ได้โอกาสดีที่ประชาชนทั้งประเทศ เห็นตรงกันพร้อมที่จะผลักดันการปฏิรูปตำรวจที่ค้างคาอยู่ให้เสร็จสิ้นเสียที จากกรณีของ ผกก.โจ้ ทำให้เราเห็นว่าระบบตำรวจปัจจุบันนั้น ให้ตำรวจมีอำนาจมากจนเกือบจะไร้ขอบเขต และตำรวจจำนวนหนึ่งก็ใช้อำนาจอันกว้างใหญ่นั้นไปกอบโกยผลประโยชน์มหาศาลเพื่อตนเองและพวกพ้อง
การปฏิรูปตำรวจนี้ มีประวัติศาสตร์ความพยายามที่ย้อนกลับไปได้นับเป็นสิบปี ตั้งแต่เมื่อครั้งปฏิวัติ โดย พลเอกสนธิ บุณยรัตกลิน เมื่อปี พ.ศ. 2549 ในครั้งนั้น พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร ได้รับมอบให้เป็นประธานคณะกรรมการพัฒนาระบบงานตำรวจ สรุปว่าปัญหาของวงการตำรวจไทยนั้นมีอยู่ 3 เรื่องใหญ่ๆ คือ
1) การบริหารแบบรวมศูนย์อำนาจไว้ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
2) โครงสร้างของตำรวจไทยรับงานมาอยู่ภายใต้ความรับผิดชอบมากเกินไป
3) รูปแบบองค์กรของตำรวจที่เป็นแบบทหาร
ด้วยสาเหตุทั้ง 3 ประการนี้ทำให้ตำรวจมีอำนาจมาก คนที่อยากจะโกงก็ทำได้ง่าย คนที่ไม่ร่วมโกงด้วยก็ถูกแทรกแซงจากผู้มีอำนาจและนักการเมืองได้ง่าย
คุณวสิษฐได้เสนอทางออกไว้หลายประการ เช่น กระจายอำนาจตำรวจลงสู่ท้องถิ่น แต่ก็ยังจำเป็นต้องคงสำนักงานตำรวจแห่งชาติไว้เพื่อควบคุมและถ่วงดุลอำนาจ ให้มีทั้งข้าราชการตำรวจทั้งประเภทมียศและไม่มียศ และเสนอให้จัดตั้งคณะกรรมการพิจารณารับเรื่องราวร้องทุกข์เกี่ยวกับตำรวจ นอกจากนั้นที่สำคัญคือ ต้องให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม เพราะประชาชนคือจุดประสงค์ที่แท้จริงที่ทำให้ต้องมีตำรวจ ประชาชนจึงรู้ดีที่สุดว่าต้องการอะไร
ข้อเสนอเหล่านี้น่าสนใจมาก เป็นแนวทางที่น่าจะนำมาใช้ได้ดี เพราะผู้ที่เสนอเป็นคนที่เข้าใจสภาพแวดล้อมและกระบวนการปฏิบัติงานของตำรวจอย่างแท้จริง แต่น่าเสียดายที่ข้อเสนอนี้ถูกพับไป ไม่เคยได้ถูกนำมาพัฒนาต่อ
ข้อเท็จจริงนั้น มีตำรวจเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะตำรวจชั้นผู้น้อยที่ไม่ได้ใช้อำนาจรีดไถ ยังเป็นที่พึ่ง เป็นที่รักของประชาชน ตำรวจส่วนนี้ก็ไม่พอใจเหมือนกันกับการที่ตำรวจชั้นผู้ใหญ่บางคนร่ำรวยจากการใช้อำนาจทุจริตนั้น
ยืนยันได้จากงานวิจัยเรื่องการทุจริตในวงการตำรวจ ของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สมัยที่คุณอานันท์ ปันยารชุน เป็นประธานฯ ปรากฏว่ามีตำรวจดีๆ หลายคนให้ความร่วมมือดีมากเกินคาด ในการมาร่วมกันเปิดเผยวิธีการคอร์รัปชันในวงการตำรวจ
ปัจจุบันการปฏิรูปตำรวจ ตามรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2560 ดำเนินการไปอย่างเชื่องช้า ใช้เวลาไปเกือบ 4 ปีแล้ว มีการร่างแล้วก็ยกเลิกร่าง พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ ไปๆ มาๆ ทั้งหมดถึง 3 ร่าง ดังนี้
ร่างแรก เริ่มต้นจากการศึกษาของกรรมการร่าง พ.ร.บ. ชุดที่ พลเอกบุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ อดีต
ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็นประธานฯ จัดทำร่างเสร็จเมื่อมีนาคมปี 2561 เมื่อเสนอเข้า ครม. กลับถูกตีตกไป โดยอ้างว่ายังไม่สมบูรณ์ แล้วให้ตั้งคณะยกร่างขึ้นมาใหม่เพื่อพิจารณาให้สมบูรณ์
ร่างที่สองนี้ มีนายมีชัย ฤชุพันธุ์ เป็นประธานฯ ดำเนินการลงไปรับฟังความคิดเห็น มีประเด็นดีๆ หลายประการ ใช้เวลาไปอีก 2 ปีจึงเสร็จ แล้วจึงส่งกลับไปให้ ครม. พิจารณาอีกครั้งเมื่อต้นปี 2563 แต่แทนที่ ครม.จะส่งไปเข้าสภาฯ เพื่อพิจารณาในระบบรัฐสภาได้เลย กลับส่งไปให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติให้ความเห็นก่อน
จึงได้กลับกลายมาเป็นร่าง พ.ร.บ.ตำรวจฉบับที่สาม ที่มีชื่อเรียกกันว่า“พ.ร.บ.ตำรวจฉบับตัดตอน” บ้างก็เรียกว่า “พ.ร.บ.ตำรวจฉบับแปลงสาร” บ้าง เพราะฝ่ายตำรวจมีการคัดค้านและแก้ไขมาถึง 14 ประเด็น เสนอมาในรูปแบบที่รักษาโครงสร้างไว้เหมือนเดิม แต่ถอดบางมาตราซึ่งเป็นมาตราที่สำคัญมาก ที่เป็นหัวใจของการบริหารจัดการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรายละเอียดของระเบียบวิธีการพิจารณาแต่งตั้งข้าราชการตำรวจ ซึ่งเป็นหัวใจของการปฏิรูปตำรวจที่สำคัญที่สุด! เมื่อมาตราเหล่านี้ถูกแก้ไข ร่าง พ.ร.บ. นี้จึงแทบจะกลับมาเป็นตามวิธีปฏิบัติเหมือนเดิมก่อนการปฏิรูปเลยทีเดียว!
ในเรื่องนี้ ศาสตราจารย์พิเศษ วิชา มหาคุณ ให้ความเห็นว่าไม่ควรรับ ร่าง พ.ร.บ.ตำรวจฉบับนี้ ที่สำนักงานตำรวจแก้ไขดัดแปลงกลับมา ควรจะยึดตามร่าง พ.ร.บ.ที่สอง ของนายมีชัย ฤชุพันธุ์ เพราะจะเป็นการปฏิรูปที่ได้ผลสอดคล้องกับมาตรา 258 ง.(4) ซึ่งเป็นมาตราสำคัญในรัฐธรรมนูญ 2560 ที่ได้กำหนดว่า ต้องปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม โดยเฉพาะเกี่ยวกับตำรวจว่า “ (4) ดำเนินการใช้กฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพ โดยแก้ไขปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับ หน้าที่ อํานาจ และภารกิจของตํารวจให้เหมาะสมและแก้ไขปรับปรุงกฎหมาย เกี่ยวกับการบริหารงานบุคคล ของข้าราชการตํารวจให้เกิดประสิทธิภาพ มีหลักประกันว่าข้าราชการตํารวจจะได้รับค่าตอบแทนที่เหมาะสม ได้รับความเป็นธรรมในการแต่งตั้ง และโยกย้าย และการพิจารณาบําเหน็จความชอบตามระบบคุณธรรม ที่ชัดเจน ซึ่งในการพิจารณาแต่งตั้งและโยกย้ายต้องคํานึงถึงอาวุโสและความรู้ความสามารถประกอบกัน เพื่อให้ข้าราชการ ตํารวจสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีอิสระ ไม่ตกอยู่ใต้อาณัติของบุคคลใด มีประสิทธิภาพ และภาคภูมิใจในการปฏิบัติหน้าที่ของตน”
อย่างไรก็ตาม ครม. ก็ได้มีมติเห็นชอบ ร่าง “พ.ร.บ.ตำรวจฉบับแปลงสาร” นี้ไปแล้ว เมื่อ 19 มกราคม 2564 และส่งเข้าไปให้สภาฯ พิจารณาแล้ว ซึ่งสภาฯ ก็ได้ผ่านการอนุมัติในวาระ 1 ไปแล้วเมื่อ 24 กุมภาพันธ์ 2564 โดยมีวุฒิสมาชิกหลายท่าน ออกมาคัดค้านโดยตลอด เช่น นายคำนูญ สิทธิสมาน
ล่าสุด พ.ร.บ.ตำรวจฉบับแปลงสาร นี้ รัฐสภาได้มีมติ “รับหลักการ” ด้วยคะแนนเสียง 565 เสียง ไม่รับหลักการ 2 เสียง และงดออกเสียง 3 เสียง พร้อมกับมีมติให้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญ จำนวน 49 คน เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวรายมาตราในวาระสอง โดยมีคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ... ที่มีนายวิรัช รัตนเศรษฐ เป็นประธานฯ จนถึงปัจจุบันมีการเรียกประชุมไปเพียง 12 ครั้งเท่านั้น
ร่างพ.ร.บ.ตำรวจฉบับใหม่ ที่กำลังพิจารณาอยู่นี้จึงไม่ใช่ฉบับปฏิรูปของคณะกรรมการปฏิรูปตามความมุ่งหมายที่จะปฏิรูปประเทศตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ ถึงจะมีออกมาใหม่ ก็จะไม่ช่วยแก้ปัญหาวงการตำรวจไทยในสภาวะปัจจุบันนี้แต่อย่างใด
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี