เมื่อวันที่ 7 ก.ค. พญ.อภิสมัย ศรีรังสรรค์ รองโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) แถลงว่าแพทย์สมาคมแห่ง
ประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ มีความเป็นห่วงเรื่องระบาดของเชื้อโควิด-19 และได้มีการประเมินคร่าวๆ ว่าเริ่มพบเชื้อสายพันธุ์เดลต้า ประมาณช่วงเดือนมิถุนายน ที่ผ่านมา โดยผู้เชี่ยวชาญของสหรัฐฯ รายงานว่า สายพันธุ์เดลต้าแพร่กระจายเร็ว ซึ่งคาดการณ์ว่าจะเพิ่มจำนวนผู้ติดเชื้อ 2 เท่า ภายใน 2 สัปดาห์
ทั้งนี้ในตอนนี้จะเห็นได้ว่าตัวเลขผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จาก 1,000 ราย ขยับเป็น 2,000 ราย และเพิ่มเป็น 4,000 ราย
โดยมีการคาดการณ์ว่า #ในสัปดาห์หน้า ผู้ติดเชื้อรายใหม่อาจสูงไปถึง 10,000 รายต่อวัน จึงต้องขอให้ทุกคนเน้นย้ำการทำตามมาตรการป้องกัน รวมทั้งการเน้นย้ำการฉีดวัคซีน
เมื่อมีแถลงเป็นทางการว่าอาจมีผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงถึง 10,000 รายต่อวัน และเตือนให้ทุกคนเน้นย้ำการทำตามมาตรการ
ป้องกัน ดังนั้นตั้งแต่นาทีนี้เป็นต้นไปทุกคนต้องท่องคาถาว่า “อัตตา หิ อัตตาโน นาโถ” ตนนั้นแลเป็นที่พึ่งแห่งตน ทุกคนจะหวังแต่พึ่งหมอพึ่งวัคซีนพึ่งยาเห็นจะช้าไม่ทันการแล้ว หากทุกคนต้องทำตัวให้เป็นที่พึ่งแห่งตน
หลักปฏิบัติอันนี้ทำได้ง่ายๆ คือไม่จำเป็นจริงๆ ไม่สุงสิงกับใครไปไหนมาไหน ออกจากบ้านหรือแม้แต่อยู่บ้านต้องใส่หน้ากากอนามัยถ้าเป็นไปได้ให้ใส่สองชั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งอย่ากลัวเรื่องฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19
ทุกคนต้องพยายามหาทางฉีดวัคซีนให้ได้ ประสบการณ์ ที่ได้พูดคุยกับชาวบ้านทั่วไปหลายคนไม่กระตือรือร้นที่จะฉีดวัคซีน บางคนเกิดอาการกลัวเพราะไปเสพข่าวลวงหรือเฟคนิวส์ ที่ทะลักเหมือนน้ำป่าออกมาทางโซเชียลหรือสื่อสังคม
ขอให้พิจารณา ว่าถึงวันที่ 7 ก.ค. 2564 มีคนฉีดวัคซีนไปแล้ว11,328,043 โดส ยังไม่เคยเห็นคนตายเพราะฉีดวัคซีนด้วยตัวเองแม้แต่รายเดียว มีแต่ข่าวจากโซเชียล ข่าวเขาเล่าว่า ข่าวพูดๆต่อกันมาแต่ที่เห็นกับตาไม่เคยมี คนในตำบลเดียวกัน ในชุมชนเดียวกันและคนที่เรารู้จักเป็นการส่วนตัวผ่านการฉีดวัคซีนมาแล้วไม่น้อยกว่าสองพันรายไม่เห็นใครเป็นอะไร
นอกจากนั้นเฟซบุ๊คส่วนตัวของผู้เขียนมีเพื่อนอยู่ 5,000 คน และผู้ติดตามประจำประมาณ 13,000 คน ไม่เห็นมีใครบ่นว่าไปฉีดวัคซีนมาแล้วมีผลข้างเคียงถึงขั้นเป็นอันตราย ส่วนใหญ่ 90% บอกว่าสบายๆ ส่วนอีก 10% บอกว่ามีไข้เล็กน้อยแต่กิน
ยาพาราฯ วันสองวันก็หายดี
เชื่อเถอะถ้าวัคซีนไม่ดีฉีดแล้วเป็นอันตรายป้องกันโควิด-19 ไม่ได้ สส. ในสภาคงไม่อยากได้มันเพิ่มเติม สส. คงไม่เรียกร้องขอฉีดเข็มที่สามหรอก ดีที่นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา เบรกเอาไว้ เพราะเห็นเข็มที่สามนะมันเป็น Booster หรือเพิ่มความคุ้มกันสูงขึ้นไป เขาเตรียมไว้ให้กับแนวหน้าที่เผชิญหน้ากับเชื้อโรคอยู่ทุกวัน เช่น แพทย์ พยาบาล หรือบุคลากรทางการแพทย์ที่สู้รบกับโรคโควิด-19 อยู่แนวหน้า
ส่วน สส. นั้นในสภาเขาทำความสะอาดทุกวันในสภามีมาตรการป้องกันให้ทุกคนใส่หน้ากากอนามัยมีการตรวจไข้ก่อนเข้าสภา นายชวน จึงเห็นว่า สส. มีความเสี่ยงน้อยกว่าสัปเหร่อมาก สัปเหร่อและอาสาสมัครกู้ภัยที่สัมผัสหรือใกล้ชิดกับผู้เสียชีวิตด้วยโควิด-19 จึงจำเป็นต้องได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 อยู่ข่ายแนวหน้าเหมือนกัน
นายสมบูรณ์ อุทัยเวียนกุล เลขานุการประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา ได้ลงนามในหนังสือถึง พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ขอความอนุเคราะห์จัดสรรวัคซีนให้เจ้าหน้าที่มูลนิธิ สัปเหร่อ และผู้ทำหน้าที่ในการจัดการศพของผู้ติดเชื้อโควิดและครอบครัวด้วย
นายชวน หลีกภัย เป็นคนรอบคอบคิดถึงผู้คนถ้วนหน้าท่านถือว่าทุกคนมีความสำคัญพอๆ กัน เพราะงานทุกด้านทุกอาชีพสาขาต่างก็มีความสำคัญในส่วนนั้นๆ สส. มีความสำคัญในสภา แต่ในเมรุเผาศพและในป่าช้าสัปเหร่อและอาสาสมัคร
ของมูลนิธิต่างๆ มีความสำคัญกว่า สส. ประธานรัฐสภาจึงทำหนังสือถึง มท.1 ขอความอนุเคราะห์จัดหาวัคซีนให้สัปเหร่อและครอบครัวด้วย ส่วน สส. ขอฉีดวัคซีนเข็มที่สามนั้นท่านเบรกไว้ก่อน
พญ.อภิสมัย ศรีรังสรรค์ รองโฆษก ศบค. นอกจากเน้นเรื่องป้องกันตนเองด้วยการสวมหน้าอนามัย ให้ปฏิบัติตามมาตรการทิ้งระยะห่างทางสังคม หมั่นล้างมือแล้วยังยืนยันว่าประเทศไทยเร่งฉีดวัคซีนให้ได้ 50 ล้านโดส ภายในสิ้นปีนี้ เธอแถลงความคืบหน้าการฉีดวัคซีนป้องกันโควิดว่า การฉีดวัคซีนวันที่ 6 ก.ค.ฉีดไปได้ 269,653 โดส แบ่งเป็นเข็มแรก 223,268 ราย เข็มที่สอง46,385 ราย ทำให้ขณะนี้มียอดฉีดสะสมตั้งแต่วันที่ 28 ก.พ.11,328,043 โดส ซึ่งเป้าหมายเราอยากฉีดให้ได้วันละ300,000-500,000 โดส ตอนนี้ถือว่ายังน้อยกว่าแผน
นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงวิป 3 ฝ่ายหารือกรณีอยากให้รัฐบาลจัดหาวัคซีนเข็มที่ 3 ให้สภาว่าไม่ทราบ เพราะไม่ได้เข้าประชุมด้วย คงเป็นเพียงข้อเสนอยังไม่ได้มีการตกลงอะไรกัน แต่จะให้สวอบ (ตรวจโรค) เท่านั้น ยืนยันว่าตอนนี้ยังไม่มีการฉีดเข็มที่ 3 เพราะต้องฉีดให้กับบุคลากรทางการแพทย์ที่ควรได้รับการดูแลก่อน ซึ่งขณะเดียวกันส่วนใหญ่ก็ไม่เห็นด้วย เนื่องจากที่เรามีประชุมได้ เพราะเรามีมาตรการที่เข้มงวด
เพราะการแพร่เชื้อเร็วของโควิดสายพันธุ์เดลต้ารัฐบาลจำเป็นใช้ยาแรง ขยายเวลาสถานการณ์ฉุกเฉินออกไปอีก
สองเดือนจนถึงวันที่ 30 ก.ย. และประกาศเคอร์ฟิว 14 วัน ในกรุงเทพฯ และ 9 จังหวัดบริวาร ห้ามประชาชนออกนอกบ้านตั้งแต่ 21.00 น. ถึง 04.00 น. ถือเป็นกฎเกณฑ์บังคับเข้มข้นเหมือนประเทศเพื่อนบ้านที่ประสบปัญหาวิกฤติโควิด-19 กลายพันธุ์ เช่นเดียวกัน
สำนักข่าวเอฟพีอ้างรายงานข่าวจากเวียดนามว่า มาตรการเข้มข้นป้องกันระบาดใหญ่จะเริ่มมีผลบังคับตั้งแต่เช้าวันศุกร์ที่ 9
กรกฎาคม ประชากรในนครโฮจิมินห์ซิตีจะต้องอยู่บ้านนาน 2 สัปดาห์ หลังจากตรวจพบผู้ติดเชื้อ 8,000 คน จากการระบาดรอบล่าสุดซึ่งเริ่มต้นเมื่อปลายเดือนเมษายน ทั้งที่ก่อนหน้านั้นเวียดนามมีผู้ติดเชื้อไม่ถึง 3,000 ราย โดยนครโฮจิมินห์กำลังเป็นศูนย์กลางของการระบาดรอบนี้
สื่อของทางการเวียดนามกล่าวว่า มาตรการล็อกดาวน์นี้จะอนุญาตให้สมาชิกในครอบครัวออกจากบ้านได้เพื่อซื้อหาอาหารและยาเท่านั้น
เวียดนามซึ่งมีประชากรเกือบ 100 ล้านคน เคยเป็นต้นแบบของการควบคุมโควิด-19 ได้ ทั้งด้วยการติดตามผู้สัมผัสโรคและการกักกันอย่างเข้มงวด แต่เวียดนามยังประสบปัญหาในการฉีดวัคซีนให้ประชาชน กระทรวงสาธารณสุขกล่าวว่า ถึงขณะนี้
เพิ่งฉีดวัคซีนได้ไม่ถึง 4 ล้านโดส เวียดนามมีผู้ติดเชื้อสะสม 22,341 ราย เสียชีวิต 97 ราย
ส่วนในประเทศเมียนมา ทางการประกาศใช้มาตรการบังคับให้ประชาชนอยู่บ้านในหลายพื้นที่ของนครย่างกุ้ง เมื่อวันพุธที่ผ่านมา ขณะที่ยอดผู้ติดเชื้อรายใหม่ในวันพุธนั้นสูงเกือบ 4,000 คน มากที่สุดในรอบหลายเดือน เปรียบเทียบกับที่เคยมีไม่ถึงวันละ 50 คน ในช่วงต้นเดือนพฤษภาคม
นับแต่วันพฤหัสบดีเป็นต้นไป ประชาชนใน 10 ตำบล ของย่างกุ้งที่มีประชากรราว 1.5 ล้านคน จะไม่ได้รับอนุญาตให้ออกจากบ้าน โดยแต่ละครอบครัวจะมีสมาชิกไม่เกิน 1 คน ที่สามารถออกจากบ้านด้วยเหตุผลที่ไม่ใช่ทางการแพทย์
คำประกาศมาตรการนี้ไม่ได้ระบุกรอบเวลาว่าจะบังคับใช้ถึงเมื่อใด พื้นที่ที่โดนควบคุมด้วยรวมถึงเขตไลง์ทายา หนึ่งใน
พื้นที่ที่กองทัพปราบปรามผู้ประท้วงอย่างรุนแรง
โทรทัศน์ของทางการเมียนมารายงานเมื่อวันพุธว่า มีประชากรราว 1.75 ล้านคน จากประชากร 54 ล้านคนทั้งประเทศ ได้ฉีดวัคซีนแล้ว โดยทางการกำลังเร่งจัดหาวัคซีนจากรัสเซียและจีนข่าวทีวีกล่าวด้วยว่า วัคซีน 2 ล้านโดส จะมาถึงเมียนมาเร็วๆ นี้ เมียนมามีผู้ติดเชื้อสะสมมากกว่า 171,900 คน ตาย 3,513 ราย
ในประเทศอินโดนีเซีย ประธานาธิบดีโจโก วิโดโด ประกาศใช้มาตรการ “ฉุกเฉิน” ในพื้นที่สีแดงทั้งเมืองหลวง,ชวาและบาหลี เริ่มวันเสาร์ที่ 3 ก.ค. นี้ เพื่อควบคุมการระบาดของโควิด-19 หลังจากมีผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตสูงทำลายสถิติ 58,024 ราย และเสียชีวิตในวันเดียว 463 ราย
คำแถลงทางโทรทัศน์เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 1 กรกฎาคม ของประธานาธิบดีอินโดนีเซียและรัฐมนตรีในรัฐบาลของเขาประกาศว่ารัฐบาลจะใช้ข้อกำหนด “ฉุกเฉิน” ในกรุงจาการ์ตารวมไปถึงเกาะชวาและบาหลีที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว ซึ่งกำลังเผชิญกับจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้น เริ่มมีผลตั้งแต่วันเสาร์ที่ 3 ก.ค. ถึงวันอังคารที่ 20 ก.ค. หรือนานกว่า 2 สัปดาห์
ถึงวันนี้อินโดนีเซียฉีดวัคซีนให้กับประชาชนได้ไม่ถึง 8% ของประชากร 250 ล้านคน จนบุคลากรทางแพทย์หลายคน
บ่นว่าระบอบสาธารณสุขของอินโดนีเซียล่มสลายแล้ว
เมื่อเปรียบเทียบกับจำนวนของประชากรในประเทศเพื่อนบ้านที่กล่าวมาและจำนวนของวัคซีนที่ได้รับป้องกันโควิดไปแล้วจะเห็นว่าประเทศไทยประสบความสำเร็จสูงกว่า เพราะคนไทยได้รับไปแล้วถึงสิบเอ็ดล้านสามแสนกว่าโดสและมั่นใจว่าภายในสิ้นปีนี้ต้องถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ 50 ล้านโดส
ส่วนหนึ่งของความสำเร็จมาจากที่ประเทศไทยอนุมัติให้ใช้วัคซีนได้หลากหลาย ปัจจุบันวัคซีนที่องค์การอาหารและยา
(อย.)ได้อนุมัติทะเบียนวัคซีนป้องกันโควิด-19 แล้ว 6 รายการ ได้แก่ วัคซีนซิโนแวค แอสตราเซเนกา จอห์นสัน แอนด์
จอห์นสัน โมเดอร์นา ซิโนฟาร์ม และไฟเซอร์ ไบโอเอ็นเทค
ในเมื่อเรามีวัคซีนที่ อย. ขึ้นทะเบียนให้ใช้ได้ถึง 6 รายการแล้ว ทำให้ชาวบ้านทั่วไปไม่เข้าใจว่าทำไมกลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่าหมอไม่ทน (ไม่ทนอะไร) ถึงได้เรียกร้องกดดันให้รัฐบาลสั่งซื้อวัคซีน mRNA ว่ากันว่าเป็นวัคซีนตัดต่อพันธุกรรมมาใช้กับ
คนไทยเพราะเท่าที่รู้มาวัคซีน mRNA ยังไม่ได้ทดลองใช้กับมนุษย์อย่างแพร่หลาย แต่ได้ผ่านการทดลองใช้ในลิงมาแล้ว
ตามความเห็นของผู้เขียนวัคซีนทั้ง 6 รายการที่ อย. อนุมัติปัจจุบันถึงแม้ใช้ได้ผลดีก็ตามตลอดถึงวัคซีน mRNA ที่ผ่านการทดลองมาจริงกับลิงหลอกเจ้าก็ป้องกันโควิด-19 ไม่ดีเท่าตัวยาที่ชื่อว่า “อัตตา หิ อัตตาโน นาโถ”
สุทิน วรรณบวร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี