกับผู้ละเมิดกฎหมาย ซึ่งนับเป็นเรื่องดี แต่มีผลข้างเคียงอยู่บ้าง หากการใช้กฎหมายนั้น เป็นแต่ “นิติรัฐ” แต่ขาด “นิติธรรม” คือ ใช้กฎหมายอย่างเป็นธรรมและเป็นที่ยอมรับได้ อธิบายได้
3) การจวบจ้วงต่อพระเจ้าแผ่นดินและพระบรมวงศานุวงศ์ หนักข้อเกินกว่าจะเพิกเฉยได้ การนำกฎหมายอาญา มาตรา 112 กลับมาใช้อีก จึงเป็นเรื่องไม่เกินเลย เพราะกฎหมายนี้ มีไว้เพื่อคุ้มครอง “ประมุขแห่งรัฐ” ที่ไม่อาจลงมาเป็น “คู่ความ” กับพสกนิกรทั้งหลายได้ จึงถือเป็นอาญาแผ่นดิน เป็นผลกระทบต่อความมั่นคงของแผ่นดินที่ผ่านมาเลี่ยงไปใช้มาตรา 116 กัน ซึ่งมันไม่ตรง ด้วยเหตุว่าพล.อ.ประยุทธ์นั่นเอง ที่มาให้ข้อมูลว่า ในหลวงมิทรงปรารถนาจะให้ใช้ ม.112 กับผู้ใด ก่อให้เกิดความย่ามใจในคนบางกลุ่ม แทนที่จะสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ก็พาลด่าทอพระเจ้าแผ่นดิน ดูหมิ่น หมิ่นประมาท แสดงความอาฆาตมาดร้ายกันอย่างครึกครื้น
4) ประชาชนที่ทนเห็นการจาบจ้วงไม่ไหว ก็ยินดี พอใจ ที่ ม.112 จะถูกนำมาบังคับใช้อีกครั้ง
5) แต่ก็ต้องใช้อย่างระมัดระวัง มิให้เกิดผลกระทบแก่องค์พระประมุขด้วย นั่นคือ ใช้ให้สมกับพฤติการณ์ อย่าให้ประเด็นนี้วกกลับไปสู่บรรยากาศก่อนหน้านี้ คือ เอา ม.112ไปกลั่นแกล้งกัน หรือไป “ผูกคอ” กันไว้ก่อน จนกลายเป็นข้ออ้างที่ทำให้เกิดข้อเสนอ ยกเลิกการมีมาตรา 112 นี้
6) ระหว่างนี้ ควรเร่งเดินหน้าเรื่องกรรมการปรองดองสมานฉันท์ เพื่อเอาคน “สติดีๆ” ที่คุยกันได้ มาหาทางออกให้บ้านเมือง ย้ำบ้าน บ้านเมือง ไม่ใช่ทางออกเพื่อรัฐบาลหรือเพื่อแกนนำการชุมนุม ใครคุยไม่ได้ ไม่อยากคุยปล่อยไป แต่ต้องพยายามหาตัวแทนของทุกกลุ่มอุดมคติ มา “ออกแบบอนาคต” ร่วมกันให้ได้ เราไม่อาจอยู่ร่วมกันในสภาพปัจจุบันนี้ได้อีกแล้ว ต้องยอมรับแล้ว ว่ากลุ่มอุดมการณ์ใหม่ๆ เช่น ไม่เอาเจ้า พวกเจเนอเรชั่นมี คือ “ตัวกู ของกู”มีมากขึ้นทุกที และบ้านเมืองนี้ก็มิใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง การจะห้ำหั่นกันชนิดหวังเห็นผลแพ้ชนะ เป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้และไม่ควรเป็น เพราะมันหมายถึงการทุ่มทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้ได้ “ชัยชนะ” นั่นอาจรวมถึง “ชีวิตของผู้คน” ด้วย
7) รากของปัญหาที่แท้จริง คือ การกระจุกตัวของอำนาจและทรัพยากร การผูกขาดการตัดสินใจของส่วนกลาง นำมาสู่ความเหลื่อมล้ำของเมืองกับชนบท จึงต้องมุ่งขจัดปัญหาความยากจน ความเหลื่อมล้ำ และการกระจายอำนาจ ออกไป ให้เร็วที่สุด
8) พออำนาจกระจุกตัวอยู่และมีมากเกินไปก็ทำให้เกิดคนที่กระเหี้ยนกระหือรือที่จะเป็นผู้ครองอำนาจนั้น ลองกระจายอำนาจออกไป ให้เหลือไว้พอที่จะดูแลความเป็นเอกภาพ ความเป็นหนึ่งเดียวของรัฐ ความมั่นคง และการพัฒนาในเรื่องหลักๆ ศูนย์กลางก็จะได้ไม่ “ใหญ่คับฟ้า” จนคนปรารถนาจะเป็น ผู้ยิ่งใหญ่” ด้วยการ “ถืออำนาจ” นี้ ไปแข่งขันกันที่ท้องถิ่นของตนเอง เพื่อกำหนดอนาคตท้องถิ่น แบบที่คนท้องถิ่นต้องการได้มากขึ้น
9) หยุดสร้างความโกรธเกลียดกัน ซึ่งหลายเดือนที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีวางตัวได้ดี สงบนิ่ง ไม่สุมฟืนเข้ากองไฟเหมือนท่านเข้าใจในเรื่องนี้แล้ว แต่ผู้สนับสนุนของท่านและอาจเรียกคนบางกลุ่มว่า “สื่อของท่าน” ยังไม่ได้หยุด ซึ่ง “เข้าทาง” คนอีกพวก ที่อยากให้บ้านเมืองเต็มไปด้วยความโกรธ เกลียด เราจึงจะเห็นว่า ปฏิบัติการของพวกเขา มุ่งมาสู่สิ่งนี้เสมอ
10) ต้องจริงใจที่จะแก้ไขกติกาที่ไม่เป็นธรรม ทั้งรัฐธรรมนูญ กฎหมายประกอบ และองค์กรอิสระ เรื่องคั่งค้างอยู่ใน กกต. มากมายมหาศาล ที่รอการวินิจฉัยอย่าง“เป็นธรรม” ยังคงเงียบกริบ อาทิ คดีการเลือกตั้งที่พัทลุง สงขลา ลำปาง, ความเคลือบแคลงเรื่อง สส.ปัดเศษ, อันดับในบัญชีรายชื่อของ ไพบูลย์ นิติตะวัน ฯลฯ เรื่องพวกนี้ดูเหมือนหยุมหยิม แต่ก็จะท้อนความเอียงกะเทเร่ขององค์กร “กึ่งตุลาการ” อยู่ด้วย ซึ่งต้องเร่งสะสาง
11) การช่วยเหลือประชาชนของรัฐบาล อย่าทำแค่งานสังคมสงเคราะห์ แต่ต้องเร่งติดตาม โดยเฉพาะเงินกู้ที่ตอนจะกู้ เร่งด่วนถึงขั้นออกเป็นพระราชกำหนด แต่พอกู้มาแล้ว ตอนนี้อนุมัติโครงการไปกี่เปอร์เซ็นต์? เร่งด่วนดังที่เคยว่าหรือเอ้อระเหยลอยมา รวมถึงมาตรการช่วยเหลือเอสเอ็มอี มีเอสเอ็มอีเข้าถึงจริงๆ กี่ราย และถูกมินเฉยไปเท่าไร
12) ม็อบ ถ้าจะม็อบกันต่อ ก็ควรหันมาสร้าง “เนื้อหา” ที่ได้รับการยอมรับ ดังที่คุณวรวรรณ ธาราภูมิ เคยวิจารณ์ ว่าอยากเห็นนักเศรษฐศาสตร์สมัยใหม่ในเวทีการชุมนุม เสนออะไรดีๆ ให้แก่ประเทศ ปัญหาการศึกษา ปัญหาความยากจน ปัญหาความเหลื่อมล้ำ ฯลฯ ที่มีหลักการและมีรูปธรรม ที่มิใช่ทำตัวเป็น “แนวรบ” กับรัฐบาลอยู่ตลอดเวลา แต่ข้ามขั้นไปด่าสถาบันเป็นงานหลัก
13) ประชาชนผู้รักสถาบัน ควรรวมพลังกันพัฒนาบ้านเมือง มากกว่ามาเป็นแนวปะทะ สร้างรูปธรรมของพลังแห่งความดี ผ่านงานจิตอาสา คูคลองได้รับการขุดลอกเก็บขยะเก็บผักตบ ชายหาดสะอาด ถนนหนทางปลอดภัย ป่าไม้ถูกปลูก โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริมีการสานต่อ ขยายผล ขยายพื้นที่ มีการเรียนรู้ ศึกษาดูงาน แลกเปลี่ยนประสบการณ์กันระหว่างท้องถิ่นต่างๆ ศาสนา พิธีกรรมที่นำความรักความสามัคคีมาสู่ผู้คน ควรส่งเสริม ฯลฯ เอาพลังดีแผ่ปกคลุมพลังมืด ดีกว่ามายืนถือพระบรมฉายาลักษณ์ชี้หน้าด่าใคร
มาเถอะครับ มาช่วยกันทุกฝ่าย ให้บ้านเมืองมีทางออกจากความขัดแย้ง และเดินหน้าสู่การแก้ปัญหาพัฒนา เพื่อยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของเราทุกๆ คนไปพร้อมๆ กัน
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี