วันพฤหัสบดี ที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2569
นับแต่เกิดกรณีวิกฤตทางการเมืองอันเกี่ยวกับการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งล่าสุดที่ปรากฏผลว่านายกรัฐมนตรีได้รับคะแนนไม่ไว้วางใจสูงสุดและได้รับคะแนนไว้วางใจรองที่โหล่ แม้ว่าเสียงของฝ่ายค้านจะไม่พอที่จะทำให้รัฐบาลพ้นจากตำแหน่ง แต่ก็ได้ก่อให้เกิดวิกฤตทางการเมืองตามมาอย่างรุนแรง
เพราะหลังจากนั้นผลการลงมติแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญพลิกล็อกจากที่กำหนดไว้ว่าจะให้คงการเลือกตั้งแบบบัตรเบอร์เดียวซึ่งเป็นความได้เปรียบของรัฐบาลปัจจุบัน กลับกลายเป็นรัฐสภาให้ความเห็นชอบเกือบเป็นเอกฉันท์ให้ใช้บัตรเลือกตั้งสองใบ
และเสียงที่เกือบเป็นเอกฉันท์นั้นก็ปรากฏว่าคะแนนเสียงของวุฒิสภาที่เคยคิดกันมาก่อนว่าอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลทั้ง 250 เสียง กลับปรากฏว่าแตกออกเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มแรก149 เสียง โหวตให้กับบัตรสองใบ 11 เสียงโหวตให้กับบัตรใบเดียว นอกจากนั้นงดออกเสียง ทำให้เห็นว่าแท้จริงแล้วเสียงของวุฒิสภานั้นขณะนี้ได้กลายเป็น 3 กลุ่ม แม้กลุ่มที่งดออกเสียงก็ไม่แน่ว่าจะยืนอยู่ข้างไหนกันแน่ แต่ชั้นนี้ก็ต้องกล่าวว่าเป็นเสียงกั๊ก
เสียงของวุฒิสภาดังกล่าวทำให้เกิดความไม่แน่นอน หากว่ามีการเลือกตั้งครั้งใหม่ว่าพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จะได้รับการสนับสนุนจากวุฒิสภาเหมือนที่ผ่านมา เพราะเฉพาะเสียงที่เห็นชอบบัตรเลือกตั้งสองใบนั้นมีมากถึง 149 เสียงซึ่งแน่นอนว่าอาจจะระดมเสียงที่งดออกเสียงมาสมทบได้อีก ถ้าอย่างนั้นใครก็ตามที่คุมเสียง 149 เสียงนี้จะมีแต้มต่อในการกำหนดตัวนายกรัฐมนตรีหลังเลือกตั้งครั้งใหม่
สภาพเช่นนั้นบรรดาคอการเมืองทั้งหลายล้วนเห็นสภาพความขัดแย้งทางการเมืองได้อย่างชัดเจน และเห็นว่าดุลกำลังทางการเมืองในวุฒิสภานั้นยืนอยู่ข้างไหน
หลังจากนั้นก็เกิดเหตุการณ์ปลดรัฐมนตรีสองคนออกจากตำแหน่ง คนหนึ่งเป็นเลขาธิการพรรค ที่สังคมทราบกันดีว่าเป็นเส้นเลือดใหญ่ของพรรคแกนของรัฐบาล และอีกคนหนึ่งเป็นเหรัญญิกพรรค ซึ่งทราบกันดีว่าเป็นบุคคลสำคัญที่พรรคแกนรัฐบาลไม่อาจขาดได้
การปลดรัฐมนตรีที่มีตำแหน่งสำคัญของพรรคแกนรัฐบาลโดยหัวหน้าพรรคไม่ทราบเรื่องมาก่อนจึงทำให้เกิดคำเล่าข่าวลือก้องกระหึ่มอย่างต่อเนื่องแม้กระทั่งในวันนี้ว่าพรรคแกนของรัฐบาลกับหัวหน้ารัฐบาลนั้นเห็นท่าจะไม่เดินในทางเดียวกันแล้ว
หลังจากนั้นก็เกิดปรากฏการณ์ที่เครือข่ายสื่อในสังกัดรัฐบาลได้เปิดกระแสข่าวว่าพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จะมาดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคแกนรัฐบาล หัวหน้ากลุ่มสามมิตรจะเป็นเลขาธิการพรรค และอดีตนายทหารมันสมองสำคัญของนายกรัฐมนตรีจะมาเป็นประธานกรรมการยุทธศาสตร์
ทำให้เกิดการคาดหมายกันว่ามีการเปลี่ยนแผ่นดินขึ้นในพรรคแกนของรัฐบาล คือกลไกผู้มีอำนาจในรัฐบาลจะเข้าครองอำนาจพรรคแกนของรัฐบาลอีกฐานะหนึ่ง ซึ่งจะทำให้พรรคแกนของรัฐบาลและรัฐบาลเป็นเอกภาพ
แต่ไม่ทันไรก็เกิดการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคแกนของรัฐบาลขึ้น โดยหัวหน้าพรรคประกาศยืนยันว่าไม่ลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรค รวมทั้งเลขาธิการพรรคและเหรัญญิกพรรคด้วย
และในวันประชุมนั้นก็มีการเปิดตัวประธานยุทธศาสตร์ของพรรค ซึ่งในวงการทหารและวงการเมืองก็รู้กันเป็นอันดีว่าเป็นคนละขั้วคนละสาย ชนิดผีไม่เผาเงาไม่เหยียบกับแกนนำของรัฐบาล
ปรากฏการณ์ดังกล่าวจึงเป็นที่ชัดเจนว่าคณะผู้บริหารพรรคแกนของรัฐบาลเดิมที่มีพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นหัวหน้าพรรคร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เป็นเลขาธิการพรรคนางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เป็นเหรัญญิกพรรค ยังคงครองอำนาจพรรคอย่างเหนียวแน่น และยังเสริมด้วยประธานยุทธศาสตร์พรรค ซึ่งเห็นได้ชัดเจนว่าพรรคแกนรัฐบาลก็เป็นงานส่วนของพรรค เรื่องราวในรัฐบาลก็เป็นเรื่องของหัวหน้ารัฐบาล
แม่น้ำแยกสาย ไผ่แยกกอ จึงเป็นปรากฏการณ์ที่เห็นชัดเจนขึ้นทุกวัน หลังจากนั้นการลงพื้นที่ของหัวหน้ารัฐบาลและหัวหน้าพรรคแกนของรัฐบาลก็มีการระดม สส. ลงพื้นที่ตามคณะไป บอกลักษณะการแข่งขันในเชิงการเมืองกันอย่างชัดเจนแต่ล่าสุดปรากฏว่าการลงพื้นที่ล่าสุดนั้นหัวหน้าพรรคแกนของรัฐบาลมี สส. ติดตามคณะไปถึง 44 คน
ทั้งๆ ที่การลงพื้นที่เหล่านั้นไม่มีความจำเป็นต้องมี สส. ติดตามคณะเลย แต่ปรากฏการณ์ดังกล่าวทำให้เกิดการอ่านหน้าไพ่ทางการเมืองว่านี่คือการประลองกำลังทางการเมืองแบบกระจุ๋มกระจิ๋ม และเห็นผลการประลองกำลังนั้นแล้ว
สภาพการณ์เป็นเช่นนี้จึงกำหนดสภาพการเมืองหลังจากนี้ ซึ่งแม้ว่าจะอยู่ในช่วงปิดสมัยประชุมของสภา แต่คณะกรรมาธิการต่างๆ ก็ยังขับเคลื่อนงานอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการตรวจสอบกรณีร้องเรียนมากหลายที่มีการร้องเรียนหัวหน้ารัฐบาล ซึ่งถ้าปรากฏผลว่าผิดเพียงเรื่องเดียวเท่านั้นก็จะทำให้เกิดอาการหงายท้องได้
และเมื่อเปิดสมัยประชุมรัฐสภาในวันที่1 พฤศจิกายนนี้ ก็มีความจำเป็นที่จะต้องพิจารณากฎหมายสำคัญที่รัฐบาลเสนอ โดยเฉพาะกฎหมายทางการเงิน ซึ่งเพียงแค่การพ่ายแพ้เสียงในสภาก็จะเกิดผลบังคับให้รัฐบาลต้องลาออกหรือยุบสภาโดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
สภาพการณ์เช่นนี้จึงทำให้เกิดการคาดหมายว่าระยะเวลาของรัฐบาลเหลือน้อยเต็มทีแล้ว และเป็นช่วงของการนับเวลาถอยหลังแล้ว จะถอยหลังเพื่อการยุบสภาหรือการลาออกก็คงจะปรากฏชัดขึ้นในไม่กี่วันข้างหน้านี้

'ดร.ส้ม' ลั่นไม่เคยเคลมผลงานใคร ยันลุยดัน กม.คุกคามทางเพศมาตั้งแต่ปี62
มีหนาว! คุกคามทางเพศผ่านโซเชียลมีเดีย มีผลบังคับใช้แล้ววันนี้
ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ พ.ร.บ.ปกครองท้องที่ ฉบับใหม่ กำหนดคุณสมบัติต้องห้าม ผู้ใหญ่บ้าน
สุริยะใส ย้อนเกล็ด เลือกตั้ง ไม่เอาลุง ครั้งนี้ ไม่เอาเทา คงได้ รัฐบาลเทวดา
แฉทุนจีนแย่งอาชีพคนไทย รุกธุรกิจเผาถ่านกะลามะพร้าว ทำผู้ประกอบการไทยเดือดร้อน

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี