หลังจากทั้งโลกโดนพิษวิกฤตโควิด-19 กันมาเกือบสองปี ก็เป็นธรรมดาที่ผู้นำ ผู้บริหารประเทศ ทุกประเทศ ต่างก็อยากจะรีบเปิดประเทศของตนเพื่ออำนวยให้มีการสัญจรไป-มา เพื่อที่จะได้ทำมาค้าขาย รวมทั้งจะได้มีรายได้จากการท่องเที่ยวทั้งภายใน และระหว่างประเทศเข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศตน
แต่ในสภาวการณ์ที่โรคระบาดโควิด-19 ยังคงเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันอยู่ การจะตัดสินใจเปิดประเทศ ก็ย่อมที่จะต้องคำนึงถึงสภาพ หรือสภาวะของประเทศตนว่ามีความพร้อมมากน้อยเพียงใด และเป็นที่ยอมรับกันอย่างมั่นอกมั่นใจกันแค่ไหน (Acceptable หรือ ConduciveCondition)
แล้วอะไรเล่าที่จะเป็นตัวบ่งบอก หรือตัวชี้วัดว่าสภาพแวดล้อมของประเทศอยู่ในระดับเพียงพอที่จะรองรับการเปิดประเทศได้? ซึ่งก็คงมิใช่เป็นเรื่องของความปรารถนา (Wishes) หรือความทะเยอทะยานของผู้นำ ผู้บริหารหนึ่งใด เพราะการตัดสินใจที่จะเปิดประเทศอย่างน้อยก็ต้องมีข้อมูล มีตัวเลข ที่จะมารองรับ
หากรัฐบาลใดก็ตาม โดยเฉพาะรัฐบาลไทยตัดสินใจว่าจะเปิดประเทศ ก็ควรจะต้องมีข้อมูลที่ชัดเจนอยู่ในมือแล้ว อาทิ
1.ประชากรอย่างน้อยร้อยละ 70 ได้รับการฉีดวัคซีนแล้วคนละ 2 เข็ม (ไทยนั้นนับจากจำนวนประชากร 68 ล้านคน ก็เท่ากับ 47.6 ล้านคน)
2.บุคลากรทางการแพทย์ และสาธารณสุข ทุกประเภท หรือทุกกลุ่มได้รับการฉีดวัคซีนครบ และได้รับการตรวจสอบเป็นระยะๆ อย่างสม่ำเสมอ
3.บุคลากรด้านบริการทุกหมู่เหล่าก็ได้รับการฉีดวัคซีนกันอย่างครบถ้วน และได้มีการตรวจสอบสภาพร่างกายเป็นระยะๆ อย่างสม่ำเสมอ
4.พื้นที่เป้าหมายเพื่อการท่องเที่ยว นอกจากมีการฉีดวัคซีนอย่างครบถ้วนและมีการจัดวางระบบการตรวจสอบสุขภาพแล้ว จะต้องเพียบพร้อมด้วยสถานพยาบาล เครื่องมือเครื่องใช้ และบุคลากรที่เกี่ยวข้องพร้อมจะรับมือกับการระบาดเป็นคลัสเตอร์ได้อย่างทันท่วงที
5.มีความมั่นใจว่า พื้นที่สีแดง เช่น กรุงเทพฯชลบุรี และย่านนิคมอุตสาหกรรม ไปจนถึง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมทั้งสงขลา ได้มีการระดมการฉีดวัคซีน และการวางมาตรการป้องกันอย่างรัดกุม จนตัวเลขสถิติของผู้เจ็บป่วยมีแนวโน้มลดลงอย่างมีนัยทางสถิติ และเป็นที่พึงพอใจ
6.ตัวเลขผู้ป่วยประจำวันถัวเฉลี่ยประมาณ 10,000 รายต่อวัน มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งจะเหลือแค่กึ่งหนึ่ง
7.การฉีดวัคซีนให้กับบรรดานักโทษ ต้องครบถ้วนแล้ว 100% และจำนวนผู้ป่วยในเรือนจำจะต้องลดลงให้ได้จากจำนวนเป็นร้อย มาสู่ระดับจำนวนเป็นสิบ
8.การมีตัวเลขที่แน่ชัดเกี่ยวกับวัคซีนไปอีก6 เดือนข้างหน้า เพื่อใช้ในการฉีดวัคซีนให้ครบจำนวนร้อยละ 70 ในโอกาสแรก และมุ่งเป้าไปที่ประชากรทั้งหมดของประเทศ และปริมาณสำรองเพื่อรองรับสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือการฉีดวัคซีนกระตุ้นเป็นเข็มที่ 3 และ 4 เพราะภูมิต้านทานจาก 2 เข็มแรกลดลง
9.การส่งเสริม การค้นคว้าวิจัยและพัฒนาทั้งวัคซีนและตัวยารักษาโรค ทั้งแพทย์แผนปัจจุบันและแพทย์แผนโบราณ เพื่อเสริมสร้างภูมิต้านทานของตนเอง โดยการมีข้อมูลแน่ชัดเกี่ยวกับกลุ่มนักวิจัยและสถาบันที่เกี่ยวข้อง ไปจนถึงการร่วมมือกับต่างประเทศ
10.การใช้ประโยชน์จากการเป็นประชาคมอาเซียนในการส่งเสริมความร่วมมือต่างๆ โดยเฉพาะการร่วมกันจัดซื้อจัดหา เพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองและเพื่อจะได้ราคาที่ย่อมเยาขึ้น
11.การเสริมสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนด้วยการสื่อสารที่มีความชัดเจน มีการบูรณาการ และมีแหล่งกระจายข้อมูลหลัก มิใช่ภาพของความสับสนอันสืบเนื่องมาจากการประชาสัมพันธ์ และการแสดงความคิดเห็นในลักษณะต่างคนต่างทำ อีกทั้งการมีระบบที่จะชี้แจงข้อเท็จจริง และโต้เถียง การแสดงความคิดเห็นส่วนตัวทั้งที่มีเจตนาดีและเจตนาไม่ดี เพื่อให้สาธารณชนได้รู้ว่านโยบาย ท่าที และมาตรการของภาครัฐนั้นเป็นอย่างไรแน่
อนึ่ง นอกเหนือจากการที่จะฟื้นฟูเศรษฐกิจด้วยการเปิดประเทศในเรื่องการท่องเที่ยว และการอุดหนุนจุนเจือการจับจ่ายใช้สอยเพิ่มการบริโภคแล้ว ผู้บริหารประเทศก็ต้องคำนึงถึงการสร้างงานควบคู่ไปด้วย ซึ่งภาครัฐก็อยู่ในวิสัยที่จะเป็นผู้ลงทุนหรือขยายการลงทุนเพื่อสร้างงานได้ อาทิ ในเรื่องโครงสร้างพื้นฐานทางด้านคมนาคม เช่น ถนน ทางรถไฟและทางด้านการชลประทานของการขุดลอกคู คลอง บึงและการบริหารจัดการผังเมืองกันใหม่ เพื่อแก้ปัญหาถนนหนทาง และที่อยู่อาศัย รวมทั้งโรงงานที่ขวางกั้นการไหลผ่านของน้ำธรรมชาติ ก่อให้เกิดกรณีน้ำเอ่อน้ำท่วม น้ำขัง
นอกจากนั้น ในกรอบของการร่วมมือภาครัฐ-เอกชน และการส่งเสริมธุรกิจ ตั้งไข่ใหม่ (Start up) เป็นการสมควรที่ภาครัฐ รวมทั้งธนาคารัฐ จะเข้าไปร่วมมือหรือสนับสนุนจุนเจือให้เกิดอุตสาหกรรม และธุรกิจใหม่ๆ ที่ไปกับการฟื้นฟูสภาพแวดล้อมธรรมชาติ และการลดภาวะโลกร้อน เช่น ในกิจการพลังงานทดแทน
และหมุนเวียน ในกิจการการใช้วัตถุดิบ พืชผล ในการผลิตของใช้ต่างๆ การผลิตเครื่องมือเครื่องใช้ที่ลดการใช้พลังงานไฟฟ้า และวัตถุดิบที่ไม่สร้างพิษที่ตกค้าง ไปจนถึงการพัฒนาการเพาะปลูกที่ใช้น้ำน้อย ใช้พื้นที่น้อย และไม่ใช้เคมีภัณฑ์ ซึ่งทั้งหมดนี้ภาครัฐจะต้องมีนโยบายมาตรการ และแผนงานที่แน่ชัด เพื่อให้ประเทศไทยปรับเปลี่ยนรูปโฉมเป็นเศรษฐกิจสีเขียว และเศรษฐกิจที่มีการหมุนเวียนการใช้ผลิตภัณฑ์ให้ได้ประโยชน์สูงสุด
และทั้งหมดนี้ก็มีเรื่องของการค้นคว้าวิจัย ประดิษฐ์คิดค้นเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งฝ่ายรัฐบาลก็มีกองทุนวิจัยและมีงบประมาณประจำปีที่จะใช้ประโยชน์ให้ได้สูงสุด และในขณะเดียวกัน ก็เร่งพัฒนาบุคลากร เพื่อจะได้มีทักษะและองค์ความรู้ที่จะเป็นช่างฝีมือ และเป็นผู้ใช้เทคโนโลยีสื่อสารสมัยใหม่ได้ ซึ่งทั้งหมดนี้ก็เป็นเรื่องที่สามารถกระทำการคู่ขนานไปกับการส่งเสริมการท่องเที่ยวได้ และเป็นการสะท้อนว่ารัฐบาลมีขีดความสามารถในการที่จะฟื้นฟูเศรษฐกิจมากกว่าการพึ่งพาวิธีการง่ายๆ เช่น การเปิดการท่องเที่ยว
นอกจากนั้น หากเปิดการท่องเที่ยวแล้ว สภาวะเศรษฐกิจยังไปไม่ได้ด้วยดี หรือไปได้อย่างกระท่อนกระแท่น ภาครัฐก็ต้องมีแผนสำรองในการปรับกระบวนยุทธ์ไปสู่การสร้างงานในกรอบเศรษฐกิจสมัยใหม่ให้ได้ ซึ่งนัยของเรื่องทั้งหมดนี้ก็คือ การต่อสู้กับโควิด-19 ให้ได้ในระดับที่เป็นที่พึงพอใจและมั่นใจ และเพิ่มความคึกคักให้กับตลาดภายใน (Domestic Market) มากกว่าที่จะคิดแต่สาละวนอยู่กับตลาดท่องเที่ยวจากภายนอก
อย่าลืมว่า การที่ผู้บริหารประเทศอยากจะเปิดประเทศ นั้นเป็นการมองจากด้านเดียว คือด้านของตัวเองเท่านั้น โดยไม่ได้คำนึงว่าต่างประเทศนั้นเขาพร้อมที่จะมาประเทศไทยหรือไม่? และเขาจะอนุญาตให้ประชาชนพลเมืองของเขาเดินทางมาประเทศไทยหรือเปล่า? ซึ่งก็อยู่ที่ว่าสภาวการณ์การระบาดในประเทศของไทยเรานั้น อยู่ในระดับที่เป็นที่ยอมรับได้หรือไม่ ซึ่งทั้งหมดนี้มิได้ขึ้นอยู่กับความปรารถนา หรืออารมณ์ชมชอบของผู้นำประเทศไทยแต่อย่างใด
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี