ในขณะที่คนพวกหนึ่ง กลัวการกลับสู่อำนาจของขั้วข้างฝั่ง “ทักษิณ” อีกพวกหนึ่งก็เบื่อหน่ายกับการอยู่ในอำนาจของ “พล.อ.ประยุทธ์” พวกเขากลับลืมไปว่า พวกที่ “กุมอำนาจ” และ “อยู่ในอำนาจ” ตัวจริง คือ สส.“ขาประจำ” ที่เป็น “ฐานรองรับอำนาจ” มาแล้ว ทั้งกับทักษิณ ชินวัตร และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
จิ้มลงไปในรายชื่อ สส.ของพรรคพลังประชารัฐเวลานี้ ดูเถอะว่า จำนวนเท่าไหร่ ที่เคยเป็นลูกน้องทักษิณมาก่อน และเก้าอี้นายกรัฐมนตรี ของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ต้องโยกคลอน ทำท่าจะ “ขาหัก” นั้น ด้วยแรงเขย่าของใครบ้าง
แต่การอยู่ร่วมกัน ตลอดจนการดูแล “นักเลือกตั้ง” เหล่านี้ ของทักษิณ กับของ พล.อ.ประยุทธ์ นั้นต่างกัน
ทักษิณอยู่ร่วมและปกครองคนเหล่านี้แบบ“นักธุรกิจ” แบบ “หุ้นส่วน” และแบบ “บริวาร”
ส่วน พล.อ.ประยุทธ์ นั้น อยู่ร่วมกับคนเหล่านี้แบบ ผบ. กับ พลทหาร
ไม่เป็นเพื่อน ไม่เป็นพี่ ไม่เป็นนาย ไม่คลุกคลีตีโมง ไม่สุงสิง จนบางคนอาจถึงกับบอกว่า “ไม่เห็นหัว” กัน
พล.อ.ประยุทธ์ เล่นบทนายกรัฐมนตรี ไม่เป็นสมาชิกพรรคการเมือง ไม่เป็น สส. และทำหน้าที่ฝ่ายบริหาร
ขณะที่ สส. พรรคพลังประชารัฐ มีหน้าที่ “ยกมือในสภา” ประคองรัฐนาวาและเก้าอี้นายกรัฐมนตรีให้แก่ พล.อ.ประยุทธ์
จนมาถึงจุดที่ ใครบางคนบางกลุ่ม “เขย่า” ให้ พล.อ.ประยุทธ์ ได้ “ตื่นขึ้น” และ “ลงมา” พบปะ เจรจา พูดคุย ก่อนที่จะต้อง “ลงไป” เพราะคนพวกนี้ ทำท่าจะไม่เป็น “มือในสภา” ให้แล้ว
การปรับท่าทีหลายประการ จึงต้องบังเกิดกับ พล.อ.ประยุทธ์
1) ด้วยน้ำใสใจจริง พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ได้นิยมชมชอบ“นักการเมือง” พยายามชิ่งหนีคำว่า “นักการเมือง” แต่ก็ใช้ “นักการเมือง” พยุงอำนาจให้ตัวเอง
แรกทีเดียว ด้วยกติกาที่กำหนดขึ้น ด้วยบรรยากาศของผู้คนที่แตกกันเป็นสองขั้วใหญ่ “นักเลือกตั้ง” ทั้งหลายที่เป็น “นกรู้” ก็ยอมมาเป็น “ลมใต้ปีก” เกาะไปกับกระแส“เลือกความสงบจบที่ลุงตู่” เพราะรู้ว่าเสี่ยงและเปลืองตัวเกินไป ที่จะ “ต้านลุงตู่” เวลานั้นลุงตู่จึงมี “แต้มต่อ” เหนือกว่านักการเมืองพวกนี้
2) ในเวลาต่อมา กระแสนิยม พล.อ.ประยุทธ์ ลดต่ำลง จากประสิทธิภาพในการจัดการกับโรคระบาดโควิด-19 และปัญหาเศรษฐกิจ ตลอดจนขั้วตรงข้าม หนุน “ม็อบ” ขึ้นมา บั่นทอนความน่าเชื่อถือ และก่อความเดือดร้อนรำคาญให้ผู้คน จนพากันหงุดหงิด พล.อ.ประยุทธ์มากขึ้นเรื่อยๆ
3) บวกกับว่า รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ เดินทางผ่าน “ครึ่งเทอม” มาแล้ว เข้าสู่ครึ่งเทอมหลัง นักเลือกตั้งเห็นคะแนนที่มีแต่เสมอตัวกับดิ่งลง ก็เริ่มรู้สึกระส่ำระสาย การ “เขย่า” ให้นายกฯ หันมา “เห็นหัว” เห็นความสำคัญของนักเลือกตั้งจึงเกิดขึ้น เตือนให้ พล.อ.ประยุทธ์ ให้ความสำคัญกับพรรคพลังประชารัฐบ้าง เพื่อสร้างคะแนนนิยมในพื้นที่ เตรียมการรับการเลือกตั้งอีกไม่เกิน 2 ปีนี้แล้ว
4) แม้ พล.อ.ประยุทธ์ จะสั่งปลด ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า กับนางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เป็นการสั่งสอนส่งสัญญาณถึงนักเลือกตั้งว่า “อย่ากำแหง” แต่ผลที่ตามมาคือ พล.อ.ประยุทธ์ กลับต้องทำตามที่ ร.อ.ธรรมนัสพูดไว้ก่อนหน้านี้เกือบทุกประการ คือ ให้ สส.ได้เข้าถึง หรือลงมาเข้าถึง สส. ของพรรคบ้าง ให้พรรคได้มีผลงานไปหาเสียงในพื้นที่ จนนำมาสู่การลงพื้นที่ของนายกฯโดยมี สส.รอต้อนรับ
5) เพื่อไม่ให้เสียฟอร์มมาก นายกฯ ก็ลงพื้นที่สมุทรปราการ ก่อน เป็นการ “ลองเชิง” และ “ลดความขวยเขิน” ต่อมาจึงไปชัยนาท (พื้นที่ของ นายอนุชา นาคาศัย) ไปชลบุรี และเพชรบุรี (เสริมบารให้นายสุชาติ ชมกลิ่น) จากนั้นตารางลงพื้นที่แบบ “ถี่ยิบ” ก็ตามมา
6) ผู้สื่อข่าวรายงานถึงกำหนดการลงพื้นที่ตรวจราชการของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เพื่อติดตามสถานการณ์การบริหารจัดการน้ำและแผนแก้ไขปัญหาน้ำท่วม ซึ่งจากนี้ไป นายกฯ จะลงพื้นที่อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ กำหนดการในการลงพื้นที่ จ.สุโขทัย วันอาทิตย์ที่ 26 ก.ย.นี้ ที่โรงแรมสุโขทัย เฮอริเทจ รีสอร์ท ท่าอากาศยานสุโขทัย นายกฯจะประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อหารือถึงสถานการณ์น้ำและการบริหารจัดการน้ำ พร้อมมอบ โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดสุโขทัย กล่าวต้อนรับ และเลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ อธิบดีกรมชลประทานและอธิบดีกรมฝนหลวงฯ รายงานสถานการณ์ จากนั้นเวลา 10.15 น. นายกฯจะเดินทางไปวัดบ้านซาน อ.ศรีสำโรง เพื่อสักการะหลวงพ่อสามพี่น้อง และหลวงพ่อขาว พร้อมกับพบปะประชาชน รวมทั้งมอบปัจจัยทางการเกษตรให้แก่ผู้แทนเกษตรกร จำนวน 500 ชุด ก่อนเดินทางถึงกรุงเทพฯ
อย่างไรก็ตาม คณะที่ร่วมลงพื้นที่กับนายกฯ ที่ จ.สุโขทัย จะประกอบด้วย พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.เกษตรและสหกรณ์ นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทยนายสมเกียรติ ประจำวงศ์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) นายประพิศ จันทร์มา อธิบดีกรมชลประทาน นายสุรสีห์ กิตติมณฑล อธิบดีกรมฝนหลวงและการบินเกษตร
สำหรับสมาชิกพรรคพลังประชารัฐที่จะลงพื้นที่เพื่อต้อนรับนายกฯที่จ.สุโขทัย อย่างเช่น นายสุริยะจึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม ในฐานะรองหัวหน้า พปชร.นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม และกรรมการบริหารพรรค นายอนุชา นาคาศัย รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สส.ชัยนาท และกรรมการบริหาร รวมถึงสส.สุโขทัย 2 คน คือ นางพรรณสิริ กุลนาถศิริ สส.เขต 1 และนายชูศักดิ์ คีรีมาศทอง สส.เขต 2 นอกจากนั้น จะมีสส.พลังประชารัฐ จากจังหวัดใกล้เคียงมาร่วมต้อนรับนายกฯด้วย ไม่ว่า จะเป็น สส.จาก จ.กำแพงเพชร 4 คนคือ นายไผ่ ลิกค์ สส.เขต 1 นายเพชรภูมิ อาภรณ์รัตน์สส.เขต 2 นายอนันต์ ผลอำนวย สส.เขต 3 และนายปริญญา ฤกษ์หร่าย สส.เขต 4 สส.จาก จ.นครสวรรค์ 4 คน คือ นายภิญโญ นิโรจน์ สส.เขต 1 นายวีระกรคำประกอบ สส.เขต 2 นายสัญญา นิลสุพรรณ สส.เขต 3และนายนิโรธ สุนทรเลขา สส.เขต 6 จาก จ.พิษณุโลก 2 คน คือ นายอนุชา น้อยวงศ์ สส.เขต 3 และนายมานัส อ่อนอ้าย เขต 5 และจาก จ.ชัยนาท 2 คนคือ นายอนุชา นาคาศัย สส.เขต 1 และนายมณเฑียร สงฆ์ประชา สส.เขต 2 ทั้งนี้ จ.สุโขทัย ถือเป็นถิ่นของนายสมศักดิ์ เทพสุทิน แกนนำกลุ่มสามมิตร ดังนั้นจึงมีแกนนำและ สส. ในกลุ่มสามมิตรมาร่วมต้อนรับคณะของพล.อ.ประยุทธ์ อย่างคับคั่ง
7) ในวันพุธที่ 29 ก.ย. เดิมกำหนดจะลงพื้นที่จ.นครราชสีมา ซึ่งเป็นพื้นที่ของนายวิรัช รัตนเศรษฐ สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรค พปชร. โดยมีสส.ของพรรคในตระกูลรัตนเศรษฐ ทั้งนายอธิรัฐ รัตนเศรษฐสส.นครราชสีมา เขต 6 นายทวิรัฐ รัตนเศรษฐ สส.นครราชสีมา เขต 4 นางทัศนียา รัตนเศรษฐ สส.นครราชสีมา เขต 7 และนายเกษม ศุภรานนท์ สส.นครราชสีมา เขต 1 นายสมศักดิ์ พันธ์เกษม สส.นครราชสีมา เขต 11 และนางทัศนาพร เกษเมธีการุณ สส.นครราชสีมา เขต 8 รวมถึงเป็นพื้นที่ของนายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรีด้วย แต่ทั้งนี้มีรายงานว่า อาจมีการเปลี่ยนไปลงพื้นที่จังหวัดชัยภูมิแทน เนื่องจากเห็นว่า ประสบปัญหาอุทกภัยมากกว่า ขณะที่ จ.นครราชสีมา มีหลายหน่วยงานลงพื้นที่ให้ความช่วยเหลือประชาชนเป็นส่วนใหญ่แล้ว อย่างไรก็ตาม จ.ชัยภูมิ มี สส.พลังประชารัฐ 2 คน คือ นายเชิงชาย ชาลีรินทร์ สส.เขต 2 และนายสัมฤทธิ์ แทนทรัพย์ สส.เขต 3
ส่วนวันที่ 30 ก.ย. พล.อ.ประยุทธ์ มีกำหนดการลงพื้นที่นครศรีธรรมราช ซึ่งจะมี สส.ของพรรค มารอต้อนรับ เช่น นายรงค์ บุญสวยขวัญ สส.นครศรีธรรมราช เขต 1 นายสัณหพจน์ สุขศรีเมือง สส.นครศรีธรรมราช เขต 2 นายอาญาสิทธิ์ ศรีสุวรรณ สส.นครศรีธรรมราชเขต 3 และนายสายัณห์ ยุติธรรม สส.นครศรีธรรมราช เขต 78) นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ได้โพสต์เฟซบุ๊ค ระบุข้อความว่าจากกรณีที่พลเอกประยุทธ์ มีกำหนดการลงพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ในวันที่ 30 กันยายน 2564 ว่า...
“...ผมในฐานะอดีต สส.นครศรีธรรมราช ขอทำหน้าที่ผู้แทนนอกสภาเป็นตัวแทนประชาชนชาวนครศรีธรรมราช ตามที่เคยได้ต้อนรับและนำเสนอปัญหาของจังหวัดนครศรีธรรมราช ต่อพลเอกประยุทธ์ ตอนครั้งลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมน้ำท่วม เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2563ให้ได้รับทราบปัญหาหลายประการ แต่ก็ยังไม่มีความคืบหน้าเท่าที่ควร
ในการลงพื้นที่ของพลเอกประยุทธ์ในครั้งนี้ ผมจึงใคร่ขอเสนอปัญหาและแผนงานเพื่อให้พลเอกประยุทธ์ ได้ติดตาม ผลักดัน เร่งรัด แก้ไขปัญหา ของจังหวัดนครศรีธรรมราช ดังนี้
1.โครงการแก้ปัญหาน้ำท่วมเมืองนครศรีธรรมราช ตามแนวพระราชดำริ งบประมาณ 9,580 ล้านบาท ขอให้เร่งรัดให้มีการก่อสร้างเสร็จตามแผนงานในปี 2561-2566 ซึ่งตอนนี้ยังไม่มีความคืบหน้าไปตามแผนงานที่กำหนดไว้
2.โครงการประตูระบายน้ำอุทกวิภาชประสิทธิ์ลุ่มน้ำปากพนัง แก้ปัญหาน้ำทะเลหนุนเข้าท่วมพื้นที่เศรษฐกิจในเขตเทศบาลเมืองปากพนัง
3.โครงการแก้ปัญหาไฟไหม้ป่าพรุควนเคร็ง ที่ได้นำเสนอให้มีการขุดคลองและทำถนนล้อมรอบพื้นที่ เพื่อเก็บขังน้ำ พื้นที่ประมาณ 300,000 ไร่
4.โครงการถนนวงแหวนรอบเมืองด้านตะวันออก ของเมืองนครศรีธรรมราช ตั้งแต่แยกบางปู ต.ปากพูน ถึงแยกวัดหม่น ต.ท่าเรือ ยังขาดในบางช่วงบางตอน
ยังไม่ตลอดเส้นทาง
5.โครงการถนนทางหลวงตัดใหม่ 4 ช่องจราจร เชื่อมอ่าวไทย-อันดามัน สายทุ่งสง-อ่าวลึก ตัดผ่านเขตพื้นที่อำเภอทุ่งใหญ่ เป็นถนนสายเศรษฐกิจใหม่ของภาคใต้
6.โครงการสร้างสถานีรถไฟนครศรีธรรมราชแห่งใหม่ ที่สถานีรถไฟวังวัว ต.ช้างซ้าย อ.พระพรหม เพื่อเป็นศูนย์กลางขนส่งทางรางของจังหวัดนครศรีธรรมราช
ผมจึงได้นำเสนอข้อมูลปัญหาของจังหวัดนครศรีธรรมราช ไว้ล่วงหน้า เพื่อเป็นการบ้านให้กับพลเอกประยุทธ์ จะได้เตรียมข้อมูลแก้ปัญหาให้ถูกจุด ก่อนที่จะลงพื้นที่จริงในวันที่ 30 กันยายนนี้...”
นี่คือความเก๋าเกมของนายเทพไท ที่เลือกจะไม่วิจารณ์ใดๆแต่ใช้ “งานที่ค้างคา” มาเป็นตัวสื่อสารว่า ถ้าจะลงพื้นที่ก็ลงให้ “มีประโยชน์” หน่อยนะลุงนะ ไม่ใช่ลงไปแก้ปัญหาการเมืองของตัวเอง แต่ต้องใส่ใจปัญหาของพื้นที่นั้นๆ ให้จริงจังด้วย!!
โดยนายเทพไทได้ย้ำว่า “ผมหวังว่า การลงพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ของพลเอกประยุทธ์ในครั้งนี้ คงจะทำให้โครงการต่างๆ ที่ยังล่าช้า คาราคาซัง ได้พัฒนามีความคืบหน้าไปอย่างรวดเร็ว มากกว่าการลงพื้นที่ เพื่อแก้ปัญหาการเมืองวัดกำลังกัน หรือเพื่อสร้างภาพ เรียกคะแนนนิยมจากประชาชนเท่านั้น”
9) อย่างไรก็ตาม ภายหลังมีข่าววัดพลังกันของสมาชิกในพรรคที่ไปต้อนรับ พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ในการลงพื้นที่ที่เหมือนเป็นการเลือกข้างนั้น ทำให้ทางพรรค พปชร.ได้มีการปรับแผนใหม่ คือ หากนายกฯ ลงพื้นที่ไปตรวจราชการจังหวัดใด ให้สส.จังหวัดนั้นๆ มาต้อนรับและร่วมประชุม แต่จะไม่มีนโยบายให้ระดม สส.นอกพื้นที่จังหวัดมาให้การต้อนรับ นอกจากนี้มีรายงานว่า นายกฯ จะพยายามลงพื้นที่ต่างจังหวัดอย่างต่อเนื่อง โดยเบื้องต้นกำหนดไว้ว่าจะลงทุกวันพุธ
10) อีกทางหนึ่ง นายกฯ ก็ต้องฟื้นฟูความสัมพันธ์กับพี่ใหญ่ พล.อ.ประวิตร ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐไปด้วย การยกมือไหว้ต่อหน้าสื่อการประคองมาส่งขึ้นรถ และการพูดย้ำๆ ว่า “ไม่ขัดแย้งกัน”จึงออกมาค่อนข้างถี่ในเวลานี้ เช่น ในที่ประชุมสภากลาโหมก็มีรายงานข่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ต้องย้ำในที่ประชุมว่า“ผมกับพี่ป้อมไม่มีอะไรกันเลย ยังรักกันเสมอ ยืนยันไม่มีขัดแย้ง”
จากนั้น พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวยืนยันว่า พล.อ.ประยุทธ์, พล.อ.ประวิตร และ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ยังเป็นหนึ่งเดียวและเป็นพี่น้องที่เหนียวแน่น และยังมุ่งมั่นทำงานเพื่อประเทศ ประชาชน เป็นหลัก และจรรโลงไว้ซึ่งสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
“ไม่อยากให้เอาไปเสี้ยมให้เกิดความขัดแย้งกัน ทั้ง 3 ท่าน มีความหนักแน่น และการลงพื้นที่ในช่วงที่ผ่านมาเพื่อไปแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน พล.อ.ประยุทธ์ ได้เน้นย้ำว่า ความขัดแย้งต้องไม่เกิดขึ้น โดยเฉพาะหน่วยงานราชการ ขอให้มั่นใจว่าการทำงานของรัฐบาลยังมีความเหนียวแน่น เพื่อให้กองทัพเกิดความสบายใจกับกระแสข่าวที่เกิดขึ้น ซึ่งนายกฯ เน้นย้ำกับกองทัพ ว่า ไม่ได้มีปัญหาอะไรกัน”
สรุป : รอดูกันในระยะยาวครับ ว่าความสัมพันธ์ของ พล.อ.ประยุทธ์ กับพรรคการเมืองที่เป็นฐานรองรับเก้าอี้ จะยังดี หรือจะต้อง “ต่อรอง” กันครั้งใหญ่
หากนายกฯ ยังไม่ยุบสภา และการอภิปรายไม่ไว้วางใจในปีหน้าเกิดขึ้น นั่นอาจรวมถึง “สมัยหน้า” ก็อย่าได้หวังว่า จะอยู่กันแบบ ผบ. กับพลทหาร อย่างที่แล้วมา
ได้อีก!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี