โอกาสต่อสู้คดีของแกนนำ กปปส.หลังจากนี้ คือ การยื่นขอประกันตัวและการสู้คดีในชั้นอุทธรณ์
ข้อพึงพิจารณา มีดังนี้
1. คดีนี้ ศาลอาญายกฟ้องข้อหากบฏ ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 113 โดยศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานแล้วเห็นว่าศาลรัฐธรรมนูญเคยวินิจฉัยว่าการชุมนุมของ กปปส.เป็นการใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ มุ่งหวังรัฐบาลลาออก ให้มีการปฏิรูปเพื่อแก้ปัญหาประเทศก่อนเลือกตั้ง จึงไม่มีลักษณะล้มล้างการปกครองตามรัฐธรรมนูญ โดยที่คำสั่งศาลรัฐธรรมนูญมีผลผูกพันทุกองค์กร วินิจฉัยแล้วไม่มีเจตนาความผิดฐานกบฏ
นั่นคือแก่นของการชุมนุมของ กปปส. ไม่ได้เสียหาย
2. การยื่นขอประกันตัว
แกนนำ กปปส.ที่เป็นจำเลย ถูกพิพากษาโทษจำคุก และถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำ เพื่อรอยื่นให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวอยู่ในขณะนี้ 8 คน ได้แก่ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ โทษจำคุก5 ปี, นายชุมพล จุลใส จำคุก 9 ปี 24 เดือน, นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์จำคุก 7 ปี, นายอิสสระ สมชัย จำคุก 7 ปี 16 เดือน, นายถาวรเสนเนียม จำคุก 5 ปี, นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ จำคุก 6 ปี 16 เดือน,นายสุวิทย์ ทองประเสริฐ หรืออดีตพระพุทธะอิสระ จำคุก 4 ปี8 เดือน และร.ต.แซมดิน เลิศบุศย์ จำคุก 4 ปี 16 เดือน
ทั้งหมด ที่ผ่านมาไม่มีพฤติกรรมไปกระทำผิดซ้ำกับการกระทำผิดในคดี ไม่มีพฤติกรรมไปก่อม็อบ จัดเวทีชุมนุมเคลื่อนไหวซ้ำๆ ไม่มีพฤติกรรมหลบหนี มาศาลโดยตลอด ไม่มีการไปยุ่งเหยิงพยานหลักฐาน ทั้งหมดมีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง
โทษจำคุกของจำเลยเหล่านี้ ตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ก็ไม่ได้สูงจนเกินไป เทียบกับคดีทุจริตสินบนบ้านเอื้ออาทร นายวัฒนา เมืองสุข ก็ยังเคยได้รับประกันตัว ทั้งๆ ที่ ต้องคำพิพากษาจำคุก 50 ปี (จริงๆ จำคุก 99 ปี แต่กฎหมายให้ลงโทษได้สูงสุด 50 ปี)
ยิ่งกว่านั้น แก่นสารของการชุมนุมของ กปปส. ก็ยังได้รับการรับรองโดยศาลรัฐธรรมนูญว่าเป็นการใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ กระทั่งในคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ในคดีนี้เอง ก็ยังยอมรับและยกฟ้องในข้อหากบฏ
เพราะฉะนั้น จึงน่าจะมีโอกาสได้รับประกันตัวสูงมาก
3. โอกาสสู้คดีต่อ
อ.แก้วสรร อติโพธิ หนึ่งในจำเลยที่ศาลยกฟ้อง ได้เขียนบทความ “รายงานจากศาลอาญา คดี กปปส.” ประเด็นน่าสนใจบางตอน ดังนี้
“...ผมยังเชื่อว่าคดีพลิกในชั้นอุทธรณ์ได้ ถ้าศาลอุทธรณ์เห็นด้วยกับ “ สิทธิพิทักษ์รัฐธรรมนูญของ กปปส.” ในรัฐธรรมนูญ 2550 ที่บัญญัติไว้ในมาตรา 69 ว่า
มาตรา ๖๙ บุคคลย่อมมีสิทธิต่อต้านโดยสันติวิธีซึ่งการกระทำใดๆที่เป็นไปเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้
...ท่านขึ้นต้นไว้ก่อนเลยสั้นๆ ว่าเรามีสิทธิ แต่หลังจากนั้นท่านยืนยันทุกครั้งที่วินิจฉัยความผิดแต่ละกระทงว่า “จะนำสิทธิพื้นฐานมายกเว้นการกระทำผิดกฎหมายไม่ได้” ตรงนี้แหละครับ ที่ทำให้ความผิดตามกฎหมายต่างๆ มันแห่เข้ามาเอาผิดแกนนำได้ ทั้งก่อความวุ่นวาย ขัดขวางเลือกตั้ง บุกรุกสถานที่ราชการ ยุยงเจ้าหน้าที่รัฐหยุดงาน มีที่หลุดไป 2 ข้อหาคือ กบฏ กับก่อการร้าย นั่นก็หลุดไปเพราะท่านเห็นว่าไม่เข้าองค์ประกอบ มิใช่เพราะมีอำนาจกระทำตามสิทธิพิทักษ์รัฐธรรมนูญ
...ก็ต้องอุทธรณ์ทั้งสองปัญหาครับ ว่า
1. อุทธรณ์ว่าการกระทำของเราไม่เข้าองค์ประกอบความผิด เช่นว่าเข้ากระทรวงคลังไปชักชวนเจ้าหน้าที่ให้หยุดงานเท่านั้น มิใช่การบุกรุกแย่งการครอบครอง ฯลฯ นี่ก็ต่อสู้กันไปตามเนื้อพยานหลักฐาน
2. อุทธรณ์ว่า เราไม่ผิด เพราะเรามีอำนาจกระทำได้ ตาม มาตรา 69 เพื่อพิทักษ์รัฐธรรมนูญ เราไม่ได้เอาสิทธิพื้นฐานมายกเว้นความผิดอย่างที่ศาลชั้นต้นเข้าใจ แต่เรายืนยันเลยว่าเรามีอำนาจป้องกันรัฐธรรมนูญเหมือนใช้สิทธิป้องกันตัว เอาปืนยิงนักเลงที่จะแทงลูกเราเลยทีเดียว ข้อต่อสู้นี้คดีอื่นไม่มีเหมือนอย่างเรา
คดี นปช.ขับไล่รัฐบาลนายกฯอภิสิทธิ์ ก็ไม่มีสิทธินี้ เพราะรัฐบาลอภิสิทธิ์ไม่ได้เป็นภัยอะไรต่อรัฐธรรมนูญ ส่วนคดีพันธมิตรขณะลุกฮือขึ้นขับไล่ระบอบทักษิณนั้น ภัยจากระบอบทักษิณก็ยังไม่ชัดและประชิดรัฐธรรมนูญเหมือนคดี กปปส. ยิ่งคดีม็อบสามนิ้วด้วยแล้ว สถาบันกษัตริย์ยิ่งไม่เป็นภัยอะไรเลย
...ระบอบทักษิณเป็นภัยสุกงอมแล้วหรือ ถูกยุบพรรคมาแล้ว2 หน, คดีทุจริตศาลลงโทษแล้วหลายคดี, โยกย้ายญาติมิตรลูกน้องเข้ายึดตำแหน่งสำคัญจนศาลตัดสินเพิกถอนคำสั่งแต่งตั้ง, พยายามแก้รัฐธรรมนูญเพื่อครองอำนาจเบ็ดเสร็จ ๒ ครั้ง, หนีคดีไปต่างประเทศแต่ส่งน้องสาวมาเป็นหุ่นเชิดยึดครองการเมืองไทยโดยมิชอบ, เป็นเผด็จการรัฐสภาใช้เสียงข้างมากนิรโทษคดีคอร์รัปชั่นให้ตนเองฯลฯ เหล่านี้มันชัดในสายตา กปปส.แล้ว ว่าระบอบทักษิณ เป็นเหมือน งูเห่าที่หลุดเข้ามาในห้องนอน ต้องตีต้องไล่ออกไปให้ได้ เมื่อศาลมาลงโทษเรา เราจึงไม่เห็นด้วยว่า เราจะผิดฐานทรมานสัตว์ไปได้อย่างไร
ถ้าศาลสูงรับว่าเรามีสิทธินี้อยู่จริง เราก็มีสิทธิต่อต้านโดยสงบ ซึ่งอาวุธสำคัญของการต่อต้านโดยสงบก็คือ การหยุดงาน ดังนั้น การที่เราเข้าไปชวนข้าราชการหรือเจ้าหน้าที่หยุดงาน จึงไม่ผิด ทั้งบุกรุกและยุยงปลุกปั่น การขัดขวางเลือกตั้งโดยสงบก็ไม่ผิด จะเหลือที่น่าสงสัยว่าเกินขอบเขตสันติวิธี อยู่ไม่กี่กระทงเท่านั้น ซึ่งก็ลงโทษต่ำกว่ากฎหมายได้ เหมือนกับป้องกันตัวเกินสมควรแก่เหตุ ที่ยังผิดแต่ลดโทษได้...”
4. สุดท้าย ขอชื่นชมแกนนำ กปปส.ที่เป็นจำเลย แล้วไม่หนีคดีไม่มีการยุยงปลุกปั่นโจมตีศาล แต่เดินเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ต่อสู้คดีตามระบบ และน้อมรับคำตัดสิน แม้จะเป็นโทษแก่ตนเอง
คนแบบนี้เองที่เรียกว่า “คนจริง”
คนแบบนี้ น่าเชื่อว่า มีเจตนาดีต่อประเทศชาติบ้านเมืองส่วนรวมจริงๆ
ต่างกับพวกที่หนีคดี หนีคุก แล้วปากเจื้อยแจ้วคำว่าประชาธิปไตยบ้าง ความยุติธรรมบ้าง คนแบบหลังนี้ คือพวก “ของปลอม” มีใจที่กระจอกมาก
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี