กลุ่มคนชังชาติบางกลุ่ม มักใช้ถ้อยคำหมิ่นแคลนประเทศตัวเอง เช่นจ่ายภาษีเหมือนสวิส แต่สวัสดิการชีวิตเหมือนเกาหลีเหนือ ฯลฯ
แล้วจะมีกลุ่มคนพวกเดียวกันแชร์ต่อๆ กันด้วยความสะใจ พร้อมกับก่นด่ารัฐบาล ด่าระบบประเทศ ด่าไปถึงสถาบันที่อยู่เหนือการเมือง ฯลฯ
ไม่สนใจ “ความจริง” ว่า คนในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เขาเสียภาษีมากกว่าไทยขนาดไหน แล้วประเทศไทยมีระบบดูแลช่วยเหลือประชาชนดีกว่าเกาหลีเหนือขนาดไหน
คนที่รู้เท่าทัน รู้จริงในข้อมูล ก็ได้แต่เวทนา สงสารคนที่ถูกพวกนี้จูงจมูก ด้อยค่าตัวเองลงไปทุกวัน
อันที่จริง... ในโลกออนไลน์ ในสื่อสังคมออนไลน์ มีทั้งข้อมูลจริง - ข้อมูลเท็จ
ข้อมูลจริงบางส่วน - ข้อมูลเท็จทั้งดุ้น
ข้อมูลปะติดปะต่อ – ข้อมูลมโนเล่าเป็นตุเป็นตะ ฯลฯ
การเลือกเสพ เชื่อ และแชร์ต่อ จึงสะท้อนระดับสติและปัญญาของแต่ละคนเป็นอย่างดี
กรณีล่าสุด ก็มีการตื่นทองข่าวที่ว่าคนไทยในสหรัฐได้รับเช็คจากรัฐบาลสหรัฐเพื่อช่วยเหลือในช่วงโควิด โดยไม่ต้องลงทะเบียน ได้เงินทุกคน
แน่นอน พวกชังชาติก็แห่แชร์ ยกเรื่องนี้มาปลุกปั่นก่นประเทศตัวเองต่อไปอย่างสิ้นคิด สิ้นวิจารณญาณ
ที่น่าผิดหวัง คือ สื่อกระแสหลักจำนวนหนึ่ง มักแกล้งโง่ หรือจงใจปั่นหัวผู้อ่านหรือผู้ดูของตนเอง ด้วยข้อมูลที่เป็นความจริงบางเสี้ยว เพื่อหวังปั่นอารมณ์ความรู้สึกของผู้อ่าน/ผู้ดู ให้โน้มนำไปในทิศทางที่เขาต้องการ เช่น เกลียดรัฐบาล ชิงชังประเทศชาติ เกิดความรู้สึกคับแค้น ขุ่นข้องหมองใจ ฯลฯ
บางครั้งเข้าขั้น บิดเบือนข้อเท็จจริงเพื่อหวังผลทางการเมือง
เข้าข่ายทรยศต่อวิชาชีพ หรือเนรคุณผู้อ่านและคนดูที่หลงชื่นชอบตนเองเลยก็ว่าได้
อย่างไรก็ตาม ขอชื่นชมสื่อหลักและสื่อออนไลน์บางส่วนที่ทำหน้าที่สืบค้นรายละเอียดความจริง นำมาเปิดเผยให้คนเข้าใจอย่างถ่องแท้
ยกตัวอย่าง แฟนเพจ Reporter Journey ได้ช่วยให้ผู้อ่านได้รู้ทันข่าวสาร ว่าด้วยเรื่อง “เรื่องจริงที่พูดไม่หมด ของโพสต์การจ่ายเช็คในสหรัฐ ได้ทุกคน ไม่ต้องลงทะเบียน ไม่ต้องจ่ายภาษีก็ได้ จริงเหรอ?”
เนื้อหาสาระสำคัญบางตอน ระบุว่า
“...มีการนำเสนอข่าวเกี่ยวกับการที่คนไทยไปทำงานที่สหรัฐอเมริกา แล้วได้รับเช็คจากรัฐบาลสหรัฐเพื่อช่วยเหลือผู้พำนักในสหรัฐ โดยใช้ประโยคว่า“ได้เงินทุกคน และไม่ต้องลงทะเบียน” ซึ่งอาจจะมีหลายข้อมูลที่ทางผู้โพสต์น่าจะไม่ได้บอกว่าทำไมถึงได้รับเงินช่วยเหลือ เงินนี้มาจากไหน แล้วมันได้ทุกคนจริงหรือไม่...
ในบทความนี้ผู้เขียนจะรวบรวมเงื่อนไขต่างๆ ที่เข้าเกณฑ์การได้หรือไม่ได้เงินช่วยเหลือจากรัฐบาลสหรัฐมาให้อ่านแบบง่ายๆ และเข้าใจได้มากที่สุด แล้วเป็นสิ่งที่ผู้โพสต์บอกไม่หมดในโพสต์ดังกล่าว...
#สรุปคือ...
เช็คไม่ได้ทุกคน ผู้ที่จะได้ต้องมีเลขเสียภาษีกับกรมสรรพากร และรายได้ต้องอยู่ในเกณฑ์เท่านั้น เกินกว่านั้นไม่ได้
แม้ไม่ต้องลงทะเบียน แต่ก็ต้องมีการเสียภาษีเท่านั้นถึงจะได้รับเช็ค
แต่ผู้ไม่เคยยื่นภาษี หรือผู้มีรายได้น้อยต้องลงทะเบียนออนไลน์ IRS เพื่อป้อนข้อมูลบัญชีธนาคารและข้อมูลอื่นก่อน
ไม่เสียภาษีเงินได้ ไม่ควรมาเรียกร้อง แถมมีโทษหนัก ถือเป็นอาชญากรรมร้ายแรง
ภาษีที่สหรัฐจ่ายสูงมากราว 43% ของเงินเดือน แถมมีภาษีอื่นๆ ที่ต้องจ่ายอีก เช่น ภาษีบำรุงเมือง และภาษีรัฐ
แม้สหรัฐจะใช้วิธีการอัดฉีดเงินเข้าระบบเศรษฐกิจหรือทำ QE แต่ใช่ว่าจะทำเท่าไหร่ก็ได้ เพราะเงินยิ่งเยอะก็ยิ่งเฟ้อ กระทบค่าเงิน และอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ดังนั้นแม้สหรัฐจะพิมพ์เงินได้เอง แต่ใช่ว่าจะแจกเงินเป็นเบี้ยได้โดยไม่สนใจอะไร เพราะธนาคารกลางสหรัฐคุมหนักมากเรื่องค่าเงินดอลลาร์
คนอเมริกันไม่ว่าจะไปทำงานที่ไหนบนโลกนี้ ก็ต้องจ่ายภาษี พอสิ้นปีก็ต้องเอาไปคำนวณภาษี ซึ่งจะรู้ว่าต้องจ่ายเพิ่มเท่าไหร่ มันเป็นหน้าที่เลยว่าต้องยื่นเพราะไม่ยื่นมีสิทธิ์ว่าจะโดนตามตรวจสอบย้อนหลัง แล้วการที่จะได้เงินช่วยเหลือในรอบที่ 2 นี้ ก็จะดูตามรายได้ปี 2019 คือบางคนที่ไม่ได้ยื่น แต่เป็น Veteran กับ Disability คือได้กันโดยอัตโนมัติ ตรงนี้ถือเป็นข้อยกเว้นเพียงเล็กน้อย ถึงแม้จะดูได้ง่ายๆ แต่เอาเข้าจริงก็ยังมีคนตกค้างไม่ได้เช็คอีกมากตั้งแต่รอบแรกเมื่อเมษายนปีที่แล้ว ซึ่งแล้วแต่รัฐที่อาศัยอยู่
อีกอย่างเงินแค่ 600 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ 18,000 บาท ถ้าเป็นในเมืองไทยอาจดูเยอะ แต่เอาเข้าจริงๆ ในสหรัฐค่าเช่าบ้านเดือนนึงราว 1,500 ดอลลาร์สหรัฐ ก็คิดดูแล้วกันว่าพอหรือไม่ เพราะแค่ค่าเช่าบ้านยังจ่ายไม่พอเลย
ส่วนในประเทศไทยมีประชากรยื่นภาษีแค่ 11.7 ล้านคนเมื่อปีที่แล้ว จ่ายภาษีจริง 6 ล้านคน ถ้าใช้เกณฑ์แบบสหรัฐมาใช้ในไทย ก็คงจะมีคนได้รับเงินช่วยเหลือแค่ 6 ล้านคน ส่วนอีก 50-60 ล้านคนก็ไม่ต้องเยียวยาอะไร ซึ่งคงไม่เหมาะกับการไม่จ่ายภาษีเงินได้แบบไทยแน่ๆ…”
นอกจากนี้ แอดมิน Reporter Journey ยังให้ความเห็นเพิ่มเติมอีกด้วยว่า
“...ว่ากันด้วยเรื่องของการมีข้อมูลภาษี ต้องยอมรับว่าคนไทยยังไม่อยากจะจ่ายภาษี ทั้งๆ ที่มันคือหน้าที่ การเลี่ยงภาษีได้ เป็นเรื่องที่น่าภาคภูมิใจแล้วเอามาอวดกัน แต่ในยุคที่ข้อมูลดิจิทัล ระบบฐานข้อมูลออนไลน์ แต่ละหน่วยงานมีข้อมูลแต่ไม่ได้เชื่อมเข้าระบบเดียวกัน รัฐมีเลขบัตรประจำตัว แต่ข้อมูลด้านอื่นไม่มี ยิ่งปั่นกระแสกลัวการเสียภาษี ใช้พร้อมเพย์กลัวโดนล้วงข้อมูลบ้าง ทั้งๆ ที่ มันต้องเป็นหน้าที่ พอเกิดปัญหาการให้ความช่วยเหลือจึงติดขัด เช่น จะโอนเงินจะให้โอนไปบัญชีไหน ผู้เดือดร้อนเป็นใคร มันถึงยังต้องมาแย่งกันลงทะเบียน ถ้าไม่เกิดวิกฤติรัฐก็กว่าจะทำก็คงอีกนาน เพราะระบบมันไม่เฟิร์ม
เรื่องเงินช่วยเหลือ ตอนนี้มันแบ่งกลุ่มตามฐานข้อมูลที่มีอยู่ การแจกจ่ายตามกลุ่ม และพยายามอุดช่องโหว่เพื่อให้ใช้เงินเกิดประโยชน์มากที่สุด ข้อเรียกร้องเรื่องเท่าเทียมมันเพ้อเจ้อในทางปฏิบัติ มีประเด็นให้เรียกร้องอีกเยอะ ใครจ่ายภาษีมากจ่ายน้อย คนไม่จ่ายได้เงิน คนจ่ายทำไมได้เท่ากัน
ในขณะที่อเมริกาหรือประเทศอื่นๆ ต่อให้คุณมีเงินได้ 0 ดอลลาร์ คุณก็ต้องแจ้งยื่นภาษีทุกปี จะได้รับยกเว้นไม่ยกเว้นก็อยู่ที่เกณฑ์แต่ละประเทศ แต่ทุกคนต้องอยู่ในฐานข้อมูลทางภาษี พอมีอะไรที่ต้องได้รับการช่วยเหลือ มันก็ไปถึงได้ง่าย เพราะฐานข้อมูลมีหมดแล้ว
ปล. สหรัฐมีสัดส่วนประชากรจ่ายภาษีราว 60% ของประชากรทั้งหมด และเสียอัตรภาษีสูงสุดเกือบ 50% ของรายได้ ยุโรปบ้างประเทศเสียภาษีมากกว่า 60% ก็มี ซึ่งสิ่งที่ได้กลับคือสวัสดิการต่างๆ ส่วนประเทศไทยแค่ 14% ของประชากรทั้งประเทศ และส่วนใหญ่เสียกันที่ 5-10% ของเงินได้ และมีผู้เสียภาษีในอัตราสูงสุดที่ 35% หรือมีเงินได้เกิน 5 ล้านต่อปี คงมีไม่กี่หมื่นหรือแสนคน…”
สำหรับประเทศไทย ตรงกันข้าม คนเสียภาษีเงินได้คือคนกลุ่มสุดท้ายที่ได้รับเงินดูแลช่วยเหลือ
แต่คนที่ออกมาโวยวาย ไม่ยอมจะเข้าใจภาพรวม พยายามบิดเบือนโจมตีในเรื่องนี้มากที่สุด กลับเป็นคนที่เอาแต่อ้างว่าตนเสียภาษีมูลค่าเพิ่มผ่านการซื้อสินค้านั่นเอง
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี