l การรู้และเข้าใจ เรื่อง “ความชรา” เป็นเรื่องสำคัญของชีวิตมนุษย์ ที่คนมักละเลย
การเข้าใจ “ความชรา” จะทำให้เราสามารถดำเนินชีวิตได้ดีถูกต้อง สอดคล้องกับจังหวะของชีวิตแต่ละช่วงของชีวิต เราต้องจัดความสมดุลของ “กาย ใจ สมอง” ที่มีการพัฒนา และความเสื่อม ไปตามกาลเวลา
ความชราคืออะไร ?
ความเกิด ความแก่ ความเจ็บและความตาย ย่อมเกิดขึ้นกับคนทุกคน
โดยหลักของวิทยาศาสตร์ : ความชรา คือ ผลสะสมของความเสื่อมสภาพที่มีต่อเซลล์ในร่างกาย ซึ่งนำไปสู่ความเจ็บป่วยและความตาย
จากการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ ความชรา (Aging) น่าจะเกิดจากสาเหตุหลัก 4 ประการ ได้แก่
1.การเกิดสารอนุมูลอิสระ (Reactive Oxygen Species)
2.ภาวะน้ำตาลสะสม (Advanced Glycosylation End Product)
3.การอักเสบเรื้อรัง (Chronic Inflammation)
4.ภาวะพร่องฮอร์โมน (Hormonal Insufficiency)
l วัดระดับความชรา (Aging)
ร่างกายเรามีกระบวนการความชรา อย่างไร?
ความชราเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ กระบวนการความชราจะเร็วขึ้นเมื่อ (เป็นแนวคิดหนึ่ง)
- เราเริ่มอายุ 30 ปี
- เมื่อเราอายุ 40 ปี ประสิทธิภาพการทำงานของอวัยวะต่างๆ ลดน้อยลงเหลือเพียง 80%
- เหลือ 70% เมื่ออายุ 50 ปี และ
- จะลดต่ำลงเหลือแค่ 35% เมื่ออายุ 70 ปี
ผิวหนัง เริ่มเสื่อมตั้งแต่นาทีแรกที่เกิด
ผิวหนัง : อวัยวะส่วนแรกสุดที่เริ่มเสื่อมตั้งแต่นาทีแรกที่เราเกิด
สัญญาณความชราของผิวได้แก่ ผิวหนังจะเริ่มสูญเสียความยืดหยุ่น ดูหมองคล้ำ หย่อนยาน สีผิวไม่สม่ำเสมอ
สมอง หลังจากอายุ 20 ปี สมองจะเริ่มเสื่อมลง
สมอง : เซลล์ประสาทเป็นเพียงเซลล์ชนิดเดียวในร่างกายที่ไม่มีการสร้างขึ้นใหม่ เมื่อถูกทำลายจะสูญเสียและไม่มีการสร้างขึ้นใหม่ สมองจะมีประสิทธิภาพมากที่สุดเมื่ออายุ 20 ปี 5% ของผู้ที่อายุ 65 ปี จะมีอาการของโรคอัลไซเมอร์และความจำเสื่อมและจะเพิ่มเป็น 25% เมื่ออายุประมาณ 80 ปี
ปอด เริ่มเสื่อมลงอย่างรวดเร็วเมื่ออายุมากกว่า 30 ปี
ปอด : การสูบบุหรี่ มลพิษทางอากาศ ฝุ่นละอองการติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจและปอด ล้วนก่อให้เกิดความเสื่อมของปอด นับจากอายุ 30 ปี เป็นต้นไป ความสามารถในการทำงานของปอดจะลดลง 30 ซีซี ต่อวินาทีในทุกปีและประสิทธิภาพการทำงานของปอดจะเหลือเพียง 1/3 ของ
ความจุปอด เมื่ออายุ 60 ปี
ตา เริ่มเสื่อมลงเมื่ออายุ 40 ปี
เมื่ออายุ 40 ปี สายตาจะยาวขึ้นวัดได้ประมาณ 100 ดิออพเตอร์ จะเพิ่มเป็น 200 เมื่ออายุ 50 ปี และ 300 เมื่ออายุ 60 ปีผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปี 30-40% เริ่มมีอาการของต้อกระจก ในขณะที่เมื่ออายุ 70 ปี 60-70% จะมีปัญหาจากต้อกระจก
หัวใจ เริ่มเสื่อมตั้งแต่อายุ 45 ปี
หัวใจและหลอดเลือด : ความยืดหยุ่นของหลอดเลือดลดต่ำลง เส้นเลือดขยายใหญ่ขึ้น มีการอุดตันของเส้นเลือด เป็นสัญญาณที่บอกว่าหัวใจกำลังเสื่อมลง
หู เริ่มเสื่อมลงเมื่ออายุ 60 ปี
หู : ความสามารถของการได้ยินเริ่มเสื่อมลงหลังจากอายุ 60 ปี ปกติจะพบได้บ่อยในเพศชายผู้ที่เป็นโรคเบาหวานและ
ความดันโลหิตสูง จะสูญเสียการได้ยินเร็วกว่าในคนปกติ
ตับ กระเพาะอาหาร ถุงน้ำดี ลำไส้ ม้าม อวัยวะเหล่านี้จะไม่เกิดกระบวนการความชรา
แต่เมื่ออายุมากขึ้นจะมีอาการติดเชื้อและบาดเจ็บได้ง่ายขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับอวัยวะส่วนอื่น ดังนั้น การป้องกันการติดเชื้อของอวัยวะเหล่านี้จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่จะยืดอายุการใช้งานของอวัยวะดังกล่าว
แต่สำหรับผู้หญิง ช่วงวิกฤตของเพศหญิง เริ่มตั้งแต่อายุ 35 ปี
ภาวะหมดประจำเดือน: หลังจากอายุ 35 ปี เพศหญิงจะสูญเสียความหนาแน่นของมวลกระดูก 1% ทุกปี หลังจากหมดประจำเดือนการสูญเสียความหนาแน่นของมวลกระดูกจะเพิ่มเป็น 5-6%
ผู้หญิงที่อายุ 20-25 ปี จะมีการตกไข่ระหว่าง 10-12 ครั้งต่อปีแต่หลังจากอายุ 40 ปี จะมีการตกไข่เพียงแค่ 7-8 ครั้งต่อปีและหลังอายุ 45 ปี จะเหลือเพียงแค่ 1-2 ครั้งต่อปี หรือแม้กระทั่งไม่มีเลย
หนทางของการมีสุขภาพที่ดีและอายุที่ยืนยาว
ความแก่ไม่ใช่ความชรา ความแก่นั้นเกิดขึ้นตั้งแต่เริ่มปฏิสนธิ แต่ความชรานั้นเป็นช่วงสุดท้ายของชีวิตมนุษย์ ความแก่ที่จะกล่าวถึงนี้ จึงเป็นกระบวนการพัฒนาของสิ่งมีชีวิตจากวัยที่อ่อนเป็นวัยที่แก่ขึ้น
การป้องกันความชรา : หมายถึงการป้องกันโรค เพราะสาเหตุของความเจ็บป่วยในหลายๆ โรค เกิดจากความชรา แต่คนส่วนใหญ่ที่มองหายา Anti-aging มักจะเป็นคนที่เริ่มมีความเจ็บป่วยเกิดขึ้นแล้ว
การรู้จักป้องกันโรคภัยไข้เจ็บ โดยใช้ชีวิตประจำวันอย่างถูกสุขลักษณะ เป็นปัจจัยที่สำคัญมาก
การที่จะชะลอความแก่ ย่อมหมายถึงการรักษาสภาพของสิ่งมีชีวิตให้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ความเป็นสิ่งมีชีวิต คือสามารถกินอาหาร (ครบทุกหมู่เหล่า) ได้หายใจ (อากาศบริสุทธิ์) ได้เคลื่อนไหว (บ่อยๆ แต่ไม่มากเกินไป) ได้และยังมีความสามารถสืบพันธุ์ได้ (เมื่อไม่พร่ำเพรื่อเกินไป) ตราบใดที่สภาพของสิ่งมีชีวิตดังกล่าวได้บกพร่องไป ตราบนั้นความชราภาพจะเกิดขึ้นได้ทันที ความแก่จึงเป็นสิ่งที่สามารถชะลอได้ วิธีชะลอความแก่จำเป็นต้องเริ่มตั้งแต่วัยเด็กไปจนถึงวัยผู้ใหญ่ มิใช่มาชะลอเมื่อก้าวเข้าสู่บั้นปลายของชีวิตแล้ว
ร่างกายของคนเรา ตอนที่เป็นเด็กจะมีฮอร์โมนที่ทำให้ร่างกายเจริญเติบโต ซึ่งเรียกว่า โกรทฮอร์โมน (Human Growth Hormone)
เมื่ออายุเราสูงวัยขึ้นเป็นอายุ 60 ฮอร์โมนชนิดนี้จะลดลงเหลือเพียง 20% ทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่น หย่อนยาน กล้ามเนื้อเหลว ไขมันลงพุง ความสดใสหรือกระปรี้กระเปร่าหดหาย ความเครียดความกังวลเข้าแทนที่ ผิวหนังซีด กระดูกบาง นอนไม่หลับ ฯลฯ
อย่างไรก็ตาม ความพยายามที่จะนำโกรทฮอร์โมนมาเป็นยาต้านความชราในคนที่ร่างกายไม่เป็นโรคนั้น มีโทษมากกว่าคุณ
เพราะจะก่อให้เกิดผลข้างเคียงมากมาย เช่น ทำให้เกิดโรคเบาหวาน มะเร็งลำไส้ ฯลฯ
แต่นักวิทยาศาสตร์พบว่าหากเราต้องการให้ร่างกายได้รับโกรทฮอร์โมนเพิ่มขึ้น เพื่อวัตถุประสงค์ให้ร่างกายและจิตใจเป็นหนุ่มเป็นสาว เราสามารถช่วยตัวเราเองได้โดยการจัดโปรแกรมสำหรับกระตุ้นให้ร่างกายสร้างเอง คือ
เรายึดหลักปฏิบัติตัวที่ถูกต้องตั้งแต่วันนี้ ร่างกายของเราก็จะคงสภาพอยู่ได้นาน
กระบวนการนั้นประกอบด้วย
- ให้เวลาสำหรับการนอนหลับพักผ่อนที่มากเพียงพอทุกวันอย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงต่อวัน
- การออกกำลังสม่ำเสมอ การทานอาหารจำนวนน้อยๆ ควบคุมน้ำหนักตัว
- หลีกเลี่ยงอาหารที่มีอันตรายต่อสุขภาพ หลีกเลี่ยงสารเสพติด ทำจิตใจให้สงบ พักผ่อนให้เพียงพอ
- ตรวจสุขภาพเพื่อค้นหาความผิดปกติตั้งแต่แรก ใช้ยารักษาโรคเมื่อจำเป็น
- ส่วนการใช้วิตามินและอาหารเสริมที่ถูกต้อง ก็จัดเป็นองค์ประกอบหนึ่งของการมีสุขภาพที่ดี
- เลิกกินยาสารพัดชนิดมากมายโดยไม่มีเหตุอันจำเป็น เพราะยาเหล่านั้นคือเคมีทั้งหลายที่จะทำลายตับไตและตับอ่อนเราได้
- ลดความเครียดจากภาระงานในแต่ละวันด้วยวิธีต่างๆ ตามแต่ความชอบ เช่น ฟังเพลง อ่านหนังสือ นั่งสมาธิ
เวชศาสตร์อายุรวัฒน์ (Anti-aging Medicine)
แต่ความจริงแล้ว Anti-aging medicine คือศาสตร์ใดๆ ที่นำมาใช้เพื่อลดความชรา ซึ่งคงต้องเริ่มจากภายในเซลล์ทุกเซลล์ของร่างกาย หรืออาจกล่าวได้ว่า Anti-aging medicine เป็นเรื่องของ preventive medicine หรือการป้องกันโรค ด้วยการชะลอความชรา (การฉีด Botox เพื่อลดริ้วรอยบนใบหน้านั้น เป็นหนึ่งในกระบวนการของศาสตร์ที่เรียกว่า Aesthetic Medicine)
การใช้วิตามินเพื่อป้องกันความชรา ตามหลักของ Anti-aging มีจุดประสงค์ 3 ประการ คือ
1.ทดแทนวิตามินที่เราอาจได้ไม่เพียงพอ
2.การใช้วิตามินขนาดสูงเพื่อใช้รักษาโรค ตัวอย่างในการใช้วิตามิน B เพื่อรักษาโรคปลายประสาทอักเสบ, Niacin เพื่อช่วยลดไขมันในเลือด, การใช้อนุพันธ์ของวิตามิน A เพื่อรักษาสิว, หรือการใช้วิตามิน K เพื่อรักษาโรคกระดูกบาง เป็นต้น
3.การใช้วิตามินเพื่อเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี