เมื่อวานนี้มีการประชุมร่วมของรัฐสภาเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประชามติ เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นของกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยแม้จะมีความไม่ชัดเจนในตอนแรกว่าจะเลื่อนหรือไม่ แต่สุดท้ายประธานรัฐสภาก็ได้ยืนยันให้มีการประชุม นี่ถือเป็นหนึ่งในแรงบีบทางการเมืองต่อพลเอกประยุทธ์ที่เกิดจากทั้งพรรคฝ่ายค้านและพรรคร่วมรัฐบาล
ปรากฏการณ์ทางการเมืองหลังการปรับ ครม. โดยมีการสลับที่นั่งของสองพรรคร่วมรัฐบาล และบรรดารัฐมนตรีหน้าใหม่ที่มีโอกาสเข้ามารับตำแหน่งในช่วงเวลาที่รัฐบาลกำลังถูกรุมเร้าด้วยปัญหาสถานการณ์โควิด-19 ที่กระทบต่อเศรษฐกิจโดยเฉพาะเศรษฐกิจในระดับชุมชน ปากท้องของชาวบ้านที่ทำมาหากินได้ยากลำบาก แม้จะมีมาตรการช่วยเหลือจากภาครัฐแต่ก็เป็นเพียงมาตรการเพื่อต่อลมหายใจเท่านั้น และตอนนี้ยิ่งหนักเนื่องจากกำลังเข้าสู่การแพร่ระบาดครั้งที่สามหรือไม่? แต่ความเสี่ยงของรัฐบาลจริงๆ กลับมาจากการเมืองทั้งในสภาและนอกสภา
สถานภาพรัฐบาลตอนนี้ ยังคงมีจุดเสี่ยงจากสองส่วนคือ การชุมนุมขับไล่นายกฯนอกสภา ขณะที่ในสภามีเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่นอกจากโดนตีวงล้อมจากฝ่ายค้านแล้วยังมีแรงหนุนให้แก้จากประชาธิปัตย์และภูมิใจไทยอีกด้วย ซึ่งหากทิศทางของนอกสภาร่วมกับในสภาจะยิ่งเป็นแรงบีบให้พลเอกประยุทธ์อาจต้องตัดสินใจอะไรบางอย่าง
แรงบีบนอกสภาจากการต่อต้านรัฐบาล ของกลุ่มมวลชนต่อต้านรัฐบาลในนามกลุ่มฟื้นฟูประชาธิปไตย หรือ ReDem ที่มีการชุมนุมอย่างต่อเนื่อง โดยมีความพยายามปลุกกระแสเพื่อล้มรัฐบาล และอาจหมายรวมถึงเป้าหมายที่ใหญ่กว่านั้น โดยมีการกล่าวถึงสถาบันฯ รวมถึงการผลักดันการยกเลิกมาตรา 112 หากเป็นไปได้
ขณะที่รัฐบาลกำลังต้องรับศึกสองด้าน จู่ๆ ก็มีการปรากฏตัวของกลุ่มการเมืองเก่า อย่างกลุ่มเครือข่ายระบอบทักษิณ ที่มีแกนนำหน้าเดิมอย่างนายจตุพร ได้ออกมาเคลื่อนไหวโดยมีความพยายามเชื่อมโยงบางอย่างกับการชุมนุมของเยาวชน รวมถึงมวลชนที่เคลื่อนไหวอยู่ก่อนแล้วเป็นฐานในการต่อยอดโดยมีการนำกลุ่มอดีตคนเสื้อแดงเข้ามาผสมในนามของกลุ่มสามัคคีประชาชน โดยวางเป้าหมายเฉพาะการขับไล่พลเอกประยุทธ์ นายกรัฐมนตรีให้ลงจากตำแหน่ง ซึ่งแกนนำเองก็คาดหวังที่ให้กลุ่มเสื้อแดงเก่ากลับเข้ามาและคาดหวังกลุ่มมวลชนวัยรุ่นมาเพิ่ม แต่กลับต้องสะดุดลงด้วยท่าทีของกลุ่มมวลชนสามัคคีประชาชนของนายจตุพรที่ไม่เห็นด้วยกับการ
ผลักดันให้ยกเลิกมาตรา 112 ของกลุ่ม ReDem
นอกจากนั้นแล้วกระแสในหมู่คนเสื้อแดงที่จะมาชุมนุมในวันที่ 4 เม.ย. ที่ผ่านมาก็เบาบางลงหลังการตัดสินของศาลปกครองให้เพิกถอนคำสั่งให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ชดใช้เงินจากกรณีการปล่อยให้เกิดการทุจริตในโครงการจำนำข้าว ซึ่งไม่รู้เกี่ยวกันหรือไม่แต่ทำให้มวลชนเสื้อแดงเบาบางลงอย่างเห็นได้ชัด โดยครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกในความพยายามรวมกลุ่มของกลุ่มอดีตเสื้อแดง และกลุ่ม ReDem ตั้งแต่เป็นกลุ่มเยาวชนปลดแอก กลุ่มราษฎร 2563 จนถึงกลุ่ม ReDem ในปัจจุบัน แต่ยังหาความลงตัวระหว่างช่วงวัยและแนวความคิดไม่ได้
ฝั่งเยาวชน สถานการณ์ตอนนี้พบว่า แกนนำหลักทั้งเพนกวิน รุ้ง ไมค์ อานนท์ และแกนนำหลักบางคนมีกรณีพัวพันกับการกระทำความผิดที่อยู่ระหว่างการต่อสู้ในชั้นศาล ทำให้แนวทางในการไปต่อของกลุ่ม
ดังกล่าวเริ่มไร้ทิศทางประกอบกับช่วงหลังผู้เข้าร่วมชุมนุมลดลงไปมาก
ขณะที่อีกกลุ่มหนึ่งคือกลุ่มมวลชนคนเสื้อแดงเดิม ที่ผ่านการต่อสู้บนท้องถนนมาอย่างเชี่ยวชาญ แต่ในช่วงเวลาร่วม 7 ปีที่ผ่านมา ก็มีกระแสที่เบาบางลงหลังจากการเข้ามาของนายกฯประยุทธ์ ซึ่งอาจเป็นผลจากจำนวน สส. และเขตที่ชนะของพลังประชารัฐที่คืบคลานเข้าไปสู่พื้นที่ ภาคเหนือและอีสานที่เป็นฐานของกลุ่มคนเสื้อแดง จึงทำให้มวลชนในพื้นที่เองก็ถูกแบ่งแยกออกจากกัน ตลอดจน สส.และแกนนำหลายคนย้ายมาสังกัดพรรคพลังประชารัฐ ยิ่งไปกว่านั้นการเคลื่อนไหวในรอบนี้ก็มีกระแสต่อต้านจากลุ่มคนเสื้อแดงเดิมเช่นกัน โดยกลุ่มเสื้อแดงอีสานกว่า 20 จังหวัดได้ออกมาต้านแนวทางของนายจตุพร โดยเปิดเผยทำนองว่าที่ผ่านมาพี่น้องชาวอีสานเป็นเพียงหมากในเกมการเมือง บาดเจ็บล้มตาย ติดคุกไม่มีใครเหลียวแล
เอาเข้าจริง เกิดอะไรขึ้นกับมวลชนเสื้อแดง และสถานการณ์ในพรรคเพื่อไทย?
พบว่าตอนนี้พรรคเพื่อไทยก็อาจกำลังประสบภาวะเดียวกับพรรคการเมืองใหญ่และพรรคการเมืองเก่าในระบบ ที่กำลังมีรอยร้าวและการแบ่งแยกภายใน เกิดอะไรขึ้นกับการโหวตอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ผ่านมา ที่มีบางส่วนไม่มา บางส่วนมาแต่ไม่ลงคะแนน และบางส่วนถึงขั้นโหวตไว้วางใจ กลุ่มคุณหญิงสุดารัตน์จะเดินไปทางไหนต่อ หรือกลุ่มก๊วนต่างๆ ในมุ้งเพื่อไทยปัจจุบันยังเหมือนเดิมกันหรือไม่ ถ้ามีการตั้งพรรคทางเลือกขึ้นในอนาคตตามที่เป็นข่าวว่าจะมีอีกสองถึงสามพรรคนั้น จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
พรรคพลังประชารัฐเอง ที่ดูเหมือนแข็งแกร่งที่สุดแต่ก็กลับเกิดความสั่นคลอนขึ้น โดยเฉพาะจากกรณีการจัดสรรเก้าอี้รัฐมนตรี จนลามมาถึงเก้าอี้กรรมการบริหารพรรค ที่ตอนนี้มีกระแสข่าวอย่างต่อเนื่องในการปรับเปลี่ยนกรรมการบริหารพรรค โดยเฉพาะกรณีตำแหน่งเลขาธิการพรรค แม้จะกล่าวได้ว่าเป็นคนของหัวหน้าพรรค แต่จริงๆ ภายในก็มีการแข่งขันกันภายใต้หัวหน้าพรรคอีกที ตั้งแต่กลุ่ม ดร.สมคิด ออกไป จนถึงกลุ่ม กปปส. ที่หลุดเก้าอี้รมต. ทำให้ขั้วอำนาจหลักที่แข่งชัดเจนตอนนี้ พุ่งเป้าไปที่กลุ่ม “4ว” ที่มีฐานรากมาจากกลุ่มสามมิตรเดิม และกลุ่ม “4ช” ที่เป็นการรวมตัวกันของพันธมิตร ร้อยเอกธรรมนัส หรือไม่ ?
อย่างไรก็ตาม กลับกลายเป็นมีข่าวการก่อตั้งพรรคการเมืองใหม่ อีกสองพรรค เพื่อมารองรับความเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่เกิดขึ้น หรืออาจรองรับผลกระทบจากปัญหาความขัดแย้งในพรรค หรือว่าอาจจะตั้งขึ้นเพื่อรองรับการเข้ามาของ สส.ต่างพรรค ทั้งจากพรรคฝ่ายค้านหรือพรรคร่วมรัฐบาลก็ตาม และก็ได้ปรากฏชื่อคนดังที่จะเข้ามาเป็นแกนนำในพรรคทางเลือกทั้งสองนี้บ้างแล้ว
อย่างไรก็ตาม ก็มิอาจมองข้ามพรรคภูมิใจไทยได้ และอาจกลับกลายเป็นพรรคที่สะดวกใจต่อใครหลายคนที่จะย้ายเข้ามา เพราะการเลือกตั้งครั้งล่าสุดก็มีย้ายมาจากพรรคเพื่อไทย ไม่น้อย และเมื่อปีที่แล้วก็มีย้ายเข้ามาจากพรรคอนาคตใหม่และล่าสุดก้าวไกลก็ยังมีข่าวเลือดไหลไม่หยุดและอาจมีแนวโน้มไหลรอบสองสู่ภูมิใจไทยหรือไม่ ในขณะที่ก็มีข่าวออกมาว่า สส. มีแนวโน้มย้ายจากพรรคร่วมอย่างพรรคประชาธิปัตย์ ย้ายเข้ามาหรือไม่ โดยเฉพาะ ภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคใต้ หากเป็นจริงเท่ากับสถานภาพของประชาธิปัตย์ตอนนี้กำลังสั่นคลอนอย่างหนัก ด้วยบุคลิกลักษณะ และการเดินเกมส์ของพรรคภูมิใจไทยทำให้รอบหน้าอาจมีโอกาสเติบโตอย่างรวดเร็วจะเป็น พรรคใหญ่เกินร้อยเสียงในอนาคตหรือไม่ รวมถึงพรรคเกิดใหม่อีกสองพรรค แต่จะยั่งยืนหรือไม่อีกเรื่องหนึ่ง
ทั้งปัจจัยการชุมนุม ประเด็นการแก้รัฐธรรมนูญ และโดยเฉพาะความแตกแยกของพรรคใหญ่ทั้งสองฝั่ง ทั้งพลังประชารัฐและเพื่อไทยเอง และการแย่งเก้าอี้ในรัฐบาล กลับกลายเป็นโอกาสของการจัดทัพใหม่ของสองพรรคร่วมรัฐบาล คือ พรรคพลังประชารัฐและพรรคภูมิใจไทย ที่จะเตรียมสู้ศึกเลือกตั้งที่อาจเร็วกว่าที่คิด
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี