เหลือเวลาอีกแค่ 3 วันประเทศไทยก็จะก้าวไปสู่ปีงบประมาณใหม่ 2565 แล้วปีนี้จะมีเงินใช้จ่ายจากพระราชบัญญัติงบประมาณผ่านพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯและประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 15 กันยายน 2564 จำนวน 3,100,000 ล้านบาท พร้อมๆ กับมีข่าวว่า รัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ท่านจะขยายเพดานเงินกู้หนี้สาธารณะของประเทศไทยจากร้อยละ 60 เป็นร้อยละ 70 ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2565 เป็นต้นไปอีกด้วย
ข่าวนี้ทำให้บรรดาพรรคการเมืองฝ่ายค้านรวมไปถึงบรรดานักวิชาการม็อบทาสความคิดชาติตะวันตกและบรรดาสื่อสารมวลชนทั้งของไทยและต่างประเทศบางค่าย ผสมโรงวิจารณ์รัฐบาลกันมากมายไปในทำนองภาพลบของประเทศบางกลุ่มก็ไปกระพือข่าวว่ารัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ถังแตกต้องหาทางกู้เงินกันอีกแล้ว บ้างก็ไปถึงขั้นว่ารัฐบาล 3 ป. ที่มาจากการรัฐประหารปี 2557 แต่กู้หาเงินใช้ไม่เป็นไปเลยก็มี
อย่างไรก็ดีมีบรรดานักธุรกิจระดับอภิมหาเศรษฐีของไทยจำนวนมากหลายสิบคนที่รอบรู้กลไกเศรษฐกิจและมีเหตุผลแม้บางคนที่เป็นฝ่ายค้านเขาที่เข้าใจปัญหานอกจากจะไม่ค้านแล้วเขายังสนับสนุนและเร่งให้รัฐบาลรีบกู้เงินอีกด้วยแม้กระทั่ง“ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ” ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยได้ออกมาส่งสัญญาณว่าด้วยปัญหาไวรัสโควิดทำให้เครื่องยนต์เศรษฐกิจของไทยบอบช้ำมาก “ประชาชน” กำลังลำบากที่สุด
รัฐบาลต้องกู้อย่างน้อยอีก1ล้านล้านบาทมาพยุงรายได้ประชาชนโดยเร่งด่วน นักวิชาการทางด้านเศรษฐศาสตร์ที่เขาคนที่รู้และเข้าใจในปัญหานี้ไม่มีใครคัดค้าน ได้บอกให้รัฐบาลรีบกู้เอาเม็ดเงินมากระตุ้นระบบเศรษฐกิจและชีวิตประชาชนชาวไทย 68 ล้านคน โดยเร็วอย่าไปยึดหลักการเดิมๆที่กำหนดตัวเลขเพดานเงินกู้ไม่เกินร้อยละ 60 ของรายได้ประชาชาติอยู่อีกเลย
อย่าลืมว่าสถานการณ์ระบาดหนักของโควิดทั่วโลกเราต้องจำเป็นต้องทำเพื่อความอยู่รอดของประเทศเพื่อความเติบโตที่มั่นคงและยั่งยืนทางเศรษฐกิจมันก็ต้องกู้ ในภาวะหนักหนาสาหัสขนาดนี้ ไม่มีประเทศไหนในโลกที่เอาเศรษฐกิจและสังคม ไปติดยึดกับ“เพดานเงินกู้” ร้อยละ 60 แบบของไทย การขยายเพดานเงินกู้เป็นร้อยละ 70 ถือว่าเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ปัจจุบันประเทศที่เขาพัฒนาแล้วอย่างสหรัฐอเมริกา,ญี่ปุ่น,สหราชอาณาจักร,ฝรั่งเศสยิ่งกู้มากกว่าร้อยละ 100 ของรายได้ประชาชาติทั้งนั้น ยกเว้นบางประเทศที่ฐานะการเงินการลงทุนดีเยี่ยม เช่น สาธารณรัฐประชาชนจีนหรือซาอุดีอาระเบียเท่านั้น การกู้เงินมานั้นเป็นการกู้มาขยายรากฐานพัฒนาเศรษฐกิจสังคมและกู้มาแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าที่มีโอกาสทางได้เงินคืน
ขณะนี้รายได้ของประเทศหายไปมากกว่า 3 ล้านล้านบาททั้งภาครัฐบาล,ภาคธุรกิจการค้าเอกชนและภาคประชาชน ลำพังเงินช่วยเหลือที่รัฐบาลใส่ไปในระบบต่างๆ นั้นมันแค่เพียงเยียวยาเฉพาะหน้าให้รอดไปวันต่อวันเท่านั้นเอง
ถ้าจะทำให้ประเทศฟื้นตัวทั้งระบบให้ยืนอยู่ได้อย่างมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เห็นชัดๆ ว่ายังมองไม่เห็นทางออก รัฐบาลต้องมองไปที่เศรษฐกิจมหภาคมากกว่าเศรษฐกิจจุลภาคอย่างเดียวรัฐต้องใช้มาตรการ “ทางการคลัง” เข้ามาเยียวยาฟื้นฟูทั้งระบบใหญ่ทั้งฐานรากและฐานใหญ่ให้พร้อมมากยิ่งขึ้น
และในปัจจุบันไทยมีหนี้สินสาธารณะรวมในภาครัฐจำนวน 8,909,036.78 ล้านบาท เท่ากับร้อยละ 55.59 ของรายได้ประชาชาติปี 2564 รวม 16,027,047.59 ล้านบาท การกู้เพิ่มอีก 1 ล้านล้านบาท ยังสามารถกระทำได้ไม่น่าห่วงแต่อย่างใดทั้งสิ้นเพราะมียอดหนี้รวมแค่ร้อยละ 61.83
ของรายได้ประชาชาติเท่านั้นเองมากกว่าเพดานเงินกู้เดิมแค่ร้อยละ 1.83 จึงไม่น่าจะวิตกเกินเหตุจนกลายเป็นกระแสวิจารณ์ใหญ่โตเกินสมควร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี