ทุกสำนักข่าวในประเทศไทย รวมทั้งโซเชียลมีเดีย ต่างพากันสื่อสารว่า มีคำเตือนจาก ดร.โสมญา สวามินาธาน หัวหน้าทีมนักวิทยาศาสตร์ องค์การอนามัยโลก ว่าการสลับวัคซีนเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ บ้างพาดหัวข้ามว่า “องค์การอนามัยโลกห้าม” บ้างฟันธงเลยว่า “อันตราย” และแน่นอน โซเชียลมีเดีย ด่ารัฐบาลกันระงม!!
1) ใช่ครับ ข่าวนี้เกิดขึ้น ภายหลังหลังจากที่คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติของไทย เพิ่งมีมติเห็นชอบการฉีดวัคซีนบูสเตอร์โดสให้แก่บุคลากรทางการแพทย์
ด่านหน้า อนุมัติฉีดวัคซีนโควิดสลับชนิด เข็มที่ 1 ซิโนแวคเข็มที่ 2 เป็นแอสตราเซเนกา ระยะห่าง 3-4 สัปดาห์ และเห็นชอบฉีดวัคซีนแบบบูสเตอร์ โดส โดยให้วัคซีนเข็มที่ 3 ห่างจากเข็ม 2 ในระยะ 3-4 สัปดาห์ขึ้นไป เน้นใช้แอสตราเซเนกาเป็นวัคซีนกระตุ้นหลัก เพิ่มประสิทธิภาพการป้องกันเชื้อกลายพันธุ์เดลต้า
คนเกลียดรัฐบาล ด่ามันกันเลยทีเดียว
คนกลัววัคซีน ยิ่งอกสั่นขวัญแขวน
2) คนจำนวนหนึ่ง พยายามหาต้นตอของข่าวมีคนแคปภาพทวิตเตอร์ของ ดร.โสมญา ส่งมาให้ผม(ตามภาพ) ซึ่ง ดร.โสมญาแชร์ข่าวจากสำนักข่าวชื่อดัง และได้เพิ่มข้อความของท่านไว้อย่างกระชับ ชัดเจน ขอขีด “เส้นใต้บรรทัด” ตรงข้อความที่ว่า...
“Individual should not decide for themselves, public health agencies can, based on available data.
เช่นเดียวกับข้อมูลจาก GLOBALNEWS.CAระบุว่า...
“It will be a chaotic situation in countries if citizens start deciding when and who will be taking a second, a third and a fourth dose.” ซึ่งก็แปลว่า มันมีปัญหาแน่ ถ้าพลเมืองไปผสมสูตรกันมั่ว
แล้วเขาก็ยังแจงอีกว่า
“people should follow public health advice and not make their own decisions on vaccine mixing or taking additional doses.”
ประชาชนต้องฟังคำแนะนำ และอย่าคิดเองเออเอง
มันน่าเศร้าอยู่นิดเดียว ตรงที่ ทุกวัน ศบค.มีการแถลงข่าวภาคภาษาอังกฤษด้วย นั่นแปลว่า เรามีผู้เชี่ยวชาญการแปล ที่จะทำความกระจ่างให้แก่สังคมได้แบบ
“ทันการณ์” แต่กลับไม่ “ทันกาล” ไม่รู้เหมือนกันว่ารออะไร รอให้คนเข้าใจผิดไปก่อนแล้วค่อยตามแก้ ?
3) วันเดียวกัน ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์วิจัยไวรัส รพ.จุฬาลงกรณ์ อธิบายทำไมถึงฉีด 2 เข็มต่างชนิด ว่า การศึกษาวิจัยนำไปสู่การปฏิบัติจริง #การสลับชนิดของวัคซีน ศูนย์ฯมุ่งมั่นทำการศึกษาวิจัย โดย #ทีมนักวิทยาศาสตร์ และ #คณะแพทย์มากกว่า 30 ชีวิตที่ทำอยู่ขณะนี้ โดยเฉพาะเกี่ยวกับเรื่อง COVID-19
vaccine ที่มีโครงการทำอยู่มากกว่า 5 โครงการ เพื่อนำมาใช้อย่างเร่งด่วนในประเทศไทยให้เหมาะสมกับทรัพยากรที่มีอยู่
การสลับชนิดของวัคซีน เราทำมาโดยตลอดและเห็นว่า การให้วัคซีนเข็มแรกเป็นชนิดเชื้อตาย แล้วตามด้วยไวรัส Vector จะกระตุ้นได้ดีมาก
การให้วัคซีนเชื้อตายที่เป็นทั้งตัวไวรัส เปรียบเสมือนการทำให้ร่างกายเราเคยติดเชื้อ และมีภูมิคุ้มกันขึ้นมาระดับหนึ่ง หรือสร้างความคุ้นเคยกับระบบภูมิต้านทาน เมื่อกระตุ้นด้วยต่างชนิดโดยเฉพาะไวรัสเวกเตอร์ จึงเกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า #booster effect เหมือนกับคนที่หายแล้วจากโรคโควิด-19 และได้รับวัคซีนเสริมอีก 1 ครั้ง ก็จะมีการกระตุ้นภูมิต้านทานขึ้นได้เช่นเดียวกัน ซึ่งเราก็ได้ทำการทดลองแล้ว
การศึกษานี้ เราไม่ได้ทำเฉพาะ “การตรวจวัดภูมิต้านทาน” เท่านั้น เรายังได้ทำภาวะขัดขวางไวรัส inhibition test ที่สามารถขัดขวางได้ดีมาก เฉลี่ยถึง 95 เปอร์เซ็นต์ และมีหลายรายถึง 99 เปอร์เซ็นต์
ในทำนองเดียวกันการให้เชื้อตาย 2 เข็ม ยิ่งสอนให้ร่างกายเหมือนกันติดเชื้อจริงแบบเต็มๆ หรือแบบรุนแรง แล้วเมื่อมากระตุ้นด้วยวัคซีนไวรัส Vector จึงมี Booster effect ที่สูงมาก
การศึกษาวิจัยของเราไม่ได้หยุดอยู่แค่นี้ เรากำลังทำการศึกษากับสายพันธุ์ที่กลายพันธุ์ delta และระบบภูมิคุ้มกันชนิดที่เรียกว่า T cell หรือ CMIR
แน่นอนการศึกษานี้ ฝรั่งไม่ทันแน่นอน เพราะฝรั่งไม่ได้ใช้วัคซีนเชื้อตาย และจีนก็ไม่ได้ใช้วัคซีนไวรัสเวกเตอร์อย่างกว้างขวางในขณะนี้
ข้อมูลขณะนี้ ผมมีเป็นจำนวนมาก มากพอที่จะสรุป เพราะทุกท่านให้ความร่วมมือดีมาก รวมทั้งอาสาสมัครที่อยู่ในการศึกษา เป็นจำนวนมาก ผมต้องขอขอบคุณอย่างยิ่ง
ข้อดีที่ทำให้ทางกระทรวงสาธารณสุขยอมรับ และนำมาปรับใช้ในเชิงนโยบายจากการศึกษานี้
1. ทำให้ผู้ที่ได้รับวัคซีนได้ภูมิต้านทานที่สูงภายในเวลา 6 สัปดาห์ ซึ่งเร็วกว่าการให้วัคซีนไวรัสเวกเตอร์ในประเทศไทยที่จะได้ภูมิต้านทานสูง ต้องใช้เวลา 12 สัปดาห์ เหมาะสมกับการที่โรคกำลังระบาดอยู่ในขณะนี้ซึ่งเรารอไม่ได้
2. เป็นการปรับใช้ทรัพยากรที่เรามีอยู่ขณะนี้ที่จำกัดให้ได้ประโยชน์สูงสุด
3. การกระตุ้นเข็ม 3 ด้วย virus Vector สามารถทำได้ให้เกิดภูมิต้านทานที่สูงมาก โดยไม่ต้องรอวัคซีนชนิดอื่น เพื่อประโยชน์ของบุคลากรทางการแพทย์
ข้อมูลที่ได้ขณะนี้มีเป็นจำนวนมากพอ โดยเฉพาะการฉีดสลับเข็ม ข้อมูลที่ถูกในบันทึกในหมอพร้อมมีมากกว่า 1,200 ราย โดยที่ไม่มีอาการข้างเคียงที่รุนแรงแต่อย่างใด
“ผมเองท้อใจหลายครั้งที่ไม่อยากจะมาโพสต์ให้ความรู้ และมีการหยุดเป็นครั้งคราว แต่ก็มีผู้ทักท้วงมาเป็นจำนวนมาก ว่าถ้าหยุดก็จะเข้าทางของผู้ไม่หวังดี ผมเองมุ่งทำการศึกษาวิจัยมาเกือบ 40 ปี เพื่อให้ความรู้กับชาวโลก ไม่เฉพาะประเทศไทย เพราะเผยแพร่ในวารสารนานาชาติมาตลอด”
สังคมไทยในภาวะวิกฤติแบบนี้ แทนที่จะร่วมมือกัน สามัคคี แต่กลับเป็นพยายามที่จะพูดจาถากถาง ดึงเข้าสู่การเมือง ในบางครั้งมีการกล่าวหาที่เลื่อนลอย และไม่เป็นความจริง
มีหลายคนเสนอให้ กฎหมายเข้ามาจัดการ ผมเองไม่เคยไปสนใจอ่านเลยไม่เดือดร้อน แต่ที่เดือดร้อนมากกลับเป็นลูกศิษย์ที่ยังเคารพอาจารย์ ส่วนลูกศิษย์ที่ไม่เคารพก็ไม่เป็นไรผมไม่เคยถือ และขณะนี้ ก็ได้มีการจับแล้ว 1 คน และจะคงมีรายต่อๆ ไป โดยที่ผมจะยุ่งเกี่ยวให้น้อยที่สุด ขอให้เป็นไปตามกฎหมายบ้านเมือง เพราะบ้านเมืองมีกฎหมายที่ทุกคนต้องเคารพ และจริยธรรม ที่ต้องให้เกียรติกันและกัน!
4) ศ.ดร.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ม.มหิดล กล่าวว่า การฉีดวัคซีนต่างชนิดกัน ทางวิชาการเรียกว่า heterologous แต่ทางองค์การอนามัยโลก ยังไม่รับรองและยังไม่ประกาศแนะนำ เพราะผลการศึกษาของกลุ่มตัวอย่างมีไม่มากพอ แต่สำหรับสถานการณ์ในไทย หลายงานวิจัยที่นำมาใช้อ้างอิงประกอบการตัดสินใจ เชื่อว่า การฉีดเข็มที่ 1 และเข็มที่ 2 ที่ต่างชนิดกัน มีประสิทธิภาพที่ดีกว่า ซึ่งข้อมูลวิชาการเป็นตัวบอกว่า คู่ไหนไขว้แล้วดี การตัดสินใจจะตั้งอยู่บนฐานวิชาการ
ปัจจุบันหลายบริษัทกำลังเร่งผลิตวัคซีนรุ่นที่ 2 คาดว่าเร็วสุดจะถูกนำมาใช้ช่วงไตรมาสแรกของปี 2565 จุดประสงค์หลักเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของตัวกลายพันธุ์ ทำให้ราคาวัคซีนถูกขึ้น จัดเก็บในอุณหภูมิที่แตกต่างได้มาก และสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกายได้นานกว่าเดิม
สำหรับประเด็นการฉีดวัคซีนเข็ม 3 สำหรับผู้ที่รับวัคซีนครบ 2 โดสไปแล้ว ทางทฤษฎีระบุว่า วัคซีนตัวดังกล่าวควรเป็นวัคซีนที่กระตุ้นทีเซลล์ แต่วิธีการนี้ยังต้องรอการศึกษาจากองค์การอนามัยโลก เพราะยังไม่แนะนำเป็นทางการ ส่วนตัวมองว่า หากมีการใช้ หวังจะช่วยลดอัตราความรุนแรงในบุคลากรที่ต้องปฏิบัติงาน ต้องเกิดขึ้นควบคู่กับการขยายวงฉีดวัคซีนให้เพียงพอ
“ตอนนี้ไทยต้องรีบทุบสถานการณ์ให้ลงเร็วที่สุด หวังว่ามาตรการของรัฐบาล จะช่วยลดยอดผู้ป่วยใหม่ และนำไปสู่การผ่อนคลายในอนาคต” ศ.ดร.นพ.ประสิทธิ์ กล่าว
ครับ, เราอยู่ในประเทศที่ “รัฐเชื่องช้า” ทางการข่าว พลเมืองก็ชอบซ่องเสพข่าวลือ เพราะส่วนหนึ่งสิ้นศรัทธากับระบบ ส่วนหนึ่งเกลียดรัฐบาล ส่วนหนึ่งกลัววัคซีนเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว และสื่อก็เน้นการสร้าง “เรตติ้ง” มากกว่าสร้าง“ความรู้ความเข้าใจ”
โควิด-19 เราสู้ด้วยมาตรการส่วนบุคคล + มาตรการทางสังคม และยุทธศาสตร์วัคซีน (ที่ประชาชนผู้พร้อมฉีดยังรออยู่) ขาดหรือย่อหย่อนไปส่วนหนึ่งส่วนใดก็ไม่ได้ “ตาย” เป็นคำตอบเดียวที่ทุกคนกลัว และเมื่อกลัว ก็เลือกจะแสดงออกต่างกันไปตามวุฒิภาวะทางอารมณ์ สติปัญญา และเชื้อทางการเมืองในใจ
ไม่รู้อะไรอันตรายกว่ากัน การมีโรคระบาดในยุคที่การจัดการล่าช้าและการสื่อสาร...ล้มเหลว!! กับการถูกทำให้มีอคติแทนการสร้างความร่วมมือร่วมใจ!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี