เมื่อวันที่ 7 กันยายนนี้ ได้มีประกาศในราชกิจจานุเบกษา เรื่องปลด 2 รัฐมนตรี ออกจากตำแหน่ง ได้แก่ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่ารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กับนางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน เท่ากับว่าเป็นการตัดสินใจแบบสายฟ้าแลบของนายกรัฐมนตรีชนิดที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนแม้เจ้าตัวทั้งสองเอง ดังจะเห็นได้ว่า ร.อ.ธรรมนัสเพิ่งจะออกมาประกาศลาออก ในวันที่ 9 กันยายนนี้ ซึ่งก็เป็นระยะเวลาหลังจากถูกปลดแล้ว ไม่ว่าจะทำไปเพื่อแก้เก้อ หรือเพื่อหวังกู้สถานะของตนก็ตาม สังคมก็ยังมองว่า บัดนี้ พลังอำนาจของ ร.อ.ธรรมนัส ได้หมดสิ้นไปแล้วอย่างสิ้นเชิง
ในกรณีนี้ แวดวงคอการเมืองต่างยกนิ้วให้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา บ้างก็ว่าเป็นขุนศึกทางการเมือง เป็นนักดาบแห่งลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา คะแนนนิยมตัวนายกฯ จึงดีดตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ในฐานะที่ได้แสดงความเป็นผู้นำอย่างเด็ดขาด โดยยืนหยัดกับตำแหน่งหน้าที่ และศักดิ์ศรีของตนเอง ที่ผู้ใดจะมาหยาม หรือมาข่มขู่บ่อนทำลายมิได้ และยิ่งในฐานะพลเอก จะยอมปล่อยให้ลูกน้องตำแหน่ง ร.อ. คนใดมาลูบคมต่อหน้าสาธารณกำนัลมิได้ ซึ่งทั้งหมดทั้งปวง เรื่องนี้ได้คุกรุ่นมาตลอด ด้วยความปรารถนาและความทะเยอทะยานทางการเมืองของบรรดาผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการบางคน ที่พยายามจะดิ้นรนให้เกิดการยกระดับตนเองขึ้นไปเป็นรัฐมนตรีว่าการอย่างเต็มภาคภูมิ
เรื่องยิ่งมาร้อนแรงในช่วงวันที่ 3 กันยายนนี้ ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของการอภิปรายไม่ไว้วางใจของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และรัฐมนตรีในสังกัดอีก 6 คน โดยมีข่าวเล็ดลอดออกมาในการอภิปรายของ สส. บางคนว่า ได้มีการเจรจาต่อรองเกี่ยวกับ การแลกเปลี่ยนการลงคะแนนเสียงให้กับตัวนายกรัฐมนตรี กับตำแหน่งแกนนำ หรือเจ้าของมุ้งค่ายของตน ไปจนถึงการเรียกร้องค่าตอบแทนด้วยเงินจำนวนหลายล้านบาท เพื่อการยก หรือไม่ยกมือสนับสนุน พลเอกประยุทธ์จันทร์โอชา ในการลงมติการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้
แต่จนแล้วจนรอด นายกฯ สามารถรอดพ้น การลงมติไม่ไว้วางใจไปอย่างราบรื่น ด้วยว่าเสียงเกินครึ่งในสภายังคงให้ความไว้วางใจกับพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และรัฐมนตรีอีก 6 ท่าน นั่นก็เกิดจากความสมัครสมานสามัคคีภายในพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลหลัก ที่ช่วยกันประคับประคองให้เรื่องราวผ่านพ้นไปได้ โดยผลก็ออกมาเป็นที่น่าพึงพอใจ อำนวยให้เสถียรภาพของตัวพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี มีความแน่นอน และน่าจะมีโอกาสไปได้ตลอดรอดฝั่งจนกว่าจะครบวาระ
เมื่อวิกฤตทางเสถียรภาพของรัฐบาลผ่านไปแล้ว ใครเป็นใครใครเล่นอะไรไว้ หรือใครที่ไปยุแยงส่งเสริม รวบรวมสมัครพรรคพวกมาทำการบีบคั้นพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา แบบเอามีดจ่อหลัง เพื่อที่จะให้ได้มาซึ่งความต้องการของตนและพวกพ้อง ก็ย่อมจะได้รับการคิดบัญชีโดยตัวผู้นำรัฐบาลเอง
อย่างไรก็ดี ยังมีข่าวเพิ่มเติมอีกว่า ตำแหน่งที่เป็นที่หมายปองอันดับหนึ่งของ ร.อ.ธรรมนัส ก็คือ ตำแหน่งรัฐมนตรีมหาดไทย ซึ่งผู้ที่ประสงค์จะได้ตำแหน่งนี้แทนคงจะลืมไปว่าพลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ และพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ต่างเป็นกล่องดวงใจซึ่งกันและกัน ฉะนั้นการที่ผู้หนึ่งผู้ใด คิดจะไปไล่ พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา ออกจากตำแหน่ง ก็เหมือนเป็นบุคคลที่ไม่ดูตาม้าตาเรือ เรียกได้ว่าไม่รู้ที่ต่ำที่สูง หรือเรื่องอะไรควร หรือไม่ควร
โดยเฉพาะการที่จะขึ้นไปท้าชิงตำแหน่งนี้ ถือเป็นการกระทำที่ลืมสถานะของตนเองไปว่า ที่สามารถยิ่งใหญ่ขึ้นมานั้น มิใช่ด้วยฝีมือหรือบารมีของตนเอง หากแต่เป็นเพราะมี “พี่ใหญ่” เป็นแบ๊กอัพให้การปกป้อง และคุ้มครองอยู่ เสมือนเป็นร่มป้องกันและระวังภัยให้ จึงเจริญเติบใหญ่ได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งการผยองพองขนผสมกับความต้องการลัดคิว ทำให้เกิดการประเมินความสำคัญของตนเองผิดพลาด ผลที่ออกมา จึงเป็นการที่ตนเองต้องถูกปลดกลางอากาศอย่างไม่เป็นชิ้นดี
นอกจากนั้นก็ยังมีข่าวกระซิบแว่วออกมาด้วยว่า หาก ร.อ.ธรรมนัส ดำเนินการได้สำเร็จ รัฐมนตรีมหาดไทยคนใหม่ของประเทศไทย ก็น่าจะสามารถช่วยอำนวยความสะดวกให้คุณทักษิณ
ชินวัตร สามารถเดินทางกลับสู่ประเทศไทยอย่างสง่างาม ซึ่งผู้เดินทางกลับมาตุภูมิได้ ก็คงอดจะขอบอก ขอบใจผู้ที่ช่วยเหลือไปไม่ได้ในการนี้ นอกเหนือจะได้ตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงใหญ่สมดังความตั้งใจแล้ว ก็คงจะได้ค่าตอบแทนอย่างใหญ่หลวงจากคุณทักษิณ ชินวัตร อีกแน่ แถมยังเป็นการกรุยทางไปสู่การเป็นหัวหน้าพรรคที่มีทุนทรัพย์ไม่อั้น ซึ่งก็จะได้พวกคอการเมืองแบบผลประโยชน์และอำนาจนิยมเข้ามาร่วมกันอย่างหนาแน่นเป็นแน่แท้
ด้วยเหตุเหล่านี้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จึงต้องตัดสินใจรีบตัดตอน เพื่อมิให้เรื่องนี้เกิดขึ้นได้ ด้วยที่ตนเองเป็นผู้ที่มีบทบาทในการล้มล้างระบอบทักษิณถึงสองครั้งสองครา และที่อยู่มาได้จนบัดนี้ ก็เพราะสังคมมีส่วนสำคัญส่วนหนึ่งก็ยังให้ความเชื่อถือว่าจะเป็นผู้ที่จะต้านทานการกลับมาของระบอบทักษิณได้
ทั้งหมดนี้ก็สะท้อนให้เห็นว่า ผู้ใดก็ตามในแวดวงการเมืองไทยที่ประสงค์จะรับใช้ระบอบทักษิณก็มักจะไปไม่รอด และในอีกแง่หนึ่งตราบใดที่คุณทักษิณ ชินวัตร เอง ยังประสงค์ที่จะข้องแวะกับการเมืองของไทย และยังจะประสงค์ที่จะกลับสู่บ้านเมืองด้วยวิธีพิเศษ ก็เท่ากับว่า คุณทักษิณยิ่งไปช่วยเสริมสร้างคะแนนนิยมชมชอบต่อพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ต่อไปโดยอัตโนมัติ ทั้งที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา มิได้ร้องขอ
ในสังคมไทย และสังคมการเมืองนั้น การประมาณตนให้แน่แท้ ถือเป็นเรื่องสำคัญ อีกทั้งบารมีต้องเป็นสิ่งที่ต้องสะสม เสริมสร้าง จึงอดคิดไม่ได้ว่า ที่ผ่านมา ทั้งๆ ที่ ร.อ.ธรรมนัส มีประวัติสีเทาๆ ที่ทำให้สังคมรู้สึกตะขิดตะขวงใจกับการก้าวมาเป็นบุคคลสาธารณะ แต่ ร.อ.ธรรมนัส ก็ยังได้รับตำแหน่งหน้าที่สำคัญและมีบทบาททั้งในพรรค และในคณะรัฐบาล รวมทั้งไม่มีใครสามารถแตะต้องได้ ยิ่งเมื่อศาลรัฐธรรมนูญได้มีมติแน่ชัดแล้วว่า ร.อ.ธรรมนัสมิได้เป็นบุคคลที่มีปัญหากับกฎหมายหรือกระบวนการยุติธรรมของไทย จึงส่งผลให้อนาคตทางการเมืองของ ร.อ.ธรรมนัส ดูจะรุ่งโรจน์
โดยเฉพาะในตำแหน่งเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐอันทรงเกียรติเรียกว่าอนาคตทางการเมืองนั้นไปได้อีกไกลแน่นอน แต่ด้วยเหตุการณ์ในช่วงสัปดาห์แรกของเดือนกันยายนนี้ ที่เกิดจากการกระทำของตัว ร.อ.ธรรมนัส เอง ได้ส่งผลให้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ตัดสินใจปลด ร.อ.ธรรมนัส ออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีแบบฉับพลัน ซึ่งส่งผลให้อนาคตทางการเมืองของ ร.อ.ธรรมนัส
ดูมืดมนทันที กรณีนี้ในแง่หนึ่ง จัดได้ว่าเป็นฆาตกรรมทางการเมืองแต่ในอีกแง่หนึ่ง น่าจะเรียกว่า ร.อ.ธรรมนัส กระทำอัตวินิบาตกรรมทางการเมืองมากกว่า เพราะเป็นต้นเรื่องเสียเอง
ก็ขอฝากแด่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีว่าการปลดรัฐมนตรีหนึ่งใดเพราะมาท้าทายอำนาจนั้น อาจจะทำให้ได้คะแนนนิยมจากสังคมจำนวนหนึ่ง ที่ชื่นชมในความเด็ดขาดทางการเมือง แต่หากท่านกล้าหาญที่จะปลดรัฐมนตรีที่ไม่มีผลงานงานด้วยอีกอย่าง ก็จะยิ่งเสริมสร้างความเป็นผู้นำ และอำนวยให้ประเทศชาติมีคนดีที่จะช่วยกันพัฒนา นำพาประเทศไทยให้ก้าวไกลไปอีกด้วยได้ ซึ่งย่อมจะได้คะแนนนิยมจากประชาชนสูงกว่าอย่างมากมาย
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี