ปีกว่าๆ ที่สื่อมวลชน โดยเฉพาะทีวีดิจิทัลบางช่อง สำนักข่าวออนไลน์ชื่อดังบางสำนักปั่นกระแส เล่นข่าว สร้างภาพ จนกระทั่งผู้ต้องสงสัยในคดีที่มีเด็กเสียชีวิต กลายเป็นดนดัง เป็นดารา เป็นนักร้อง เป็นพรีเซ็นเตอร์ เป็นคนที่น่าสงสาร น่าเห็นใจ ได้รับการบริจาคช่วยเหลือมากมาย
นี่คือสิ่งที่สังคมไทยควรรู้เท่าทันในการเสพสื่อ
แม้ในขณะนี้เอง นายไชย์พล วิภา ก็ยังมิใช่ผู้ถูกกล่าวหาว่าเป็น “ฆาตกร” หากแต่เป็นผู้ต้องหา 3 ข้อหา ซึ่งยังไม่ปรากฏหลักฐานมัดแน่นว่าเขาคือฆาตกร
แต่คนในสังคมจำนวนมาก ก็พร้อมที่จะเทกระแสไปแบบ “ไม่ขาวก็ดำ” บางส่วนกล่าวหาเกินเลยไปแล้วว่าเป็นฆาตกร ซึ่งจริงๆ ยังมีกระบวนการต่อสู้คดีกันอีกยืดยาว ยังต้องติดตามดูพยาน หลักฐาน และการต่อสู้พิสูจน์ข้อเท็จจริงกันอีกหลายยก
อย่างไรก็ตาม ในแง่ “ภาพสะท้อนผ่านสื่อ” ก็สามารถจะถอดบทเรียนกันได้พอสมควร
ดังที่แฟนเพจข่าว “CocoNews” นำเสนอบทวิเคราะห์ไว้อย่างน่าสนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้
ว่าด้วยเรื่อง “ลุงพล” - “สื่อเสื่อม” ปั้น “คนร้าย” กลายเป็น “ไอดอล”
ความบางตอนว่า
“....นี่คือความน่าอับอายของวงการสื่อ
เจาะจงไปที่บางสื่อที่เป็นตัวตั้งตัวตี ถ้าเป็นภาษาปากยุคนี้ ควรเอ่ยคำว่า “ดึงบาร์สื่อลงจนต่ำเตี้ยเรี่ยดิน” จนนักข่าว และนักเล่าข่าวบางคนต้องกลับไปอ่านตำรา “จริยธรรม”สื่อใหม่อีกรอบ!
ปฏิเสธไม่ได้ว่า ชายผู้ที่ถูกสังคมเรียกว่า “ลุงพล” โด่งดังมากว่า 1 ปี จากแรกเริ่มเดิมทีที่เป็นผู้ต้องสงสัยฆ่าเด็กหญิงชมพู่ หลานของตนเอง จากนั้นก็โดนสื่อหลักและบรรดายูทูบเบอร์หลายรายที่หากินกับยอดวิวและนักปั้น หมอผี ที่ภายหลังแตกคอ ทำให้กลายเป็นเซเลบฯ คดียาวนานไปเกินหนึ่งปี กว่าเจ้าหน้าที่บ้านเมืองจะจับกุมในฐานะ“ผู้ต้องหา” ในคดี “ฆาตกรรม” งานนี้สื่อหลักผู้ปั้นนายไชย์พล วิภา น่าจะต้องรู้สึกอะไรบ้าง เมื่อส่องสปอตไลท์ทำ “คนร้าย” ให้กลายเป็น “คนดัง”
ย้อนกลับไปเมื่อ วันที่ 11 พฤษภาคม 2563 น้องชมพู่ เด็กหญิงวัย 3 ขวบ จากหมู่บ้านกกกอก อำเภอดงหลวง จังหวัดมุกดาหาร หายตัวไปอย่างลึกลับจากบ้านของตัวเอง นั่นทำให้ชาวบ้านมากกว่า 200 ชีวิต ตามหาสามวันสามคืน จนในที่สุด วันที่ 14 พฤษภาคม ชาวบ้านรายหนึ่งไปพบศพน้องชมพู่ อยู่ในสภาพเปลือยกาย ที่ป่าภูเหล็กไฟซึ่งมีระยะทางห่างจากบ้านถึง 2 กิโลเมตร โดยในการสืบคดี โอกาสที่น้องชมพู่จะวิ่งไปบนเขาเองก็เป็นไปได้ แต่ตำรวจก็ยังไม่ตัดข้อสงสัยเรื่องฆาตกรรม คืออาจมีผู้ใหญ่พาไปที่ภูเขาแล้วปล่อยทิ้งไว้จนน้องชมพู่ไม่สามารถกลับมาได้
คดีนี้ มีความน่าสงสัยหลายอย่าง เช่นในวันเกิดเหตุ คุณแม่ฝากน้องชมพู่ไว้กับ พี่สาวอายุ 13 ที่ชื่อสะดิ้ง แต่สะดิ้งอ้างว่าเผลอหลับไปราวๆ 10 นาที ซึ่งช่วงนั้นเองที่ชมพู่หายไปแล้ว และตำรวจมาสืบค้นภายหลังว่า จริงๆ สะดิ้งไม่ได้หลับตามที่อ้าง แต่เล่นแอป TikTok อยู่ บางคนก็ให้น้ำหนักไปในทางของพ่อแม่น้องชมพู่ ว่าอาจจะก่อเหตุ
ฆ่าลูกตัวเองหรือเปล่า
“ลุงพล” หนึ่งในคนที่ใกล้ชิดกับน้องชมพู่มากที่สุด โดยคุณแม่ของชมพู่ มีพี่สาวแท้ๆ ชื่อ ป้าแต๋น-สมพร หลาบโพธิ์ และสามีของเธอชื่อ ลุงพล-ไชย์พล วิภา ทั้งสองคนมีลูกชายด้วยกัน ชื่อ โอม กับ น้ำมนต์ อยู่ชั้นประถมทั้งคู่ โดยลุงพล มีความสนิทสนมกับน้องชมพู่มาก โดยเฉพาะช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ที่น้องเตรียมจะเข้าโรงเรียนอนุบาลทั้งสองคนได้อยู่ใกล้และคลุกคลีกันบ่อยขึ้น ซึ่งด้วยความสนิทกัน ลุงพลถึงกับพูดขึ้นมาเลยว่า ถ้าอนาคตพ่อแม่ไม่เลี้ยงชมพู่แล้ว ก็จะขอรับเอาไว้เป็นลูกเอง
ท่ามกลางความสงสัยในตัวลุงพล เจ้าหน้าที่ตำรวจยืนยันว่า อย่าเพิ่งปักใจเชื่อว่าใครคือฆาตกร แต่ขอให้รอผลการชันสูตรศพอย่างละเอียดเสียก่อน ดูว่าสาเหตุการตายที่แท้จริงคืออะไร แล้วค่อยเริ่มสืบสวนไปจากจุดนั้น โดยการชันสูตรศพ จะทำการผ่าสองรอบครั้งที่ 1 ที่โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ ในจังหวัดอุบลราชธานี และครั้งที่ 2 จะผ่าที่สถาบันนิติเวช โรงพยาบาลตำรวจ ในกรุงเทพฯ ซึ่งจะได้รายละเอียดการชันสูตรครบถ้วนในช่วงกลางเดือนกรกฎาคม 2563
วันที่ 9 กรกฎาคม ในทวิตเตอร์มีการติดแฮชแท็ก #Saveลุงพล จนขึ้นเทรนด์ในประเทศไทย โดยความเห็นหนึ่งระบุว่า “ชายคนนี้มีลูกเล็ก และเป็นพ่อคนเหมือนกับคนอื่น แต่เขาโดนกดดันสารพัด ทั้งความสงสัยของผู้คน ชาวบ้านต่างๆ และตำรวจที่มุ่งหน้าไปเก็บหลักฐานในรถของลุงพล มีการเก็บดีเอ็นเออย่างละเอียด แต่ในขณะเดียวกันในฐานะญาติ ก็ต้องช่วยจัดการเรื่องงานศพของน้องชมพู่ไปด้วย ลุงพลแสดงความบริสุทธิ์ใจให้ความช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ ให้ข้อมูลทุกอย่าง แม้จะโดนสอบนานทั้งวันทุกวัน วันละหลายชั่วโมง ก็ไม่อาจจะเหนื่อยหรือท้อได้ ลุงพลไม่เอ่ยปากบ่นแม้แต่ครั้งเดียว และไม่ซัดทอดใคร แต่สุดท้ายกลับโดนซัดทอดจากคนในครอบครัวเอง
...สื่อมวลชนพยายามจับประเด็นว่า ลุงพลคือฆาตกรหรือไม่ มีการทำแบบกราฟิกและจำลองเหตุการณ์ ว่าลุงพลอยู่ไหน ในช่วงที่น้องชมพู่หายไป ลุงพล ลุงเขยผู้ถูกพุ่งเป้าว่าเป็นคนร้าย เครียดและคิดอยากจะบวชให้น้องชมพู่ แต่ไม่มีวัดไหนรับ เพราะเกรงว่าจะเป็นการบวชหนีคดี
เมื่อยังไม่เจอหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ว่าลุงพลเกี่ยวพันกับการจับน้องชมพู่ไปปล่อยกลางป่า ทำให้ชาวเนตที่อยู่ฝั่ง #Saveลุงพล ออกมาประกาศชัยชนะ ว่าลุงพลคือผู้บริสุทธิ์ บ้านลุงพลแต่เดิมเป็นไม้ไผ่ล้อม หลังคาสังกะสี ก็มีคนจ่ายเงินช่วยทำบ้านใหม่ให้ รวมแล้วมูลค่าราวๆ 3 แสนบาท ซึ่งทั้งหมดที่ได้รับลุงพลไม่ได้เปิดรับบริจาคจากใครเลย แต่มีคนไม่รู้จักมามอบให้เอง ตั้งแต่ตำรวจไม่สามารถหาหลักฐานที่เชื่อมโยงลุงพลกับคดีได้ ส่งผลให้ลุงพลได้รับความนิยมขึ้นมาอย่างรวดเร็ว อยู่ๆ เขาก็มีฐานแฟนคลับขึ้นมา ทั้งๆ ที่ไม่ได้มีผลงานใดๆ ถือเป็นปรากฏการณ์ใหม่อย่างแท้จริง โดยลุงพล เปิด YouTube แชนแนลของตัวเองในชื่อ “ลุงพลป้าแต๋น แฟมิลี” ในวันที่ 16 สิงหาคม 2563 ซึ่งในแชนแนล เขาก็จะลงคลิปง่ายๆ ถ่ายทำเอง เพื่อเล่าวิถีชีวิตของตัวเอง เช่น เขาถ่ายคลิปกินข้าวเช้า ถ่ายคลิปขับรถไปวัด ถ่ายคลิปพาลูกๆไปเที่ยวทะเลครั้งแรก ถ่ายคลิปลงสระว่ายน้ำครั้งแรก ซึ่งแม้จะไม่มีโปรดักชั่นอะไรเลย แต่ก็มีคนดูนับแสนนับล้านในหลายๆ คลิป
ในช่วงนี้ ไม่แน่ใจว่าเหตุใด สื่อหลักช่องหนึ่ง ให้แอร์ไทม์แก่ลุงพลมากกว่าปกติ มีข่าวออกทุกวัน จนลุงพลกลายเป็นคนดัง ทั้งที่เป็นผู้ต้องสงสัยว่าจะเป็น “คนร้าย” สัมภาษณ์ รายงานข่าว ส่งผู้สื่อข่าวลงไปฝังตัว นำข่าวมาออกตลอด ทั้งที่บางวันก็ดูไม่ควรจะเป็นข่าว แต่ลุงพลจะเป็นข่าวเสมอ ราวเกาะติดชีวิตแพนด้าอย่างไรอย่างนั้น นั่นทำให้สังคมชิน รู้จัก และรู้สึกว่านายไชย์พล วิภา ผู้ต้องสงสัยคดีฆาตกรรม กลายเป็นเซเลบริตี้ จากการปั้นและทำข่าวของสื่อช่องดังกล่าว
ทำให้บรรดา “แมงเม่า” หรือสื่อเล็กสื่อน้อยอย่างยูทูบเบอร์ที่มีแชนแนลตัวเองในแพลตฟอร์มดังกล่าว ไปฝังตัวรายงานชีวิตลุงพลแบบแทบ 24 ชั่วโมง เพื่อเอายอดวิวไปแลกข้าว...เอ๊ย! แลกเงิน... เปลี่ยนวิวมาเป็นรายได้เข้าช่องยูทูบ
ความดังของลุงพล ทำให้นักปั้นรายหนึ่งเข้ามาทาบทาม นักร้องลูกทุ่งดังระดับราชินีลูกทุ่งของทำเพลงคู่ หมอผีคนดังก็เข้ามาหาขอไขคดีให้ แต่เบื้องลึกจริงๆ เมื่อคนธรรมดากลายเป็นคนดัง มีแฟนคลับ มีคนบริจาคเงินให้มากมาย ความเป็นตัวตนก็แสดงออกโดยไม่ต้องปิดบัง นายไชย์พลมีชื่อเสียด้านการควบคุมอารมณ์ที่เข้าขั้นแย่มาก ระเบิดอารมณ์ใส่สื่อเล็กสื่อใหญ่บ่อย แต่ถ้าสื่อเล็กก็จะโดนมากหน่อย สื่อใหญ่เป็นลูกรักลุงพล ทำให้มีดราม่าออกมาเป็นระยะ เช่นการผลักอก ตบหลัง สื่อเล็กสื่อน้อยบางคน
แต่ในที่สุด เมื่อทุกคนเจอ “นิสัยเดิม” ของลุงพลเข้าไป ทั้งสื่อเล็ก นักปั้น หมอผี จึง“บอกศาลา” ลาจากลุงพลเพราะ “ทนไม่ได้” จบกันแบบไม่สวยสักราย
แม้กระทั่งสื่อใหญ่เอง ภายหลังก็ออกข่าวโจมตีลุงพล ทั้งที่ตนเองเป็นต้นตอในการ“ปั้น” ลุงพลขึ้นมา
จนกลายเป็นคำพูดขำๆ ว่า “...ปั้นลุงพลได้ ... ก็ทำลายลุงพลได้” (ที่เว้นไว้ในจุดคือชื่อสื่อดังกล่าว)
ลุงพลโดนคดีเล็กๆ น้อยๆ รายทางในระยะเวลากว่า 1 ปี ที่คดียืดเยื้อเพราะกลายเป็นคนดัง อย่าง “การรุกป่าสงวน” เมื่อจู่ๆ ก็นึกเฮี้ยน เอาเงินอันเหลือเฟือที่ได้รับบริจาคจากแฟนคลับ (ทั้งที่ตัวเองไม่ได้ทำงาน เพราะไม่มีที่ไหนรับ) มาละเลงละลายแม่น้ำด้วยการสร้างพญานาค หวังจะให้เป็นที่เคารพสักการะ และอาจจะเป็นแหล่งหารายได้ส่วนตัวในอนาคต รวมถึงการได้รับความเชื่อถือในแง่ความเชื่อของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่สุดท้ายดันไปสร้างในพื้นที่ป่าสงวน จึงต้องยกเลิกไป
คดียืดเยื้อมานาน จนลุงพลเข้าขั้น “ขาลง” (แต่กระนั้นก็ยังมีครูบาอาจารย์บางคนที่เป็นแฟนคลับลุงพล พานักเรียนไปทัศนศึกษาที่บ้านกกกอก ก็น่าแปลกใจว่ามีอะไรดี หรือพานักเรียนไปดูแหล่งฆ่าเด็กหญิง อันนี้สังคมก็ออกจะสงสัย) ก็ทำให้กระแสในข่าวของลุงพลน้อยลง ช่องใหญ่ตัดหางขาดสนิท ยูทูบเบอร์ที่ไปฝังตัวเช่าบ้านอยู่ที่บ้านกกกอก เจอความเจ้าอารมณ์ของลุงพล ประกอบกับเป็นสื่อจิ๊บจ๊อย ลุงพลไม่ได้โอ๋เหมือนสื่อใหญ่ ต่างก็ทยอยเก็บของ แล้วปล่อยให้ลุงพลเดียวดายตามวัฏสงสารของโลก มีลาภ เสื่อมลาภ มียศ เสื่อมยศ สรรเสริญ นินทา...
ล่าสุด เมื่อคืนที่ผ่านมา (1 มิ.ย. 2564) ประเดิมต้นเดือนมิถุนายนอันแสนอบอ้าว ด้วยข่าวร้อนแรง คือหมายจับลุงพล-นายไชย์พล วิภา คนร้ายคดีฆาตกรรม “น้องชมพู่” เด็กหญิงวัย 3 ขวบ หลานสาวภรรยา โดยตำรวจมีหลักฐานมัดตัวแน่น คดี “เส้นขน” หลายสิบเส้น ที่อยู่บนตัวน้องชมพู่และนายไชย์พล ที่ตรวจสอบแล้วตรงกัน
2 มิถุนายน 2564 ทนายของนายไชย์พล นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ “ทนายตั้ม”ได้ออกมาว่า คนร้ายจะเข้ามอบตัว แต่ที่จริงแล้ว ทนายตั้มได้เดินทางมาพบตำรวจคนเดียวและนายไชย์พลตามมาทีหลัง และในเมื่อมีหมายจับ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึง “รวบตัว” คนร้ายคดีฆ่าน้องชมพู่ “ไชย์พล วิภา” ทันทีที่โผล่มาที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พร้อมใส่กุญแจมือทันที พร้อมชี้แจงว่า นี่ไม่ใช่การ “มอบตัว” แต่เป็น “การจับกุม” ตามหมายจับ
ณ ขณะนี้ วันที่ 2 มิถุนายน จาก ผู้ต้องสงสัย ที่กลายเป็น คนดัง กำลังตกอยู่ในสถานะ “คนร้ายคดีฆาตกรรม” หลังคดียืดเยื้อและคนร้ายอยู่ในสปอตไลท์ของสื่อที่อาศัยผู้ต้องสงสัยเรียกเรตติ้งอย่างควรถามหาตัวตนและจรรยาบรรณของสำนักข่าวนี้ (ยังไม่นับที่ก่อเรื่องหน้าไม่อายเอาไว้ตอนกราดยิงโคราชที่เสนอข่าวจนกลายเป็นผลดีต่อคนร้ายและทำให้ผู้บริสุทธิ์รวมถึงเจ้าหน้าที่ชุดคอมมานโดต้องตกอยู่ในอันตราย)
เชื่อว่าคนไทยจะเลือกเสพสื่อที่น้ำดีกว่านี้ สื่อที่ไม่พาคดีออกทะเล สื่อที่ไม่ปั้นคนร้ายให้เป็นคนดังและชุบตัวให้เหมือนเป็นคนดี รวมถึงตั้งตารอข้อเท็จจริงของคดีอย่างใจจดใจจ่อ.....”
ข้อเขียนข้างต้นของเพจข่าว “CocoNews” น่าจะช่วยกระตุกสำนึกของ “สื่อยุคใหม่” กันได้บ้าง
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี