น่าเศร้าใจ... เห็นคนรุ่นใหม่บางกลุ่มยกยอนายทักษิณชินวัตร อดีตนายกฯ ที่ขยับเข้าไปเคลื่อนไหวผ่านแอปคลับเฮาส์ ในทำนองว่า ลุงคนนี้แสนเก่งแสนดี แต่ไม่สามารถอยู่เมืองไทยได้ เพราะระบอบเผด็จการไม่ให้อยู่
พูดถึงขนาดว่าเป็นการ “เคาะกะลา”
โม้ถึงขนาดว่าเป็นการ “เบิกเนตร” ฯลฯ
เพียงเพราะฟังและเชื่อตามคำพูดยกยอตัวเอง และสร้างภาพ ว่าเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ ร่ำรวย
แต่ในความเป็นจริง มี “เรื่องโกง” ที่ทักษิณไม่ได้เล่าผ่านคลับเฮาส์
1.ทักษิณใช้ชื่อ “Tony Woodsome” เล่าประสบการณ์ตอนทำ AIS และพบปัญหาแพ้คู่แข่ง เพราะแนวติดแบบราชการ
“คนส่วนใหญ่ในบริษัทเก่าผม มาจากระบบข้าราชการเก่า เลยถือคติ “ไม่ทำไม่ผิด” ผมเลยออกกฎใหม่ “ใครทำผิดกฎบริษัทแล้วทำบริษัทเจริญ ผมขึ้นเงินเดือนให้!” - ทักษิณ ชินวัตร กล่าวใน Care Clubhouse: SMEs
มีปัญหา ปรึกษาพี่ Tony เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2564
2. แต่ความจริงที่ทักษิณไม่ได้เล่า คือ สมัยที่ตนครองอำนาจเป็นนายกรัฐมนตรี มีลูกน้อง ข้าราชการ
เจ้าหน้าที่รัฐ ผู้บริหารรัฐวิสาหกิจ หรือแต่แต่นักการเมืองในสังกัด ทำผิดกฎองค์กร ละเมิดกฎหมาย ฝ่าฝืนระเบียบราชการ แล้วทำให้บริษัทของครอบครัวทักษิณร่ำรวยขึ้นมหาศาลกี่ครั้ง กี่คน อุกอาจแค่ไหน?
ลองดูตามภาพข่าวด้านล่างนี้
นี่คือตัวอย่างของคนที่ทำผิดกฎหมาย แล้วทำให้บริษัทธุรกิจของตระกูลชินวัตร ร่ำรวยขึ้น เจริญขึ้น
ตรงกันข้าม ทำให้ประเทศชาติเสียหายร้ายแรง
ไม่ว่าจะเป็น นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี, นางเบญจา หลุยเจริญ, นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ, นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ (สมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ ข้าวจีทูเจี๊ยะ)
หรือแม้แต่กรณีที่เกี่ยวข้องกับความเจริญรุ่งเรืองของบริษัทเอไอเอสของตระกูลชินวัตร ที่ทักษิณนำมากล่าวยกยอ อวดโอ้ว่าเป็นวิสัยทัศน์ของตัวเองก็ตาม แท้จริงความมั่งคั่งนั้น ก็เป็นผลมาจากการทำผิดกฎหมายของอดีตผู้บริหาร ทศท. นายสุธรรม มลิลา ก้อนมหึมา
3. กรณีเกี่ยวกับ ทศท. และ กิจการ AIS ของตระกูลชินวัตรในอดีต
ทักษิณโม้ว่า “ใครทำผิดกฎบริษัทแล้วทำบริษัทเจริญ ผมขึ้นเงินเดือนให้!”
แต่เอาจริงๆ ปรากฏว่า มีเจ้าหน้าที่ ทศท.ทำผิดกฎหมาย แล้วทำให้บริษัท AIS (ที่ขณะนั้นเป็นของตระกูลชินวัตร) ร่ำรวยขึ้นมหาศาล ส่วน ทศท.และประเทศชาติเสียหายเกือบแสนล้านบาท
นั่นคือ กรณีแก้ไขเพิ่มเติมสัญญาสัมปทานมือถือ ลดค่าส่วนแบ่งรายได้จากค่าใช้บริการมือถือในระบบพรีเพด แก่ AIS ศาลปราบโกง (ชั้นอุทธรณ์) คำพิพากษาจำคุก 6 ปี “นายสุธรรม มลิลา” อดีต ผอ.ทศท.พร้อมให้ชดใช้ค่าเสียหาย 4.6 หมื่นล้าน (ขณะนี้รอคำตัดสินในชั้นฎีกา)
สรุปข้อเท็จจริง ตามคำพิพากษา
เรื่องมีอยู่ว่า ช่วงระหว่างวันที่ 12 เมษายน 2544 – 15 พฤษภาคม 2544
ขณะนั้น ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี และเป็นเจ้าของบริษัทมือถือ AIS ด้วย เพียงแต่อำพรางการถือครองผ่านผู้อื่น เพื่อหลบเลี่ยงการปฏิบัติตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ และกฎหมาย ป.ป.ช.
ปรากฏว่า นายสุธรรม มลิลา ผู้อำนวยการองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย(ทศท.)ในขณะนั้น ได้ไปกระทำผิดกฎหมาย โดยแก้ไขเพิ่มเติมสัญญาสัมปทานส่วนแบ่งรายได้ที่ AIS จะต้องจ่ายให้ ทศท.
เดิมสัญญาสัมปทานกำหนดให้ AIS จ่ายส่วนแบ่งรายได้โทรศัพท์ปีที่ 1-5 อัตราร้อยละ 15, ปีที่ 6-10 อัตราร้อยละ 20, ปีที่ 11-15 อัตราร้อยละ 25 และปีที่ 16-20 อัตราร้อยละ 30
ซึ่งหมายความว่า ตั้งแต่ปีที่ 11 ของสัญญาสัมปทาน (ในปี พ.ศ.2544) ทศท.จะต้องได้รับเงินส่วนแบ่งรายได้ 25% และจะเพิ่มขึ้นเป็นขั้นบันไดในช่วงปีที่ 16-20 เป็นอัตรา 30% ซึ่งในปีท้ายๆ ยอดรายได้ก็จะยิ่งก้อนโตตามมูลค่าการใช้มือถือของผู้ใช้บริการ ส่วนแบ่งที่ ทศท.จะได้รับก็ยิ่งจะต้องมากขึ้นตามไปด้วย
นั่นคือเหตุผลที่ ทศท.ตกลงทำสัญญากับ AIS แต่แรก ยอมรับส่วนแบ่งในอัตราไม่สูงในปีต้นๆ แต่คาดหวังส่วนแบ่งรายได้ในอัตราสูงๆ ในช่วงปีท้ายๆ เสมือนหนึ่งยอมอดเปรี้ยวไว้กินหวาน
ปรากฏว่า ในปี 2544 หลังทักษิณเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีไม่นาน
จำเลย นายสุธรรม ในฐานะ ผอ.ทศท.ลงนามข้อตกลงต่อท้ายสัญญาฯ ครั้งที่ 6 ให้กับ AIS และกำหนดผลประโยชน์ตอบแทนโทรศัพท์เคลื่อนที่ภายใต้ชื่อ วันทูคอล ให้ AIS แบ่งส่วนรายได้อัตราร้อยละ 20 ของมูลค่าหน้าบัตร ทำให้ ทศท.ได้รับส่วนแบ่งรายได้น้อยลงจากเดิมที่ได้รับตามสัญญาหลัก ในอัตราร้อยละ 25-30
พูดง่ายๆ จากเดิมที่ AIS จะต้องจ่ายส่วนแบ่งรายได้ให้ ทศท. 25%
AIS ก็ได้จ่ายส่วนแบ่งรายได้พรีเพด (ซึ่งเป็นการใช้บริการส่วนใหญ่) แค่ 20%
และได้จ่ายคงที่ 20% ไม่ต้องขยับเพิ่มขึ้นเป็น 30% ในช่วงปีท้ายๆ สัญญาสัมปทาน ซึ่งเป็นช่วงที่มีลูกค้าผู้ใช้บริการระบบพรีเพดจำนวนมาก มูลค่ารายได้สูงกว่าช่วงปีต้นๆ มหาศาล
นอกจากนี้ ในชั้นศาล ได้มีการนำเสนอข้อมูลส่วนแบ่งรายได้ที่ ทศท.สูญเสียไปคำนวณถึงสิ้นสุดสัญญาสัมปทาน รวมเป็นเงิน 71,339 ล้านบาท
ทศท.ยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้ร้อง คิดเป็นเงิน 66,060 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย 7.5 ต่อปี รวมเป็นเงิน 93,710 ล้านบาท
คดีนี้ ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษายกฟ้อง
แต่ศาลอุทธรณ์แผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือแล้วเห็นว่า จำเลยแก้ไขสัญญาอนุญาตให้ดำเนินกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่(ฉบับหลักลงวันที่ 27 มีนาคม 2533) ครั้งที่ 6 เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2544 ปรับส่วนแบ่งรายได้จากการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบใช้บัตรจ่ายเงินล่วงหน้าแก่ AIS ซึ่งตามสัญญาหลัก AIS ต้องจ่ายภาษีในปีที่ 1-5 อัตราร้อยละ 15 ปีที่ 6-10 อัตราร้อยละ 20 ปีที่ 11-15 อัตราร้อยละ 25 และปีที่ 16-20 อัตราร้อยละ 30 เป็นอัตราก้าวหน้าแก่ ทศท.
โดยจำเลยในฐานะ ผอ.ทศท.ลงนามข้อตกลงต่อท้ายสัญญาครั้งที่ 6 กับบริษัทเอไอเอส มีผลบังคับตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2544 ว่า ให้เอไอเอสแบ่งส่วนรายได้ในอัตราร้อยละ 20 ของมูลค่าหน้าบัตร ซึ่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเคยวินิจฉัยว่าเป็นการเอื้อประโยชน์แก่บริษัทเอไอเอส ไม่ใช่การทำเพื่อประโยชน์ของราชการ และทำให้ ทศท.เสียหาย อีกทั้งการแก้ไขสัญญาในครั้งนั้นอัตราส่วนแบ่งรายได้แบบใช้บัตรจ่ายเงินล่วงหน้า ควรเป็นไปตามสัญญาหลักเนื่องจากการกำหนดส่วนแบ่งรายได้ที่ต้องจ่ายแก่คู่สัญญาภาครัฐในแบบอัตราก้าวหน้าหรือขั้นบันได เป็นการกำหนดอัตราที่มีความเป็นธรรมแก่คู่สัญญาฝ่ายรัฐผู้ให้สัญญา เพราะได้กำหนดค่าผลประโยชน์ตอบแทนให้แก่รัฐผู้ให้สัญญาตามสัดส่วนของรายได้
ศาลชี้ด้วยว่า จำเลยปกปิดข้อเท็จจริง ไม่แจ้งให้ที่ประชุมทราบด้วยเจตนาจะให้เอไอเอสได้รับผลประโยชน์จากการลดส่วนแบ่ง เอื้อประโยชน์แก่เอไอเอส โดยจำเลยอ้างว่าที่ประชุมไม่มีคำถาม จำเลยจึงไม่ต้องรายงานข้อเท็จจริง นอกจากเป็นการกล่าวอ้างที่ไม่สมเหตุสมผลแล้ว โดยตำแหน่งที่จำเลยดำรงอยู่นั้น ต้องรักษาผลประโยชน์ขององค์กร สมควรแจ้งข้อเท็จจริงที่เป็นผลประโยชน์ได้เสียขององค์กรให้ที่ประชุมร่วมกันพิจารณาด้วยความรอบคอบ บ่งชี้ให้เห็นเจตนาของจำเลยในการลงนามสัญญาครั้งที่ 6 ถือว่าเป็นการใช้อำนาจตำแหน่งโดยทุจริต ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ ทศท.ได้รับส่วนแบ่งน้อยลง การกระทำที่มุ่งให้เอไอเอสได้ประโยชน์ เป็นการกระทำโดยทุจริตครบองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 และมาตรา 157 ที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลอุทธรณ์แผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น
เมื่อข้อเท็จจริงส่วนอาญาฟังว่าจำเลยใช้อำนาจในทางทุจริต จำเลยต้องรับผิดชอบใช้เงินแก่ทีโอที
โดยบริษัททีโอทีได้คำนวณค่าเสียหายที่ต้องขาดรายได้จากเงินส่วนแบ่งตลอดอายุสัญญาแต่ละช่วง เป็นต้นเงิน 66,060,686,735.94 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี แต่ศาลเห็นสมควรให้จำเลยรับผิดเพียงกึ่งหนึ่งเป็นเงิน 46,855,463,990.92 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 33,030,343,367.97 นับตั้งแต่วันที่ 4 กรกฎาคม 2559 ซึ่งเป็นวันที่บริษัททีโอทียื่นคำร้อง
สรุป ศาลปราบโกงในชั้นอุทธรณ์จึงพิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิด จำคุก 9 ปี มีเหตุบรรเทาโทษ 1 ใน 3 คงจำคุก 6 ปี และให้จำเลยชำระเงิน 46,855,463,990.92 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ของเงินต้น 33,030,343,367.97 บาท นับตั้งแต่วันที่ 4 กรกฎาคม 2559
ต่อมา จำเลยได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์ขอปล่อยชั่วคราวระหว่างฎีกา ศาลพิจารณาแล้วอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว โดยให้ประกัน 8 แสนบาท ห้ามเดินทางออกนอกประเทศเว้นได้รับอนุญาตจากศาล
ขณะนี้ คดีรอคำตัดสินชี้ขาดในชั้นฎีกา
4. ในคดีดังกล่าว ทักษิณ และ AIS ไม่ได้เป็นจำเลยในคดีนี้ ต่างก็ยืนยันว่า ตนเองไม่มีส่วนรู้เห็นกับการกระทำความผิด ที่มีอดีตผู้บริหาร ทศท. แก้สัญญาลดค่าส่วนแบ่งรายได้ก้อนมหึมา
ถ้าคิดมูลค่าเงิน 66,060 ล้านบาทนั้น (สมัยนั้นทองคำบาทละไม่ถึงหมื่น ปัจจุบันทองคำบาทละสองหมื่นกว่า) จะเห็นภาพว่า มูลค่าผลประโยชน์ที่เกิดจากการทำผิดกฎหมายครั้งนั้น มีมูลค่ามากมายมหาศาลขนาดไหน
นี่คือตัวอย่างเรื่องคดีโกงที่นายทักษิณหรือ Tony ไม่เล่าให้ใครฟังผ่านคลับเฮาส์ ถึงเบื้องหลังความร่ำรวยเพิ่มขึ้นมหาศาลหลังเข้ามามีอำนาจรัฐ เป็นนายกรัฐมนตรีทับซ้อนกับเป็นเจ้าของธุรกิจสัมปทาน
ปัจจุบัน ไม่มีใครห้ามทักษิณกลับประเทศไทย แต่เจ้าตัวหนีออกไปเอง เพราะยังมีโทษจำคุก 2 ปี
คดีหวยบนดิน, จำคุก 3 ปี คดีทุจริตเอ็กซิมแบงก์ และจำคุกอีก 5 ปี คดีแปลงสัมปทานเป็นภาษีสรรพสามิต มีหมายจับติดตัว หลบหนีคดีอยู่จนถึงวันนี้
หากยังใช้รัฐธรรมนูญปัจจุบัน กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญปัจจุบัน ถ้าหนี จะต้องหนีตลอดชีวิต
สันติสุข มะโรงศรี
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี