“...จะตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่ในฐานะที่ปรึกษา มุ่งมั่นทำงานอย่างแท้จริง ในฐานะลูกของนายทักษิณ ซึ่งท่านไม่เคยลืมบุญคุณแผ่นดินไทย ไม่เคยลืมคนไทย ท่านปรารถนาอย่างมาก อยากกลับเมืองไทย อยากกลับมากราบผู้มีพระคุณ...” - น.ส.แพทองธาร ชินวัตร (ลูกสาวของนายทักษิณ ชินวัตรผู้หลบหนีโทษจำคุกคดีทุจริตประพฤติมิชอบ) ประธานที่ปรึกษาพรรคเพื่อไทยด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม วันที่ 28 ตุลาคม 2564
1. การเข้ารับตำแหน่งประธานที่ปรึกษาฯ และกล่าวถึงความต้องการกลับบ้านของนายทักษิณ ชินวัตรในโอกาสแรกที่ได้รับตำแหน่งดังกล่าว เป็นการสื่อสะท้อนชัดเจนถึงความต้องการทางการเมืองที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ส่วนตนของคนตระกูลชินวัตร
อีกครั้ง อีกครั้ง อีกครั้ง
ทำให้ตอกย้ำสิ่งที่นายจอม เพชรประดับ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊คไว้วันก่อน ว่าด้วยเรื่อง “พรรคเพื่อไทย” ควรจะเปลี่ยนเป็น “พรรคพวกชินวัตร มากกว่า” ยิ่งมีน้ำหนัก
“...น่าจะถึงเวลาที่ “พรรคเพื่อไทย” ควรจะเปลี่ยนชื่อพรรคใหม่เป็น “พรรคพวกชินวัตร” ไปเลย จะได้หมดเรื่อง หมดข้อกังขา กระจ่างแจ้งกันไปเลย แสดงว่ายังไม่เข็ดหลาบกับการเล่นการเมืองแบบวงศาคณาญาติเหมือนอย่างที่พันธมิตรฯ หรือ กปปส.เคยต่อต้านขับไล่ จนบ้านแตก คนในครอบครัวแต่ละคนต้องมีอันเป็นไป อยู่ในแผ่นดินบ้านเกิดตัวเองไม่ได้... ...คุณทักษิณ ชินวัตร แม้จะมีความฉลาดหลักแหลมมีวิสัยทัศน์ในด้านเศรษฐกิจ แต่ในด้านการเมือง คุณทักษิณ ไม่เคยเปลี่ยน ยังคงใช้ “ประชาชน” เป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่ออำนาจและพวกพ้องตัวเองอยู่เหมือนเดิม...”
รอดูว่า อุ๊งอิ๊งจะขยับเข้าไปอยู่ในฐานะ “ผู้ได้รับเสนอชื่อเป็นนายกฯของพรรคเพื่อไทย” ต่อไปด้วยหรือไม่?
2. ครั้งแรกที่ “ประธานที่ปรึกษาฯ” ปรากฏชื่อในหน้าข่าวการเมืองเกรียวกราว คือในยุคที่บิดามีอำนาจเบ็ดเสร็จกับระบอบทักษิณ กรณีข้อสอบเอ็นทรานซ์รั่ว
น่าเสียดาย เด็กรุ่นหลังโตมาไม่ทันยุคที่มีการสอบเอ็นทรานซ์
เด็กมัธยมทั่วประเทศยุคโน้น ต้องต่อสู้ฝ่าฟันแข่งขันเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยชั้นนำ ผ่านการสอบเอ็นทรานซ์ แต่ในปี 2547 ในช่วงที่น.ส.แพทองธาร ชินวัตร บุตรสาวนายกรัฐมนตรี เข้าสอบ ปรากฏว่า ข้อสอบรั่ว
บางคนประวัติได้คะแนนน้อย แล้วกลับได้คะแนนพรวดพรวด ฉลาดข้ามคืน
กรณีข้อสอบเอ็นทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัยรั่ว ในยุครัฐบาลทักษิณนั้น ถือเป็นรอยด่างของวงการศึกษาไทยครั้งใหญ่ ทำให้ความเชื่อมั่นศรัทธาต่อระบบการสอบเอ็นทรานซ์ที่เคยได้รับความเชื่อถือศรัทธามานานต้องมัวหมอง
ขณะนั้น ทักษิณ ชินวัตร นายกฯ นายอดิศัย โพธารามิก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ต่างยืนยันว่า “ข้อสอบไม่รั่ว” อีกทั้งแสดงพฤติกรรมปกป้องผู้เกี่ยวข้องอย่างออกหน้า
สังคมขณะนั้นตั้งข้อสงสัยอื้ออึง มีการเปิดเผยพฤติกรรมของข้าราชการระดับสูงบางคน โดยเฉพาะ ร.ต.อ.วรเดช จันทรศร อดีตเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (ก.อ.) ว่าไม่โปร่งใส มีการเปิดดูข้อสอบหรือนำข้อสอบไปเก็บไว้ในห้องทำงาน
ในครั้งนั้น บรรดานักเรียน ผู้ปกครอง รวมทั้งประชาชนทั่วไป กดดันเรียกร้องให้มีการสอบสวนข้อเท็จจริงโดยเร็ว แต่ถูกขัดขวางทุกวิถีทางทั้งทางตรงและทางอ้อม กระทั่งเมื่อฝืนกระแสต่อไปไม่ไหว ก็มีการย้าย ร.ต.อ.วรเดช ไปดำรงตำแหน่งเลขาธิการสภาการศึกษา แทนที่จะมีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนเพื่อหาข้อเท็จจริงให้คลายความสงสัยกับสังคม
แต่ในที่สุด เมื่อหลีกเลี่ยงไม่ได้ ค่อยยอมแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง เมื่อวันที่ 12 เมษายน2547 โดยมี นายสุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา เป็นประธานสอบสวนข้อเท็จจริง และมีข้อสรุปในเวลาต่อมาว่า “ข้อสอบรั่ว”
รวมทั้งยังระบุว่า การกระทำของ ร.ต.อ.วรเดช เป็นการไม่ถือปฏิบัติตามระเบียบว่าด้วยการรักษาความลับของทางราชการ พ.ศ. 2544ข้อ 30 เพราะในรายงานการสอบสวนยังชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนอีกว่า ร.ต.อ.วรเดช เป็นผู้เปิดดูซองข้อสอบและเปลี่ยนแปลงสถานที่เก็บข้อสอบถึงสองครั้ง
พฤติกรรมดังกล่าวของ ร.ต.อ.วรเดช ทางคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงยังระบุว่ามีมูล ที่ควรกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัย ฐานปฏิบัติราชการไม่เป็นไปตามระเบียบของทางราชการและมติคณะรัฐมนตรี ไม่ปฏิบัติตามระเบียบและแบบธรรมเนียมของทางราชการตามมาตรา 85 และมาตรา 91 แห่ง พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2535 และมีมูลที่ควรกล่าวหาว่าประพฤติตนไม่เหมาะสมกับตำแหน่งหน้าที่
แต่พฤติกรรมในทางปกป้องยังเป็นไปต่อเนื่อง มีการแต่งตั้ง นายวีระศักดิ์วงศ์สมบัติ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) ซึ่งเป็นคนของกระทรวงศึกษาธิการด้วยกัน เป็นประธานการสอบสวนวินัย ร.ต.อ.วรเดชแทนที่จะให้สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) เป็นผู้สอบสวนตามคำแนะนำของคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงฯ
นายอมรวิชช์ นาครทรรพ คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตั้งข้อสงสัยเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2547 ว่า สาเหตุที่นายอดิศัยไม่ยอมเปิดเผยรายงานผลการสอบสวนทั้งหมดแสดงให้เห็นว่า มีเงื่อนงำและมีการบิดบังความจริงต่อสาธารณชน
ตอนที่สื่อมวลชนรายงานเรื่องนี้ ทักษิณมีอารมณ์ฉุนเฉียวและคับข้องใจ ถึงขนาดเคยโพล่งว่า “เป็นลูกนายกฯไม่ใช่ลูกโจรที่ไหน ทำไมถึงรังเกียจกันนัก”
วันนั้น ทักษิณเป็นนายกฯ ไม่ใช่โจร
แต่วันนี้ ทักษิณมีสถานะเป็นผู้กระทำการทุจริตประพฤติมิชอบ หลบหนีคำพิพากษาจำคุกหลายคดี หลบหนีหมายจับของศาลฎีกา
จะบอกว่าไม่ใช่โจร ก็แล้วแต่จะพูด
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี