ผมเห็นปรากฏการณ์หนึ่ง ในบ้านเมืองของเราที่น่าสนใจมากนั่นคือ ฟากหนึ่งมีคนด่าทอคุณเบญจา แสงจันทร์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อย่างหนักหน่วง ขณะที่อีกฟากหนึ่ง ก็สรรเสริญเธออย่างเลิศลอย มูลเหตุจากการที่เธออภิปรายร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2565 ในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร
สำหรับผม 1) เบญจากระทำการในที่แจ้ง ที่ทุกคนตรวจสอบได้
2) เบญจาทำ “ข้อมูล” มาดี และนำเสนอด้วยน้ำเสียง ท่าที ตลอดจนการลำดับความได้ดี
3) แต่มีการ “ฉวย” เอาการอภิปรายของเธอไป “ปั่น”ต่อในโลกออนไลน์ จนเกิดวิวาทะ ที่ต่างฝ่ายต่างจะลากความถูกเข้าหาฝ่ายตัว จนหาคนที่ใส่ใจฟัง “เนื้อความ” ของเบญจาได้น้อยคนเต็มที
เพื่อไม่ให้ผิดเพี้ยน ผมเข้าไปในเพจของพรรคก้าวไกล แล้วนำข้อมูลชุดนี้ ซึ่งนำเสนออยู่ในเพจดังกล่าวมาให้พิจารณากันครับ
“...Bencha Saengchantra - เบญจา แสงจันทร์ สส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ 2565
...โดยระบุว่า เมื่อพูดถึงการกำหนดวงเงินของหน่วยงานรับงบประมาณต่างๆ ที่ตั้งงบประมาณค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ในปีงบประมาณ 2565 มีงบประมาณที่เกี่ยวข้องกับสถาบันอยู่อย่างน้อยๆ 33,712,000,000 บาท (สามหมื่นสามพันเจ็ดร้อยสิบสองล้านบาท) เป็นรายการตามที่แสดงเป็นชื่อโครงการในเอกสารงบประมาณ ยังไม่ได้รวมงบที่เกี่ยวข้องกับสถาบันที่อาจซ่อนอยู่ในหมวดหมู่โครงการก่อสร้างที่มีราคาต่อหน่วยต่ำกว่า 10 ล้านบาท หรืออื่นๆ
ในจำนวนนี้แบ่งงบออกได้เป็น 5 ประเภท คือ 1.งบพิทักษ์รักษาและเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์2.งบถวายความปลอดภัย 3.งบส่วนราชการในพระองค์ 4.งบโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริและโครงการหลวงต่างๆ 5.งบอื่นๆ เช่น พระราชทานเพลิงศพเครื่องราชอิสริยาภรณ์
“ต้องย้ำก่อนว่า เงินจำนวนสามหมื่นกว่าล้านนี้ไม่ได้เป็นปัญหาแต่อย่างใด แต่ประเด็นคือ ผลผลิตของการตั้งงบประมาณ และประสิทธิภาพของโครงการที่ควรจะมีการพินิจพิจารณาอย่างรอบคอบ เหมาะสม เปิดเผยโปร่งใส ถูกต้องและตรวจสอบได้ เพื่อให้ประโยชน์สูงสุดนั้นตกเป็นของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคเศรษฐกิจตกต่ำจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 เช่นนี้”
...โดยเฉพาะโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริและโครงการหลวงต่างๆ ที่ใช้เงินงบประมาณกว่า 15,000 ล้านบาท ที่มีอยู่มากกว่า 50 โครงการ กระจายอยู่อย่างน้อย7 แผนงาน ใน 30 กรม และอีกกว่า 7,000 องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยบางโครงการเป็นโครงการที่รัฐบาลได้รับพระราชทานพระราชดำริ หรือมีประชาชนถวายฎีกาขึ้นมาเมื่อหลายสิบปีก่อน อาจต้องมีการศึกษาใหม่ว่า พื้นที่นั้นมีความเปลี่ยนแปลงจากในอดีตมากน้อยเพียงใด หัวใจของปัญหายังคงเหมือนเดิมอยู่หรือไม่
“หลายครั้งพบว่าหน่วยงานรับงบอย่างหน่วยงานราชการบางหน่วยกลับพยายามผลักดัน “โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ” โดยไม่ได้ทำการศึกษาถึงความเปลี่ยนไปของสภาพพื้นที่และสภาพปัญหาให้ถ่องแท้ ทำให้เกิดความขัดแย้งและการต่อต้านขึ้นมาจากประชาชนในพื้นที่นี่ไม่ใช่การกล่าวหา แต่มีเอกสารและมีหลักฐาน จำโครงการอ่างเก็บน้ำเหมืองตะกั่วที่คณะกรรมาธิการงบประมาณเมื่อปีที่แล้วเสนอให้ตัดงบประมาณได้หรือไม่ เอกสารรายงานด้านสิ่งแวดล้อมที่กรมชลประทานเร่งรีบจัดทำขึ้น ปรากฏว่ามีข้อผิดพลาดในเอกสาร ความผิดพลาดนั้นคือ การจัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการอ่างเก็บน้ำเหมืองตะกั่วอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดพัทลุง มีการคัดลอกเอารายงานของจังหวัดเพชรบูรณ์ มาเปลี่ยนชื่อเป็นจังหวัดพัทลุง แต่กลับลืมแก้ไขข้อมูลพื้นฐานสำคัญ อย่างลักษณะทางภูมิศาสตร์ และพืชเศรษฐกิจหลัก จนถูกประชาชนคนทั่วไปจับผิดได้ ถึงแม้ว่ากรมชลประทานจะอ้างว่านี่เป็นรายงานฉบับเก่า แต่จะฉบับเก่าหรือว่าจะเป็นฉบับใหม่ไม่ใช่สาระสำคัญ แต่สาระสำคัญคือการจัดทำรายงานปลอม เป็นรายงานที่ไม่ตรงกับสภาพของพื้นที่ นั่นเท่ากับรายงานฉบับนี้เป็นรายงานเท็จ ซึ่งการเอาข้อมูลอันเป็นเท็จมาใช้กับ “โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ”ที่เกี่ยวเนื่องโดยตรงกับสถาบันพระมหากษัตริย์ การแอบอ้างเช่นนี้ เหมาะสมหรือไม่ และจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาพลักษณ์ของสถาบันเสื่อมเสียไปถึงพระเกียรติยศขององค์พระมหากษัตริย์หรือไม่”
...อีกหนึ่งโครงการคือ “โครงการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำนฤบดินทรจินดา” หรือ “โครงการห้วยโสมง อันเนื่องมาจากพระราชดำริ” ซึ่งเป็นโครงการชลประทานขนาดใหญ่ที่ใช้เวลาสร้างมายาวนานมากกว่า 10 ปี แต่ก็ยังก่อสร้างไม่แล้วเสร็จสมบูรณ์เสียที โครงการนี้ผ่านมติ ครม. มาตั้งแต่ปี 2552 มีมติอนุมัติให้กรมชลประทานดำเนินการก่อสร้าง โดยกำหนดระยะเวลาก่อสร้างตั้งแต่ปี 2553 จนถึงปี 2561รวมระยะเวลา 9 ปี ใช้งบประมาณในการก่อสร้างภายใต้กรอบวงเงิน 9,078 ล้านบาท เริ่มตั้งงบประมาณมาตั้งแต่ปี 2553แต่ก็เลื่อนปีที่จะสร้างเสร็จไปเรื่อยๆ นับตั้งแต่พรรคอนาคตใหม่เริ่มเข้ามาพิจารณางบประมาณในปีงบประมาณ 2563 การก่อสร้างผูกพันมาเป็นเวลามากกว่า 10 ปีแล้ว จนปัจจุบันมาถึงพรรคก้าวไกลเข้าสู่ปีงบประมาณที่ 2565 หน่วยงานรับงบอย่างกรมชลประทานก็เลื่อนการขอใช้งบประมาณผูกพันของโครงการนี้มาโดยตลอด ตอนปีงบประมาณ 2563 ก็ชี้แจงว่าจะแล้วเสร็จปี 2564 พอมาปีงบประมาณ 2564 หน่วยงานรับงบชี้แจงว่าจะแล้วเสร็จปี 2565 ปัจจุบันงบประมาณปี 2565 ท่านก็ระบุว่าจะแล้วเสร็จปี 2566 สรุปแล้วโครงการนี้ติดปัญหาที่ตรงไหน ทำไมถึงไม่สามารถก่อสร้างให้แล้วเสร็จสมบูรณ์ได้
“เมื่อเข้าไปดูในรายละเอียดของตัวโครงการ พบว่าโครงการห้วยโสมง เป็นโครงการที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ได้พระราชทานพระราชดำริแนวทางการแก้ปัญหาบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน ให้กรมชลประทานนำไปดำเนินการไว้ตั้งแต่เมื่อปี 2521 หรือเมื่อ 40 กว่าปีก่อนแล้วจึงเกิดความเป็นกังวลว่า จากวันนั้นจนถึงวันนี้ สภาพพื้นที่สภาพภูมิประเทศและการใช้ประโยชน์ในพื้นที่ของพี่น้องประชาชนเปลี่ยนแปลงไปจากที่ได้ออกแบบก่อสร้างไว้เดิมแล้วดังนั้นโครงการนี้ยังมีความเหมาะสมจำเป็นที่จะต้องก่อสร้างหรือปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอยู่มากน้อยเพียงใด
โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริหลายๆ โครงการ ที่หน่วยงานรับงบมีการดำเนินโครงการที่เต็มไปด้วยความไม่ชอบมาพากล ควรจะต้องรับฟังความเห็นจากชุมชนอย่างแท้จริง เพื่อแสดงให้เห็นว่าโครงการเหล่านี้โปร่งใสและเป็นธรรม เพื่อไม่ให้หน่วยงานต่างๆ แอบอ้างดำเนินโครงการซึ่งอาจจะส่งผลกระทบกับภาพลักษณ์ของสถาบันพระมหากษัตริย์”
...เบญจา กล่าวต่อว่า สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ หรือ กปร. ในฐานะองค์กรกลางที่มีหน้าที่ดูแลโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จึงควรตรวจสอบโครงการเหล่านี้ หากพบว่าตัวโครงการมีปัญหา ทั้งจากเหตุความไม่โปร่งใส หรือจากการที่สภาพความต้องการของพื้นที่ได้เปลี่ยนไปจากเดิมแล้ว กปร. ก็ควรสั่งให้มีการเพิกถอนสถานะ โครงการอันเนื่องมาจากพระดำริ นั้นเสีย
...นอกจากนี้ ยังมีโครงการที่ใช้ชื่อเกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ที่ดูเหมือนจะไม่ใช่พันธกิจของหน่วยงานเจ้าภาพ อย่างเช่น โครงการอนุรักษ์พันธุ์พืชของกองทัพอากาศ โครงการอนุรักษ์แนวปะการังของกองทัพเรือ และโครงการพัฒนาพื้นที่ต้นน้ำของกองบัญชาการกองทัพไทย อีกด้วย
...ด้วยเหตุนี้ จึงเห็นว่ามีความจำเป็นที่จะต้องตั้งแผนบูรณาการแผนใหม่ คือ แผนบูรณาการโครงการที่เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยให้สำนักงาน กปร. เป็นแม่งานในการดูแล และจัดลำดับความสำคัญของโครงการที่ใช้ชื่อ “อันเนื่องมาจากพระราชดำริ” และ “โครงการหลวง” ทั้งหมด โดยสาเหตุที่ต้องทำให้อยู่ในรูปแบบของแผนบูรณาการนั้น มี 3 ประการ
หนึ่ง - เพื่อที่จะลดความซ้ำซ้อนของการดำเนินงานไม่ปล่อยให้หลายหน่วยงานเข้ามารุมทำแค่เพียงโครงการใดโครงการหนึ่ง ที่อาจไม่ใช่ภารกิจหลักของหน่วยงานนั้นๆ
สอง - เพื่อให้สำนักงาน กปร. สามารถจัดลำดับความสำคัญ และความเร่งด่วนของแต่ละโครงการได้ อันจะทำให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชน
สาม - เพื่อให้เกิดความสะดวกต่อสภาผู้แทนราษฎรในการตรวจสอบโครงการต่างๆ ที่ใช้ชื่อเกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ไม่ให้กลุ่มบุคคลที่ไม่ประสงค์ดี แอบอ้างนำสถาบันกษัตริย์มาใช้เป็นเกราะกำบัง อันจะส่งผลเสียต่อพระเกียรติยศขององค์พระมหากษัตริย์ได้
...การรวมงบประมาณเข้าด้วยกันเป็นแผนบูรณาการ จะทำให้การใช้งบประมาณเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมไปถึงทำให้พี่น้องประชาชนที่เป็นเจ้าของเงินงบประมาณ สามารถตรวจสอบการใช้งบประมาณที่เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ได้อย่างถูกต้อง ไม่ทำให้เกิดข่าวลือผิดๆ ที่อาจทำให้พระเกียรติยศขององค์พระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ได้รับความเสียหาย
...ในหัวข้อสุดท้าย เบญจา กล่าวว่า จะอภิปรายถึง งบเทิดพระเกียรติ เช่น งบจัดงาน หรือจัดนิทรรศการในวันสำคัญๆ อย่างวันเฉลิมพระชนมพรรษา ที่ทั้งเปิดเผยและแฝงอยู่ตามกรมกองต่างๆ แบบเบี้ยหัวแตก 1 ล้านบ้าง 5 ล้านบ้าง ปัญหาของเรื่องนี้ คือ การที่งบถูกหว่านอย่างกระจัดกระจายเกินไป ทำให้นอกจากจะไม่เกิดประโยชน์อะไรแล้ว ยังเป็นการไม่สมพระเกียรติขององค์พระมหากษัตริย์อีกด้วย
“เราควรที่จะรวมงบประมาณพวกนี้เป็นก้อนเดียว แล้วมอบหมายให้หน่วยงานในสำนักนายกรัฐมนตรี หรือกระทรวงวัฒนธรรม นำไปจัดงานให้สมพระเกียรติ โดยอาจเป็นงบประมาณสำหรับทุกจังหวัดในการจัดงานออกร้าน ให้ประชาชนได้ออกมาจับจ่ายซื้อขายสินค้า คล้ายงานเทศกาล ในวันเฉลิมพระชนมพรรษาของปีหน้า ซึ่งนอกจากจะเป็นการเฉลิมพระเกียรติแล้ว ยังเป็นการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศอีกทางหนึ่งดีกว่านำงบประมาณไปจัดทำซุ้มตั้งตามสี่แยกหรือหน้าอาคารสำนักงาน ซึ่งไม่ได้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจแต่อย่างใด
“สุดท้ายนี้ อยากขอฝากไปถึงหน่วยรับงบประมาณทุกหน่วยที่จะเข้ามาชี้แจงงบประมาณในวาระ 2 ว่า ขออย่าให้นำสถาบันพระมหากษัตริย์มาเป็นเกราะกำบัง เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงการตรวจสอบจากสภา และหวังว่าในปีนี้ ส่วนราชการในพระองค์จะส่งตัวแทนมาเข้าร่วมการพิจารณางบประมาณ เพื่อให้เป็นไปตามกระบวนการพิจารณางบประมาณภายใต้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขด้วย”
จากข้อมูลข้างต้น (ที่จริงฟังคลิปที่เธออภิปรายจะดีที่สุด เพราะมีเรื่องของน้ำเสียง แววตา ท่าที ในการนำเสนอประกอบด้วย
1) เบญจาพูดชัดเจนว่า “ต้องย้ำก่อนว่า เงินจำนวนสามหมื่นกว่าล้านนี้ไม่ได้เป็นปัญหาแต่อย่างใดแต่ประเด็นคือ ผลผลิตของการตั้งงบประมาณ และประสิทธิภาพของโครงการที่ควรจะมีการพินิจพิจารณาอย่างรอบคอบ เหมาะสม เปิดเผย โปร่งใส ถูกต้องและตรวจสอบได้ เพื่อให้ประโยชน์สูงสุดนั้น ตกเป็นของประชาชนโดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคเศรษฐกิจตกต่ำจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 เช่นนี้” นี่คือ “หลักของผู้พูด” แล้วผู้ฟังและผู้ไม่ได้ฟังล่ะ ตั้งตนอยู่บนหลักใด
2) เบญจา บอกชัดเจนว่า งบจำนวนที่เธอกล่าวนี้กระจายอยู่ใน “หน่วยรับงบประมาณต่างๆ” ไม่ใช่เธออุปโลกน์งบก้อนนี้ขึ้นมาเอง ส่วนการ “ปั่นต่อ”ในโลกออนไลน์ ให้คนเข้าใจว่ามีงบประมาณที่เรียกว่า“งบสถาบันพระมหากษัตริย์” หรือบางคนโง่เง่าเลยเถิดถึงขั้นคิดไปเองว่า เป็นเงินที่ถวายแด่องค์พระมหากษัตริย์นั้น จะถือเป็นความผิดของเบญจาหรือ?
3) ทุกคนมีสิทธิตั้งคำถามกับ “เจตนา” ของการเลือกอภิปรายหัวข้อนี้ ชนิดไม่มีใน “หมวดหมู่ของงบประมาณ” โดยตรง แต่นั่นก็มิใช่เหตุผลที่มากพอที่จะ “ละเลย” ข้อเสนอให้มีการตรวจสอบ ทบทวน และชี้แจง โดย “หน่วยรับงบประมาณ” (ซึ่งเป็นหน่วยงานราชการล้วนๆ) ที่เธอนำเสนอ
4) ผมคิดว่า เบญจาให้ “เบาะแส” ที่ดี ที่คนทำหน้าที่ “พิจารณางบประมาณ” ควรต้องใส่ใจโดยเฉพาะประเด็นที่ต้องทำให้โปร่งใส มีคำอธิบาย และมุ่งหมายมิให้มีใครหรือหน่วยงานใดอิงแอบแนบคำว่า“เทิดพระเกียรติ” มาใช้งบประมาณอย่างปราศจากการคำนวณความเหมาะสมและความคุ้มค่า
5) เบญจาอาจจดจ่อกับเรื่อง “ประโยชน์และความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ” อย่างเดียว ซึ่งเป็นความคับแคบในการมองอยู่บ้าง เพราะการใช้งบประมาณแผ่นดินในหลายๆ เรื่องของหลายๆ หน่วยงาน บางครั้งมิใช่เรื่องการหวังผลทางเศรษฐกิจ
6) อย่างไรก็ตาม สังคมต้องเข้มแข็งทางปัญญา และมีวุฒิภาวะที่จะเห็นคุณค่าของการตรวจสอบการใช้งบประมาณแผ่นดินแบบนี้บ้าง มิใช่เพียงได้ยินคำว่ากษัตริย์ ก็รีบผลักเขาออกไปให้เป็นภัย-มิใช่พวก แล้วรีบตีตรา จนทิ้ง “เนื้อหา” หรือสาระสำคัญ
สำหรับผม ขอบคุณการทำหน้าที่ของ สส.เบญจา แต่ตำหนิ ประณาม และมิอาจรับได้ ต่อการฉกฉวยไปบิดเบือนโดยโลกโซเชียลฯ กระนั้นก็ตาม ผมก็มิได้เห็นการ “ปกป้องความจริง” ที่มีเหตุผล ที่ปราศจากอารมณ์
เบญจา อาจบรรลุภารกิจบางอย่างของเธอ
แต่สังคมไทย ยังไม่บรรลุครับ จนกว่าเราจะเข้มแข็งพอที่จะรับฟังและโต้แย้งกลับด้วย “ชุดความจริง” แบบประเด็นต่อประเด็น มิใช่เห็นแค่เขาคนนั้น สีอะไร!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี