ประเด็นโจมตีของฝ่ายค้าน ที่ค้านทุกเรื่อง
แม้แต่เรื่องการเปิดประเทศ ก็ยังพยายามหาเหลี่ยม-หามุม มาค้าน
แต่ก็ค้านค้างๆ คูๆ ทำได้แต่เพียงดิสเครดิตทางการเมือง คือ พูดทำนองว่าเปิดประเทศดี แต่นายกฯคนทำงานจนได้เปิดประเทศตอนนี้ไม่ดี
เรียกว่า เอาแต่ด่า
มือไม่พายเอาเท้าราน้ำ แล้วด่าคนทำงานงกๆ ด่าคนพายเรือปาวๆ สุดท้าย เคลมว่าเป็นผลงานการขับเคลื่อนด้วยการด่าของพวกตน
มาแนวเดียวกันหมด ฝ่ายค้านด้อยคุณภาพ
1. ล่าสุด นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ออกมาโจมตีเรื่องการเปิดประเทศ
นายพิธากล่าวหาว่า นายกฯ พล.อ.ประยุทธ์ มัดมือชกคนทั้งประเทศ เพียงเพราะไม่อยากผิดคำพูดที่ตอนแรกพูดว่าจะฉีดให้ได้ 50 ล้านโดสก่อนเปิดประเทศ แต่สุดท้ายก็ฉีดไม่ถึง
โฆษกรัฐบาลสวนโครมว่า ขณะนี้ยอดการฉีดวัคซีนสะสมของไทยกว่า 70 ล้านโดสแล้ว และยืนยันว่ารัฐบาลเดินหน้าฉีดวัคซีนได้ตามแผนที่วางไว้ 50 ล้านคน ครอบคลุมประชากร 70 เปอร์เซ็นต์ภายในปีนี้อย่างแน่นอน จึงทำให้ยอดผู้ติดเชื้อเริ่มลดลงอย่างต่อเนื่อง เห็นผลสัมฤทธิ์อย่างเป็นรูปธรรม อย่างไรก็ตาม นายกฯ ยังย้ำถึงการดำเนินการมาตรการต่างๆ ของรัฐบาลด้วยว่า ต้องคำนึงถึงประโยชน์โดยรวมของประเทศเป็นสำคัญ เพื่อให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้ โดยที่คนไทยทุกคนร่วมกันเป็นส่วนหนึ่งในการพลิกโฉมประเทศ
“ส่วนกรณีนายพิธาระบุว่า การเปิดภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์เป็นการเปิดที่ไร้วิสัยทัศน์ เป็นการเปิดแบบตามยถากรรมนั้น จากการลงพื้นที่ติดตามความก้าวหน้าโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์พบว่า ตั้งแต่ท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ต มีจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศเดินทางมาใช้บริการมากขึ้น ขณะเดียวกันแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของจังหวัดภูเก็ต กิจการร้านค้า ต่างกลับมาเปิดให้บริการจำนวนมากแล้ว ซึ่งจำนวนนักท่องเที่ยวตั้งแต่วันที่ 1-21 ตุลาคม 2564 มากถึง 53,120 คน มียอดเงินใช้จ่ายแล้วกว่า 3,192 ล้านบาท ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ถือเป็นความสำเร็จของประเทศไทย ต่างประเทศก็ชื่นชมมีเพียงนายพิธาที่สมองเหมือนไม่รับรู้อะไรเลยอยู่ในกลุ่มพวกไม่อยากให้รัฐบาลทำสำเร็จ”
โฆษกรัฐบาลยังให้ข้อมูลต่ออีกว่า นายกรัฐมนตรีได้ลงนามคำสั่งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ที่ 18/2564 เรื่อง พื้นที่นำร่องด้านการท่องเที่ยวตามข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 เพิ่มจังหวัดพื้นที่นำร่องด้านการท่องเที่ยว 17 จังหวัด เริ่ม 1 พฤศจิกายนนี้ รวมทั้ง ศบค.ออกข้อกําหนด ฉบับที่ 36 ยกเลิกการห้ามออกนอกเคหสถานหรือยกเลิกเคอร์ฟิวในพื้นที่นําร่องด้านการท่องเที่ยวในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด มีผลตั้งแต่เวลา 23.00 น. ของวันที่ 31 ตุลาคมนี้ จะส่งผลบวกต่อบรรยากาศทั้งการเปิดประเทศ และการท่องเที่ยวภายในประเทศอีกด้วย
2. สำหรับการเปิดรับนักท่องเที่ยวแบบไม่กักตัว/ไม่จำกัดพื้นที่เริ่ม 1 พ.ย. นี้ ถ้าฟังและคิดตามที่โฆษกรัฐบาลอธิบาย ยึดหลักคนไทยปลอดภัย ต่างชาติมั่นใจ
จะเห็นว่า เป็นแนวทางที่น่าสนใจและควรเดินหน้าต่อโดยไม่ลังเล
มาตรการแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้
1) คนไทยและต่างชาติที่เดินทางจาก 45 ประเทศ + 1 เขตบริหารพิเศษฮ่องกง
เข้ามาโดยไม่จำเป็นต้องมีการกักตัว และสามารถเดินทางได้ทุกจังหวัด
เงื่อนไขคือผู้ที่จะเดินทางจะต้องฉีดวัคซีนครบโดส มีผลตรวจโควิดก่อนมา และตรวจอีกครั้งเมื่อมาถึงไทย มีประกันสุขภาพอย่างน้อย 50,000 ยูเอสดอลลาร์ โดยผู้เดินทางจะต้องพำนักในประเทศที่กำหนดนั้นๆ ต่อเนื่องอย่างน้อย 21 วัน ก่อนที่จะเดินทางเข้ามาในประเทศไทย ยกเว้นคนไทยหรือเดินทาง
ออกจากประเทศไทย ซึ่งต้องมีการจองโรงแรม AQ 1 คืนระหว่างรอผลตรวจ RT-PCR
2) ผู้ที่เดินทางมาจากประเทศไหนก็ได้ (กรณีที่ไม่เข้าเกณฑ์ในกลุ่มที่แรก)
ใช้หลักการเดียวกันโปรแกรมแซนด์บ็อกซ์ (Sandbox) และต้องเดินทางเข้ามาในพื้นที่นำร่อง 17 จังหวัด (พื้นที่สีฟ้า) คือ ได้รับวัคซีนครบ 2 เข็ม มีการตรวจหาเชื้อโควิดก่อนเดินทาง 72 ชั่วโมงด้วยวิธี RT-PCR และมีประกันสุขภาพอย่างน้อย 50,000 ยูเอสดอลลาร์ จองที่พัก 7 คืน ตามมาตรฐานและต้องเป็นโรงแรมที่อยู่ใน Sandbox area มีการตรวจหาเชื้อซ้ำในวันที่ 6 หรือ 7 สามารถเดินทางท่องเที่ยวในพื้นที่แซนด์บ็อกซ์ และเมื่อครบ 7 วันแล้ว จึงจะสามารถเดินทางไปยังพื้นที่อื่นได้
3) กรณีกลุ่มคนที่ไม่เข้าเกณฑ์ทั้ง 2 ประเภท
เช่น คนที่ยังไม่ได้รับวัคซีนเลย หรือได้รับแล้วยังไม่ครบ
สามารถเดินทางเข้าประเทศไทยได้ภายใต้เงื่อนไขการกักกัน ในสถานที่ที่ทางราชการกำหนด ทั้งสถานกักกันโรคที่รัฐจัดให้ (SQ) สถานกักกันโรคทางเลือก (AHQ) ที่จัดการโดยเอกชน สถานกักกันโรคของหน่วยงานหรือองค์กร (OQ) และสถานที่กักกันในส่วนของโรงพยาบาล (HQ) ซึ่งเป็นกลุ่มที่เดินทางเข้ามาประเทศไทยเพื่อเข้ารับการรักษาพยาบาล ซึ่งแต่ละกรณีจำเป็นต้องเข้ารับการกักตัวโดยจะมีรายละเอียดที่แตกต่างกัน บางกลุ่มจะมีการกักตัว 7 -10 วัน
3. โครงการเปิดประเทศแบบไม่กักตัว เริ่ม 1 พ.ย. นี้สอดคล้องกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในประเทศไทยและสถานการณ์ทั่วโลกมีแนวโน้มคลี่คลายดีขึ้น โดยแบ่งออก เป็น 3 ช่วงระยะเวลาที่ชัดเจน คือ
ระยะที่ 1 ช่วงวัน 1-30 พฤศจิกายน 2564 (พื้นที่ 17 จังหวัดนำร่อง)
ระยะที่ 2 ช่วงวัน 1-31 ธันวาคม (เมืองหลักหรือจังหวัดที่มีสัดส่วนรายได้จากนักท่องเที่ยวไม่น้อยกว่า 15% ของรายได้จากการท่องเที่ยวทั้งหมดและเป็นจังหวัดที่มีพรมแดนติดประเทศเพื่อนบ้าน)
และระยะที่ 3 ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565 (พื้นที่นำร่องด้านเศรษฐกิจ จังหวัดที่มีพรมแดนติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน) ในแต่ละช่วงเวลา จะมีการปรับหลักเกณฑ์ที่เหมาะสม ให้สอดคล้องกับสถานการณ์การแพร่ระบาดภายในประเทศและประเทศต้นทาง รวมทั้งยังมีการประเมินผลการเข้าราชอาณาจักรทุก 1-2 สัปดาห์ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์การแพร่ระบาดภายในของประเทศนั้นๆ เพื่อเป็นการพิจารณาความเหมาะสมของประเทศต้นทางด้วย
4. วันนี้ การเดินหน้าขับเคลื่อนเศรษฐกิจเป็นสิ่งสำคัญ ดูจากวันหยุดยาวที่ผ่านมา คนเดินทางไปท่องเที่ยว จับจ่ายใช้สอยตามสถานที่ท่องเที่ยว จังหวัดท่องเที่ยวต่างๆ เกิดความคึกคัก มีความหวังในชีวิตและความเป็นอยู่ที่เคยได้รับผลกระทบจากโควิดอย่างหนัก
ในพื้นที่เศรษฐกิจปัจจุบัน มีการฉีดวัคซีนไปจำนวนพอสมควร
ดังนั้น อย่าลังเล ไม่ต้องกลัวนักท่องเที่ยวต่างชาติจะเอาเชื้อโควิดเข้ามาประเทศด้วย เพราะเป็นการเปิดอย่างมียุทธศาสตร์ มีการคัดเลือกเป้าหมาย มีการกลั่นกรอง อีกทั้งการระบาดในบ้านเราเองมีโอกาสเสี่ยงมากกว่าเยอะ สังคมทุกภาคส่วนควรสนับสนุนให้เดินหน้าต่อควบคู่ไปกับมาตรการสาธารณสุข
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี