ผู้นำทางความคิดคนสำคัญของประเทศไทยที่เคยดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมาก่อนคงทนเห็นสภาพที่บ้านเมืองและราษฎรเป็นอยู่อย่างนี้ไม่ไหวแล้ว จึงได้บ่นเสียงดังให้ได้ยินกันไปทั้งเมืองว่าประเทศไทยทุกวันนี้อยู่ในยุคคนโกงกินเมือง
นับว่าเป็นการสะท้อนสภาพการณ์ทั้งหลายที่เป็นอยู่ในบ้านเมืองของเราที่สอดคล้องตรงกับความรู้สึกนึกคิดของคนไทยทั้งประเทศ
ความจริงก็ไม่ใช่เรื่องใหม่อะไร ในบทพระราชปรารภรัฐธรรมนูญ 2560 ก็ระบุไว้อย่างชัดเจนแล้วว่าสาเหตุวิกฤติของชาติเกิดจากสาเหตุสี่ประการคือการทุจริต การฉ้อฉล การบิดเบือนการใช้อำนาจและการไม่นำพาต่อความเดือดร้อนทุกข์เข็ญของราษฎร ดังนั้นการที่บ้านเมืองอยู่ในวิกฤติหนักหน่วงแทบจะเรียกว่ายิ่งกว่าประเทศใดในโลกก็เพราะมีเหตุจากสี่ประการเช่นนี้
ตอนที่ตรารัฐธรรมนูญ 2560 และมีบทพระราชปรารภเช่นนี้ก็สะท้อนให้เห็นว่ามีวิกฤติเกิดขึ้นในบ้านเมืองแล้ว จึงมีบทพระราชปรารภชี้ให้เห็นถึงสาเหตุเพื่อให้คนทั้งหลายได้คิดอ่านป้องกันแก้ไขตามหลักอริยสัจ 4คือเมื่อจะดับทุกข์ก็ต้องดับเหตุแห่งทุกข์นั้น
นับแต่รัฐธรรมนูญ 2560 ประกาศใช้มาถึงวันนี้สี่ปีแล้ว แทนที่วิกฤติจะบรรเทาเบาบางลงซึ่งหมายความว่าได้มีการใส่ใจแก้ไขต้นเหตุแห่งวิกฤติทั้งสี่ประการนั้น แต่การกลับตรงกันข้าม สถานการณ์วิกฤติของบ้านเมืองกลับลุกลามบานปลายยิ่งกว่ายุคใดสมัยใดในประวัติศาสตร์ของชาติ ซึ่งถ้าหากใครตาไม่บอดก็ย่อมเห็น หูไม่หนวกก็ย่อมได้ยิน
ซึ่งแสดงให้เห็นว่านอกจากไม่มีการป้องกันแก้ไขสาเหตุแห่งวิกฤติให้เบาบางลงแล้ว ยังกลับหนักหน่วงรุนแรงยิ่งขึ้น เมื่อสาเหตุแห่งวิกฤติหนักหน่วงรุนแรงขึ้นผลที่เกิดขึ้นก็ย่อมหนักหน่วงรุนแรงตามไปด้วยเป็นธรรมดา
ดังนั้นสถานการณ์ในปัจจุบันนี้ไม่ว่าจะหันมองไปโครงการใดหรือพื้นที่ใดก็จะเห็นอย่างชัดเจนขึ้นว่ามีการทุจริต มีการฉ้อฉล มีการบิดเบือนการใช้อำนาจ และไม่นำพาต่อความเดือดร้อนทุกข์เข็ญของราษฎรที่ขยายวงกว้างและหนักหน่วงรุนแรงยิ่งขึ้นกว่ายุคใดสมัยใด
หันไปดูผู้คนในวงแห่งอำนาจไม่ว่าทางการเมืองหรือราชการประจำ ก็ประจักษ์ชัดแก่สายตาคนทั้งหลายว่าคนไม่ดีได้รับการสนับสนุนให้มีอำนาจในบ้านเมืองคนประจบสอพลอที่ลิ้นเต็มไปด้วยขนหน้าแข้งเต็มปากก็ได้ดีขึ้นในบ้านเมือง ก่อการกำเริบเสิบสาน สร้างความแตกแยกแตกสามัคคีในชาติโดยไม่คิดถึงชะตากรรมและกฎแห่งกรรมแม้แต่น้อย
การส่งเสริมคนไม่ดีให้มีอำนาจนั้นเต็มไปทุกหัวระแหง คนชั่วเมื่อกระทำความผิดแทนที่จะถูกลงโทษตามกบิลเมือง กลับมีการบิดเบือนการใช้อำนาจปกป้องคุ้มครองกันไว้เป็นที่ประจักษ์
ปรากฏการณ์เช่นนี้ป่วยการที่จะท่องคำว่าจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ เพราะแค่พระบรมราโชวาทที่ทรงพร่ำเตือนมาตลอดรัชสมัยรัชกาลที่ 9ให้ส่งเสริมสนับสนุนให้คนดีมีอำนาจในบ้านเมือง อย่าให้คนไม่ดีมีอำนาจก่อความปั่นป่วนวุ่นวายในบ้านเมืองได้ก็หาได้แยแสน้อมใส่หัวใส่เกล้าไปปฏิบัติไม่
การพร่ำคำว่าจงรักภักดี ในขณะที่มีการส่งเสริมให้คนไม่ดีมีอำนาจในบ้านเมืองนั้น แท้ที่จริงก็คือการโหนเจ้าและบ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ยิ่งทำการสิ่งใดและแอบอ้างหรือทำให้คนทั้งหลายเข้าใจว่าสถาบันอยู่เบื้องหลังสนับสนุนด้วยแล้วนั่นแหละคือการทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์โดยตรง
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเกิดขบวนการล้มเจ้าเหยียดหยามย่ำยีใส่ร้ายป้ายสี ถึงขนาดประกาศโค่นล้มสถาบันพระมหากษัตริย์โต้งๆ อยู่กลางเมือง แม้ในต่างประเทศก็ปล่อยให้มีการตั้งวงใส่ร้ายป้ายสีบ่อนทำลายพระมหากษัตริย์โดยไม่จัดการใดๆ ย่อมสะท้อนให้เห็นว่าอาจประสงค์ต่อผลที่ทำให้สถาบันอ่อนแอลง เพื่อให้ความชั่วความเลวร้ายทั้งหลายขยายวงกว้างต่อไป
คำจงรักภักดีในขณะที่มีปรากฏการณ์เช่นนี้ไม่ต่างอะไรกับสมัยราชวงศ์ชิง ที่ขุนนางใหญ่ชื่อว่าหยวนซีไข ที่เฝ้าพร่ำแต่คำว่าจงรักภักดีจนกระทั่งมีอำนาจเป็นใหญ่ในบ้านเมือง แล้วสมรู้สนับสนุนขบวนการปฏิวัติชิงไห่ของกลุ่มนักเรียนเก่าฝรั่งเศสที่ต้องการโค่นล้มราชวงศ์ชิงลง จนกระทั่งขบวนการชิงไห่หลงเชื่อสนับสนุนให้เป็นผู้นำ และในที่สุดหยวนซีไขก็ล้มราชวงศ์ชิงด้วยน้ำมือตนเอง
จากนั้นก็หันไปแว้งกัดขบวนการปฏิวัติชิงไห่เพราะคิดว่าเป็นกลุ่มพลังมวลชนที่จะเป็นอันตรายต่อพลังอำนาจแห่งตน มีการปราบปรามประชาชนที่ตื่นรู้ในแทบทุกมณฑลของประเทศจีน มีผู้คนบาดเจ็บล้มตายเป็นอันมาก ในที่สุดก็ฮึกเหิมลำพองคิดว่าสามารถกำราบประชาชนให้อยู่แทบเท้าได้แล้ว จึงเตรียมตัวตั้งตนเป็นฮ่องเต้
ในที่สุดหัวบ้านหัวเมืองต่างๆ แทบทุกมณฑลและขบวนการประชาชนทุกวงการก็ประสานความสามัคคีกันเพื่อล้มล้างอำนาจของหยวนซีไข แต่ไม่ทันไรเวรกรรมก็ตามทัน หยวนซีไขก็ป่วยตายลงกลางคัน จึงทำให้ ดร.ซุน ยัดเซ็น ได้รับการสนับสนุนให้เป็นประธานาธิบดีคนที่สองของจีน
สถานการณ์ที่มีการโกงบ้านกินเมืองทุกหย่อมหญ้าชนิดเย้ยฟ้าท้าดินไม่แยแสต่อกฎหมายและกบิลเมืองใดๆกำลังเป็นมหันตภัยใหญ่หลวงที่ทำให้วิกฤติในบ้านเมืองลุกลามบานปลายขยายตัว กระทั่งอาจสิ้นชาติสิ้นแผ่นดินเพราะยามวิกฤติอย่างนี้ก็เปิดโอกาสให้แก่นักล่าอาณานิคมที่กำลังเยื้องกรายเข้ามาอย่างเงียบเชียบ หมายยึดครองบ้านเมืองของเราในลักษณะที่เคยเกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5
ไม่มีอำนาจใดที่จะอยู่ค้ำฟ้า อำนาจมีแล้วก็ต้องอยู่ภายใต้กฎพระไตรลักษณ์คือตั้งอยู่แล้วเสื่อมสลายไปในที่สุด อำนาจอาจจะบังคับผู้คนให้จำนนได้ แต่ไม่มีทางที่จะบังคับให้กฎแห่งกรรมผันแปรเป็นอย่างอื่นไปได้ กงจักรแห่งกรรมกำลังหมุนแรงและเร็วมากขึ้นทุกที
ในที่สุดกฎแห่งกรรมนั่นแหละจะบดขยี้ยุคสมัยแห่งการโกงบ้านกินเมืองที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของชาติให้พังพินาศไปอย่าได้สงสัยเลย
ย่อมเป็นไปตามพระพุทธวจนที่ว่า ธรรมจักรอันเราได้ประกาศแล้ว ไม่มีมนุษย์เทพพรหมมารใดที่จะหมุนกลับได้ กฎแห่งกรรมจะเดินหน้าทำหน้าที่อันศักดิ์สิทธิ์และมีพลังที่ไร้เทียมทานให้เห็นประจักษ์ในไม่ช้านานนี้เป็นแน่แท้
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี