แม้ว่าไทยจะไม่ใช่ประเทศแรกๆ ของโลกที่ประชาชนได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 ก็ยังเป็นเรื่องน่ายินดีว่า “คนไทยส่วนใหญ่พร้อมรับการฉีดวัคซีน” ดังรายงาน Thai people, Britons and Danes are the most willing to take the vaccine ของสำนักวิจัยตลาดชื่อดังระดับโลกสัญชาติอังกฤษอย่าง Yougovเผยแพร่เมื่อวันที่ 15 ม.ค. 2564 เลือกตัวอย่างมา24 ประเทศ พบว่าไทยมาเป็นอันดับ 1 ในเรื่องประชาชนยินดีรับการฉีดวัคซีนโควิด-19 อยู่ที่ร้อยละ 83 มากกว่าอันดับ 2 อย่างอังกฤษ ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 80 และอันดับ 3 อย่างเดนมาร์ก ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 70
เนื่องจากหลายประเทศบุคลากรสาธารณสุขต้องปวดเศียรเวียนเกล้ากับ “ข่าวปลอม (Fake News)” และทฤษฎีสมคบคิด (Conspiracy Theory) ที่ทำให้เกิดความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับวัคซีน อาทิ สำนักข่าว Times Live ในเครือ นสพ.Sunday Times ของแอฟริกาใต้ เสนอข่าว SA will lose war against COVID-19 if people entertain “baseless” vaccineconspiracies, says Malema เมื่อวันที่ 15 ม.ค. 2564ว่าด้วย จูเลียส มาเลมา (Julius Malema) หัวหน้าพรรค EFF พรรคการเมืองฝ่ายค้านในแอฟริกาใต้ ต้องออกมาเรียกร้องให้ประชาชนหยุดเชื่อข่าวปลอมเกี่ยวกับวัคซีนโควิด-19
สืบเนื่องจากก่อนหน้านี้ ในสังคมแอฟริกาใต้มีการลือกันถึง “วัคซีน 666 (666 Vaccines)” ซึ่งตัวเลข 666 เป็นเลขอัปมงคลตามความเชื่อของผู้นับถือศาสนาคริสต์ หมายถึงซาตานหรือจอมมารผู้เป็นศัตรูกับพระผู้เป็นเจ้า ทำให้ประชาชนไม่น้อยลังเลที่จะฉีดวัคซีน ท่ามกลางสถานการณ์ที่แอฟริกาใต้เป็นหนึ่งในประเทศที่ไวรัสโควิด-19 ระบาดอย่างรุนแรง อยู่ในอันดับ 15 ของโลก และหนักที่สุดในทวีปแอฟริกา นี่อาจเป็นสิ่งที่ทำให้แม้แต่ฝ่ายค้านยังต้องออกมาร่วมมือกับฝ่ายรัฐบาลประธานาธิบดี ซีริล รามาโฟซา (Cyril Ramaphosa) ที่กำลังพยายามเร่งจัดหาวัคซีน
ตุรกี เป็นอีกประเทศที่เผชิญกับปัญหาข่าวปลอมเกี่ยวกับวัคซีนโควิด-19 โดยเมื่อวันที่ 22 ม.ค. 2564 นสพ.Hurriyet Daily News ของตุรกี เสนอข่าว Experts call on people to trust science asanti-vaxxers spread suspicions ว่าด้วยคณะกรรมการวิทยาศาสตร์ประจำกระทรวงสาธารณสุขของตุรกี ต้องออกมาเรียกร้องให้ประชาชนหยุดส่งต่อข่าวปลอมเกี่ยวกับความเชื่อผิดๆ เรื่องกับวัคซีนที่ใช้เทคโนโลยี mRNA ซึ่งเป็นเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดของวงการวัคซีนและนำมาผลิตวัคซีนโควิด-19 เป็นวัคซีนชนิดแรก (เช่น วัคซีนของ ไฟเซอร์/ไบโอเอ็นเทคและ โมเดอร์นา)
วัคซีน mRNA ทำงานโดยการใช้ไขมันอนุภาคนาโน (Lipid Nanoparticle) เป็นเสมือนบรรจุภัณฑ์ห่อหุ้ม RNA ที่สร้างเลียนแบบพันธุกรรมส่วนที่ผลิตโปรตีนหนามปลายแหลม (Spike Protein) ของเชื้อโควิด-19 เมื่อฉีดวัคซีนเข้าไปในร่างกายและเข้าสู่เซลล์ ก็จะกระตุ้นให้เกิดการสร้างโปรตีนหนามปลายแหลม ตามด้วยกระตุ้นให้ระบบภูมิคุ้มกันผลิตแอนติบอดีออกมากำจัดสิ่งแปลกปลอมดังกล่าวและจดจำไว้ หากในอนาคตร่างกายติดเชื้อโควิด-19 จริงๆ วีคซีนชนิดนี้มีข้อดีคือผลิตได้รวดเร็วและคราวละมากๆ อีกทั้งมีประสิทธิภาพสูง
แต่จากเทคโนโลยีดังกล่าว ทำให้ชาวตุรกีไปลือกันว่า อาจมีการส่งสารหรือข้อความบางอย่างผ่านวัคซีนดังกล่าวไปในร่างกายมนุษย์ ทำให้สมาชิก คกก.วิทย์
ของตุรกี ต้องออกมาชี้แจง อาทิ เมห์เหม็ด เคย์ฮาน(Mehmet Ceyhan) กล่าวว่า หาก mRNA สามารถส่งสารอะไรก็ได้จริง โรคมะเร็งทุกชนิดคงถูกกำจัดสิ้นไปหมดแล้ว รวมถึง เซรัพ ซิมเซ็ค ยาวุซ (Serap Simsek Yavuz) กล่าวเสริมว่า วัคซีนที่ผลิตโดยเทคโนโลยี mRNA ทำงานโดยเข้าสู่ไซโทพลาสซึมของเซลล์ ไม่ใช่นิวเคลียสของเซลล์ ดังนั้นจึงไม่ต้องกังวลเรื่องการเข้าสู่จีโนมของมนุษย์ เป็นต้น
ที่หนักกว่า 2 ประเทศข้างนั้นคือสิ่งที่เกิดในสหรัฐอเมริกา ที่กระแสการไม่ฉีดวัคซีนสามารถเรียกได้ว่าเป็น “ลัทธิ” มีการตั้งกลุ่มเคลื่อนไหวกันเป็นเรื่องเป็นราวและเผยแพร่ข้อมูลผิดๆ มาต่อเนื่องยาวนาน ในสหรัฐฯ สามารถย้อนไปได้ช่วงศตวรรษที่ 19(ปี 2343-2442) เมื่อ วิลเลียม เท็บบ์ (William Tebb)นักธุรกิจชาวอังกฤษเดินทางไปสหรัฐฯ ในปี 2422 ได้นำความแนวคิดต่อต้านการฉีดวัคซีนที่แพร่หลายในบ้านเกิด หลังอังกฤษมีกฎหมายบังคับฉีดวัคซีนข้ามน้ำข้ามทะเลไปเผยแพร่บนแผ่นดินสหรัฐฯ ด้วย
จากจุดเริ่มต้นดังกล่าว แนวคิดต่อต้านการฉีดวัคซีนได้ลงหลักปักฐานหยั่งรากลึกในสังคมอเมริกัน ในหน้าประวัติศาสตร์สหรัฐฯ มีการต่อสู้กันตลอดมา
ระหว่างฝ่ายสาธารณสุขและนักวิทยาศาสตร์ที่เข้าใจถึงประโยชน์ของวัคซีนในการควบคุมโรคระบาด กับฝ่ายต่อต้านวัคซีนที่จำนวนไม่น้อยเป็นคนร่ำรวยและมีชื่อเสียงในสังคม พร้อมจะลงทุนลงแรงเพื่อโฆษณาชวนเชื่อสร้างกระแสให้คนหวาดกลัวหรือลังเลที่จะเข้ารับการฉีดวัคซีน โดยอ้างตั้งแต่ความกังวลด้านความปลอดภัยของวัคซีน ไปจนถึงความเชื่อทางศาสนาและสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลที่จะไม่รับวัคซีน
25 ม.ค. 2564 สำนักข่าว CNN เสนอรายงานพิเศษAnti-vaccine activists peddle theories that COVID-19 shots are deadly, undermining vaccination ที่บรรดาผู้เชื่อในลัทธิต่อต้านการฉีดวัคซีนใช้สื่อออนไลน์เผยแพร่ข่าวสารบิดเบือนในช่วงที่สหรัฐฯกำลังดำเนินนโยบายเร่งฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้ประชาชนอย่างกว้างขวาง เช่น กรณีของ ทิฟฟานี โดเวอร์ (Tiffany Dover) พยาบาลในรัฐเทนเนสซี่ ที่จู่ๆ ก็ล้มลงหลังจากฉีดวัคซีน โดยผู้ใช้สื่อออนไลน์ที่เผยแพร่และส่งต่อคลิปดังกล่าวอ้างว่าพยาบาลรายนี้เสียชีวิต ทั้งที่จริงๆ เพียงแค่เป็นลมเท่านั้น
โดริท ไรส์ (Dorit Reiss) ศาสตราจารย์ด้านกฎหมายจาก UC Hastings College of Law เมืองซานฟรานซิสโก กล่าวว่า แม้ความจริง โดเวอร์ จะไม่ได้
เสียชีวิตและต่อมาก็ฟื้นสติจากอาการเป็นลม แต่บนโลกออนไลน์ก็มีการโพสต์ภาพใบมรณบัตรปลอมและข่าวปลอมว่าด้วยการเสียชีวิตของพยาบาลรายนี้ นอกจากนี้ นักเคลื่อนไหวต่อต้านวัคซีนยังไปคุกคามโดเวอร์และครอบครัวผ่านช่องทางออนไลน์ด้วย
ขณะที่ โรรี่ สมิธ (Rory Smith) ผู้จัดการฝ่ายวิจัยของ First Draft องค์กรไม่แสวงหากำไรที่ทำงานแจ้งเตือนข่าวลือผิดๆ เกี่ยวกับวัคซีน กล่าวว่า
นักเคลื่อนไหวเหล่านี้มีความชำนาญในการใช้สื่อทั้งรูปภาพและคลิปวีดีโอเพื่อปั่นกระแส (Manipulating) โดยอ้างถึงผลเสียของวัคซีน ตั้งแต่อาการออทิสติกในเด็กไปจนถึงอาการชักในผู้รับวัคซีนรายอื่นๆ ยิ่งรูปภาพและวีดีโอปลุกเร้าอารมณ์และใช้กราฟิกมากขึ้นเท่าใด มันจะยิ่งมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นเท่านั้น ไม่ว่าจริงๆ แล้วมันจะเกี่ยวหรือไม่เกี่ยวกับวัคซีนก็ตาม
องค์การอนามัยโลก (WHO) เคยระบุในปี 2562 ให้ “ความลังเลที่จะรับวัคซีน (Vaccine Hesitancy)” เป็นหนึ่งในปัจจัยคุกคามสุขภาพของชาวโลก (ซึ่งความลังเลดังกล่าวส่วนหนึ่งมาจากการเคลื่อนไหวของลัทธิต่อต้านวัคซีน) ก็ต้องบอกว่าสังคมไทยโชคดีแล้วที่ไม่มีแนวคิดอันตรายนี้ดำรงอยู่!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี