ใครก็ตามที่คิดจะ “โค่นอำนาจ” ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา คุณต้องอ่านให้ออกว่า “จุดอ่อน” และ “จุดแข็ง” ของเขาอยู่ตรงไหน รวมถึงจุดอ่อนและจุดแข็งของพวกคุณด้วย อย่าทำตามอารมณ์ เอามันส์ หรือรับจ้างใครเขามาทำแบบไม่รู้เหนือรู้ใต้
ยกตัวอย่างเช่น เมื่อวันที่ 27 พ.ค.2564- เวลา 10.00 น.ที่หน้ากองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) กลุ่มไทยไม่ทน “คณะสามัคคีประชาชนเพื่อประเทศไทย” นำโดย อดุลย์ เขียวบริบูรณ์, จตุพร พรหมพันธ์ุ, วีระ สมความคิด, เมธา มาสขาว, ไทกร พลสุวรรณ, นางพะเยาว์ อัคฮาด, หมู่อาร์ม ส.อ.ณรงค์ชัย, กุ๊ก นันทพงศ์ ปานมาศ ฯลฯ เดินทางไปยื่นหนังสือถึง พล.อ.ณรงค์พันธ์จิตต์แก้วแท้ ผบ.ทบ. ขอให้ลาออกจากการเป็น สว.โดยตำแหน่ง หยุดการรับใช้ระบอบประยุทธ์ เพื่อกดดันให้ลาออกจากตำแหน่งนายกฯ เพื่อแก้วิกฤติชาติบ้านเมือง โดยมีนายทหารเวรประจำสำนักงานเลขานุการทบ. ออกมารับหนังสือบริเวณเกาะกลางถนน หน้า บก.ทบ.
1) นายจตุพร ระบุว่า ข้อเรียกร้องดังกล่าวเปิดทางให้ ผบ.ทบ. ได้ใช้เวลาทั้งหมดทำหน้าที่หลักในการควบคุมดูแลบังคับบัญชากำลังพลของกองทัพบกในการป้องกันรักษาความมั่นคงของประเทศ หากท่านอยู่ในตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก พร้อมกับมีสมาชิกภาพวุฒิสภาที่มีการประชุมสัปดาห์ละ 2 วัน ก็จะเบียดเบียนเวลาปฏิบัติหน้าที่ราชการทหาร อีกทั้งในยามเชื้อโรคร้ายโควิด-19 ระบาดรุนแรง ประชาชนทั่วหัวระแหงยังคอยรับความช่วยเหลืออยู่
2) คณะสามัคคีประชาชนฯ เชื่อมั่นว่า ผบ.เหล่าทัพสามารถลาออกจากสมาชิกวุฒิสภาโดยตำแหน่งได้ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 111 (3) ซึ่งมีผลบังคับใช้อย่างสมบูรณ์ รวมทั้งท่านจะไม่ตกเป็นที่ครหาทางการเมือง ในการใช้กองทัพไปค้ำบัลลังก์อำนาจของพลเอกประยุทธ์ ซึ่งมีที่มาทางการเมืองไม่ชอบธรรม ขัดหลักจริยธรรมการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยดังนั้นการลาออกดังกล่าว ย่อมแสดงถึงจุดยืนอันมั่นคงตามหลักประชาธิปไตย และมุ่งรับใช้ประชาชนมากกว่าไปคุ้มครองผลประโยชน์ส่วนตนของพลเอกประยุทธ์
3) นายจตุพร กล่าวอีกว่า ในการแก้ไขสถานการณ์ โควิด-19 ยังสะท้อนให้เห็นว่าพลเอกประยุทธ์ประสบความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง จนกระทั่ง สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ต้องลงมือจัดการเองในการบริหารจัดการวัคซีน นอกจากนั้นยังไม่รักษาสัจวาจาที่ให้ไว้กับประชาชน ตั้งแต่เคยสัญญาว่าจะไม่ปฏิวัติ ในที่สุดก็ปฏิวัติ รวมไปถึงการสืบทอดอำนาจ อีกทั้งการป้องกันการปราบปรามการทุจริตที่ได้บอกว่าจะเข้าล้างสิ่งเหล่านี้ให้หมดไป
มาดู “สติปัญญา” และความเป็นเหตุเป็นผลกันครับ
ในข้อที่ 1) นั้น หาก ผบ.ทบ. ท่านมีความสามารถในการ“จัดการเวลา” ได้ อะไรคือปัญหาละครับ ในการบริหารจัดการกองทัพ ยามนี้ไม่ใช่ยามศึกสงคราม ที่แม่ทัพนายกองต้องลงไปสั่งการในสนามรบ ที่กำลังรบติดพัน แยกตัวออกมาไม่ได้ ซึ่งในกรณีแบบนั้น เขาก็ให้ลาประชุมวุฒิสภาได้ ไม่เชื่อไปดู“ผลงาน” ของ “น้องชาย พล.อ.ประยุทธ์” สมัยเป็น สว. ยุคที่พี่ชายเป็นหัวหน้า คสช. ดูสิครับ (ฮา...) แกลาประชุมฉิบหายวายป่วงเลย เรียกว่าแทบไม่ได้เข้าประชุมเลยก็ว่าได้ ในข้อเท็จจริงผบ.ทบ.ท่านเป็นอย่างนั้นไหมครับ ถ้าไม่ใช่ แปลว่าท่าน “บริหารเวลา” เป็น จึงไม่กระทบกับงานราชการในตำแหน่ง ผบ.ทบ. และงานที่รัฐธรรมนูญกำหนด อย่างการเป็นสว.
จตุพรกับพวก มีสันดาน “ไม่ให้เกียรติคนอื่น” เหมือนตอนไปยื่นหนังสือแบบเดียวกันนี้ ให้พรรคประชาธิปัตย์ถอนตัวจากการร่วมรัฐบาล ก็ไปตำหนิ เหน็บแนมเขา หมิ่นหยาม นายแทนคุณ จิตต์อิสระ ที่เป็นตัวแทนมารับหนังสือว่า “เป็นนักเลือกตั้ง/กระจอก ฯลฯ”
นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่พูด โดยไม่ได้สำรวจ “ข้อเท็จจริง” แต่ไปตั้งสมมุติฐานทึกทักเอาว่า ผบ.ทบ.ทำงานสองอย่างไม่ได้หรอกเสียเอง เสมือนเป็นการดูถูก ผบ.ทบ. เช่นนี้ คิดว่าจะได้รับความร่วมมือไหม การประชุมเพียงสัปดาห์ละ 2 วัน คนที่มีความรับผิดชอบมากพอ เขาจัดการได้ครับ เพราะตำแหน่ง ผบ.ทบ.ก็มีผู้ช่วย มีข้าราชการอื่นๆ ที่นำนโยบายไปช่วยปฏิบัติ และติดตามผลการปฏิบัติมารายงาน ผบ.ทบ.ได้ ไม่ใช่ต้องไปนั่งเฝ้าเอง ตามเอง ทำเองทุกงาน ท่านเป็น “ผู้บัญชาการ” ครับ หากสติปัญญามีมากพอ ควรจะเข้าใจว่า หน้าที่และการใช้เวลาของคนระดับนี้ ใช้กันอย่างไร แบบไหน เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพเท่าเดิมหรือเท่ากันกับการไม่ต้องไปเป็น สว. โดยกฎหมายกำหนดซึ่งเมื่อกฎหมายกำหนด ก็เท่ากับเป็น “หน้าที่หนึ่ง” ของการเป็นผบ.เหล่าทัพไปด้วยนั่นเอง
เช่นเดียวกับการกล่าวอ้างสถานการณ์โรคระบาด ก็เป็นการอ้างที่ “บ้องตื้น” ที่สุด ในยามศึกสงคราม แม่ทัพต้องไปเกี่ยวหญ้าเลี้ยงช้างเองไหมล่ะ นี่ก็เช่นกัน กองทัพมีหน่วยปฏิบัติเยอะแยะมากมาย ผบ.ทบ. ท่านมีหน้าที่กำหนดนโยบายและ“สั่งการ” ลงมา จากนั้นคอยติดตามผลการปฏิบัติ และปรับปรุงแก้ไขให้เกิดประสิทธิภาพก็เท่านั้น จึงเป็นการอ้างแบบ “กลอนพาไป” มีอะไรก็ใส่ลงไป ส่งๆ เดชๆ ไม่สะท้อนความมีสติปัญญาที่เฉียบแหลมแต่ประการใด
ส่วนข้อที่ 2) นั้น เป็นการกล่าวถึงมาตรา 111 (3) ซึ่งไม่มีอะไรซับซ้อนเลย คนที่ไม่ได้ตามไปดูรัฐธรรมนูญมาตรานี้ ก็จะรู้สึกว่า คณะไทยไม่ทนนี้เท่โว้ย ทำการบ้านมาอย่างดี ลองไปเปิดดูสิ “มาตรา 111 สมาชิกภาพของสมาชิกวุฒิสภาสิ้นสุดลง เมื่อ (1) ถึงคราวออกตามอายุของวุฒิสภา (2)ตาย (3) ลาออก...” แต่ไม่สามารถชี้เหตุผลที่หนักแน่นได้ว่าผบ.ทบ.จะเขียนลงไปในใบลาออกว่าอย่างไร ในเมื่อท่านมาเป็นสว. เพราะเป็น ผบ.ทบ. ไม่ได้มาเป็น สว. เพราะถูก คสช.เลือกเหมือนคนอื่นๆ จะพ้นจาก สว.ได้ ก็คือไม่เป็นผบ.เหล่าทัพ ผบ.สส. หรือปลัดกระทรวงกลาโหมเท่านั้นแหละคนรับราชการทหารมาทั้งชีวิต เขาก็อยากมาถึงตำแหน่งผบ.ทบ.กันทั้งนั้น นั้นคือหน้าที่หลัก สว.เป็นหน้าที่ที่แนบมากับตำแหน่ง จู่ๆ จะให้ไปลาออก แล้วใครจะไปเป็นแทนได้ล่ะ?พอเกิดปัญหาตรงนั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ชื่อพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และผู้เกี่ยวข้อง มิลงนามปลดออกจาก ผบ.ทบ. ให้คนอื่นที่พร้อมเป็น สว. ด้วยมาเป็นแทนหรอกรึ? ก็เหมือนกับที่แกนนำ นปช. หลายคน ที่ได้ไปเป็นสส.ในสภา ไม่กล้ายกมือคัดค้านพ.ร.บ.นิรโทษกรรมของรัฐบาลยิ่งลักษณ์นั่นแหละ ได้แต่นั่งเงียบเหมือนอมส้นตีน “งดออกเสียง” ปล่อยให้ความตายของคนเสื้อแดงและคนอื่นๆ ถูกฝังกลบด้วยกฎหมายระยำฉบับดังกล่าว ที่ไม่ให้โอกาสค้นหาความจริง ไม่ให้กระบวนการยุติธรรม ให้ยกโทษให้ฆาตกรเสียอย่างนั้น เพื่อแลกกับการได้เป็น สส. ได้เป็นข้าราชการการเมือง หรือได้ประโยชน์อื่นใดอันสังคมมีอาจล่วงรู้ได้กันต่อ จริงไหมครับ?
ส่วนประเด็นที่ 3) นั้น เป็นการชักแม่น้ำทั้งห้ามาโปะๆให้ดูมีเหตุผลเยอะๆ เข้าไว้เท่านั้นเอง การบริหารประเทศล้มเหลว เป็นความรับผิดชอบของฝ่ายบริหาร มิใช่ของข้าราชการประจำกองทัพอย่าง ผบ.ทบ. โดยตรง มีอะไรก็ไปไล่กันเอง และถามจริงๆ ผบ.ทบ. ไม่เป็น สว.นี่ พล.อ.ประยุทธ์ จะต้องลาออกหรือยุบสภาทิ้งไปเลยใช่ไหม?
ต่อให้ลาออกจากการเป็น สว. ทั้ง ผบ.ทบ., ผบ.ทร., ผบ.ทอ., ผบ.สส., ปลัดกระทรวงกลาโหม และ ผบ.ตร.ด้วยเอ้า พล.อ.ประยุทธ์ จะถึงกับพังครืนลงจากอำนาจเลยไหม ในเมื่อยังมี สว. ที่ “คสช.เลือก” จาก “ตัวบุคคล” มิใช่มาเป็น สว. เพราะตำแหน่ง หลัง คสช.หมดอำนาจแล้วอย่างคนเหล่านี้ อยู่อีก 240 กว่าคน คนเหล่านั้นต่างหาก ที่จตุพรกับพวกควรไปยื่นหนังสือให้เขาเสียสละลาออก เพราะเป็นเงื่อนไขที่ทำให้กติกาดูไม่เป็นธรรม บ้านเมืองมีความขัดแย้งกัน
หากจตุพรกับพวก คิดว่า ผบ.เหล่าทัพ ปลัดกระทรวงกลาโหม และผู้ที่ต้องเป็น สว. โดยตำแหน่ง ไม่ควรจะเป็น ก็ไปยื่นเสนอให้พรรคการเมือง หรือล่ารายชื่อประชาชนแก้ไขกฎหมายข้อนี้เสีย ผบ.เหล่าทัพพวกนี้ ก็ไม่ต้องไปเป็น สว.แล้ว
และที่อ้างว่า เป็น สว.แล้ว ไปเป็นนั่งร้าน ไปค้ำบัลลังก์ให้พล.อ.ประยุทธ์ นั้น ควรที่จะหาหลักฐานหรือเหตุการณ์ตัวอย่าง เช่น การโหวตครั้งที่ไม่ควรโหวต แต่ ผบ.ทบ.ดันโหวต มาเป็นตัวอย่างก่อนปรักปรำเขา มันก็จะเกิดความหนักแน่นว่ามาขอร้อง ว่าอย่างเป็นอย่าทำแบบนี้ต่อไปเลย ลาออกมาเถอะ นี่ได้แต่ทำให้สังคมมองเขาแบบเลื่อนลอย อ้างว่าเขาช่วยค้ำอำนาจให้ พล.อ.ประยุทธ์ ก็ชี้มาสิ ว่าพฤติกรรมใดที่ถูกตีความได้เช่นนั้น
สรุป : การจะโค่น พล.อ.ประยุทธ์ ลงจากอำนาจนั้นต้องกระทำด้วยความรอบคอบ จะออกอาการ “เสี้ยน”กระเหี้ยนกระหือรือ...หรือ “คัน” เป็นการส่วนตัวมิได้ แต่จะต้องทำให้สังคมเห็นชัด เห็นพ้อง ว่ามีเหตุผล มีตรรกะ มีน้ำหนักในการต้องช่วยกันบอก พล.อ.ประยุทธ์ ว่า “พอเถอะ-ไปเถอะ” เรียกว่าต้องเป็นฝ่ายค้าน ฝ่ายต้าน หรือฝ่ายตรวจสอบที่ทำงานมีประสิทธิภาพกว่าการกล่าวอ้าง ตีสำนวนโวหารผ่านลมปากไปวันๆ
เหมือนเมื่อครั้ง “น้ำท่วมใหญ่” ฉิบหายกันทั้งบ้านทั้งเมือง มีใครไปขอให้คนนั้นคนนี้ลาออก เพื่อให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ยุติการมีอำนาจบ้าง จนมาใช้อำนาจของ “เสียงข้างมาก” อย่างฉ้อฉล ออกกฎหมายนิรโทษกรรมที่ผิดหลักนิติรัฐ-นิติธรม ใช้ชีวิตประชาชนเป็นเครื่องมือหาประโยชน์ทางการเมือง ให้ประชาชนตายเปล่า แต่ไปนิรโทษกรรมให้แกนนำ ให้คนสลายการชุมนุม แถมพ่วงคดีทุจริตซ่อนเข้าไปด้วย อันนี้ “ระยำหมา” เกินกว่าจะให้ “ถืออำนาจ” ต่อไปได้ แต่ก็นั่นแหละ จะไปหวังอะไรกับคนอย่างจตุพร ที่ครั้งหนึ่งมาไล่รัฐบาลด้วยการอ้างว่ามีการ “ตั้งรัฐบาลค่ายทหาร” มาแล้วได้ล่ะ เขาโหวตกันในสภา ชนะกันที่นั่น ส่วนใครจะไปคุยกับใครที่ไหนมาก่อน เหมือนนักการเมืองซีกเดียวกับจตุพรบินไปคุยกับคนหนีคุก หนีหมายจับ อย่างนายทักษิณ ชินวัตร นั่น ทำไมทำได้
จตุพรจึงไม่ได้มี “ต้นทุน” อะไรมากพอที่จะทำให้สังคมเชื่อถือและคล้อยตามได้ ยิ่งมาเคลื่อนไหวแบบนี้อีก ยิ่งชวนให้คิดว่า “ทำให้ใคร” มากกว่า “ทำทำไม” เสียอีก
“เวลา + สติปัญญา + ความพอดี” คือเครื่องมือในการโค่น “ประยุทธ์” ครับ
ทุกวันนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ก็ผุกร่อนด้วยผลงานของตัวเองไปเรื่อยๆ อยู่แล้ว นับวันผู้คนจะยิ่งรู้สึกมืดมนกับปัจจุบันและอนาคต ใครจะโค่นประยุทธ์ อย่าเล่นบทห้ำหั่นประยุทธ์ หรือยืนอยู่ตรงข้ามกับประยุทธ์อย่างโฉ่งฉ่าง ยิ่งเคยเป็นพวกเดียวกับขั้วทักษิณมาก่อน สังคมยิ่งไม่วางใจว่ากระทำไปโดยใจบริสุทธิ์ แต่ให้เล่นเป็นปากเป็นเสียงแทนคนที่ประยุทธ์ทอดทิ้ง หลงลืม เช่น กลุ่มผู้ประกอบการร้านอาหาร สถานบันเทิงที่สุจริต ที่เดี๋ยวก็ถูกสั่งปิด สั่งปิด แต่ไม่เคยเหลียวแลเยียวยา, ครอบครัวอาม่า ที่นอนรอการมารับตัวไปรักษาโควิดจนเสียชีวิตคาบ้าน ฯลฯ ให้ความนิยมของเขาหดลงเพราะตัวเขา ไม่ใช่เพราะกระเหี้ยนกระหือรือจะช่วงชิงเอามา โดยที่คนถามว่า “เอาไปให้ใคร” หรือ ถ้าไม่ใช่ประยุทธ์แล้วจะเป็น “ใคร” เพราะคนไทยมีสิ่งที่ “รัก” และ “ห่วง” ยิ่งกว่า “ประยุทธ์” คือสถาบัน นี่เห็นหน้าคนที่มาเรียกร้องแล้ว ให้หวั่นๆ ว่าจะเป็นพวกเดียวกัน หรือเป็นแนวร่วมมุมกลับกับพวก “ไม่เอาสถาบัน” เขาก็ไม่ไว้ใจ ไม่ออกมาหนุนคุณกันหรอก
เอาประยุทธ์ออกจากอำนาจนั้นง่าย แต่จะถึงขั้น “พลิกขั้วอำนาจ” ได้หรือไม่นั้น เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
กล่าวง่ายๆ คือว่า เอาประยุทธ์ออกจากอำนาจได้ แต่เอาอำนาจออกจากฝั่งประยุทธ์ได้หรือไม่ คิดให้เยอะๆ ทำให้ประณีตกว่านี้ ตั้งแต่เลือกคนที่มาทำ เลือกประเด็นที่มาทำ ให้คนไทยเข้าไว้ใจและเกิดความหวัง
ซึ่งแน่นอนว่า “ใบหน้าแห่งความหวัง” ไม่ควรละม้ายคล้ายคางคกจกเปรต ที่สังคมหลาบจำ!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี