นักวิชาการด้านความมั่นคงและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกับอดีตนักการทูตที่ช่วยประสานงานรัฐบาลไทยมาหลายยุคหลายสมัยต่างยินดีชื่นชมนายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีต่างประเทศของไทยที่เดินทางไปเมียนมาเพื่อช่วยด้านสิทธิมนุษยธรรมแก่ชาวเมียนมาเมื่อวันอาทิตย์ที่ 14 พ.ย. ที่ผ่านมา
“การเดินทางเยือนเมียนมาของนายดอนครั้งนี้ ถือเป็นความกล้าหาญและท้าทาย หลังจากที่ปล่อยให้อินโดนีเซียครอบงำอาเซียนอยู่นานหลายเดือน” นักการทูตไทยผู้คุ้นเคยกับการทูตเงียบ (Quiet Diplomacy)มาตั้งแต่ยุคสงครามเย็นกล่าวกับแนวหน้า
อดีตนักการทูตกล่าวเสริมว่าตลอดเวลาหนึ่งปีที่บรูไนเป็นประธานหมุนเวียนอาเซียน อินโดนีเซียครอบงำอาเซียนตลอดมาโดยเฉพาะนโยบายเกี่ยวกับเมียนมาที่อินโดนีเซียเดินตามตะวันตกให้กดดันกีดกันเมียนมาอ้างว่าเป็นเผด็จการทหารยึดอำนาจจากรัฐบาลการเลือกตั้งของนางออง ซาน ซู จี
“อินโดนีเซียต่อต้านรัฐบาลทหารเมียนมาสาเหตุใหญ่น่าจะมาจากความไม่พอใจเมียนมาเรื่องโรฮีนจา อินโดนีเซียกับเมียนมาผิดใจกันเรื่องโรฮีนจาตั้งแต่สมัยนางออง ซาน ซู จี แล้ว และเมื่อพลเอกมิน อ่อง หล่าย ยึดอำนาจ อินโดนีเซียได้ทีต่อต้านเมียนมาเอาเป็นเอาตาย ถึงกับทำในสิ่งที่ขัดกับกฎบัตรอาเซียนคือไม่แทรกแซง
ซึ่งกันและกันที่สำคัญอาเซียนยึดถือมติเป็นเอกฉันท์ตลอดมาแต่อินโดนีเซีย ขัดขวางไม่ให้เมียนมาเข้าร่วมประชุมอาเซียนซัมมิตที่ผ่านมา” อดีตนักการทูตกล่าว
วันที่ 22 พ.ย. จีนเป็นเจ้าภาพประชุมทางไกลสุดยอดผู้นำอาเซียน-จีน ที่สำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานว่าสมาชิกอาเซียนบางประเทศ ได้แก่ อินโดนีเซีย มาเลเซีย บรูไนและสิงคโปร์ ขัดขวางไม่ให้เมียนมาเข้าร่วมประชุมสุดยอดผู้นำจีน-อาเซียนอีกครา
ผมคิดว่าการขัดขวางไม่ให้เมียนมาเข้าร่วมประชุมจีน-อาเซียนเป็นสิ่งที่ท้าทายความเป็นปึกแผ่นของอาเซียนมาก เพราะจีนเป็นมิตรประเทศที่ใกล้ชิดกับเมียนมาและเกื้อกูลกันมาตลอด อย่างไรตาม ผู้นำเมียนมาไม่ได้ร่วมประชุมจีน-อาเซียนซัมมิตและไม่ชัดเจนว่าเพราะเหตุใดเมียนมาไม่ส่งผู้แทนร่วมประชุมทั้งๆ ที่จีนไม่ได้แสดงท่าทีคัดค้านแต่อย่างใด
นักวิชาการด้านความมั่นคงและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่เคยร่วมเป็น Delegates ของทีมไทยมาหลายยุคหลายสมัยให้ความเห็นว่ารัฐมนตรีต่างประเทศของไทยเดินทางไปเมียนมา ถูกจังหวะเวลาและสถานการณ์
“มีการพูดกันมากในวงการทูตและในยูเอ็นว่าถึงเวลาที่ประเทศไทยต้องเคลื่อนไหวเพื่อให้ฉันทามติ 5 ของอาเซียนได้คืบหน้าไปบ้าง” นักวิชาการด้านความมั่นคงกล่าว
ว่าประเทศไทยกับเมียนมามีชายแดนติดกันกว่า 2,000 กม. ดังนั้นเมื่อความรุนแรงเกิดขึ้นในเมียนมาต้องกระทบมาถึงไทย ซึ่งต่างกับอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ บรูไน และสิงคโปร์ที่อยู่ไกลออกไป
“จะเห็นว่าบรรดาสมาชิกอาเซียนในสุวรรณภูมิ สปป.ลาว และกัมพูชา ซึ่งเป็นเพื่อนบ้านที่มีชายแดนติดกันเข้าใจสถานการณ์และเห็นใจประเทศไทย เพื่อนบ้านเหล่านี้จึงไม่ขัดขวางที่ไทยจำเป็นต้องมีปฏิสัมพันธ์กับเมียนมา”
นายดอน ปรมัตถ์วินัย เดินทางไปเมียนมาเงียบๆเมื่อวันอาทิตย์ที่ 14 พ.ย. และเมื่อถูกสื่อมวลชนถามหลังจากกลับมา ว่าไปเจรจากันเรื่องอะไรก็ได้คำตอบเพียงว่าไปทำภารกิจช่วยเหลือเมียนมาทางด้านสิทธิมนุษยธรรม
คำว่าช่วยเหลือด้านสิทธิมนุษยธรรมมีความหมายกว้างมาก เช่นเมื่อคราวนายบิล ริชาร์ดสัน อดีตผู้ว่าราชการรัฐนิวเม็กซิโกและอดีตทูตสหรัฐอเมริกาประจำสหประชาชาติเดินทางไปพบกับพลเอกมิน อ่อง หล่าย ในเมียนมาก็ใช้คำว่า #ไปทำภารกิจด้านมนุษยธรรมในเมียนมา# แต่จุดมุ่งหมายคือไปเจรจาต่อรองให้ปล่อยตัวนายแดนนี่ เฟนสเตอร์ผู้สื่อข่าวชาวอเมริกันที่ถูกจับคาสนามบินนานาชาติและขังคุกตั้งแต่เดือนพ.ค.ที่ผ่านมา
นายริชาร์ดสัน ผู้เคยเจรจาให้ปล่อยตัวประกันในเกาหลีเหนือ ในคิวบา ในอิรักให้ตัวประกันชาวอเมริกันได้รับการปล่อยตัวมาแล้วหลายราย แต่ไม่สามารถเจรจา (ข่มขู่) ให้ปล่อยตัวผู้สื่อข่าวอเมริกันในเมียนมาได้ มิหนำซ้ำนายเฟนสเตอร์ ยังถูกเพิ่มข้อหาและศาลตัดสินจำคุก 11 ปีหลังจากนายริชาร์ดสันเจรจา
แต่จู่ๆรัฐบาลทหารเมียนมาก็ปล่อยตัวนายเฟนสเตอร์ให้เป็นอิสระในวันอาทิตย์ 14 พ.ย. วันเดียวกันกับที่รัฐมนตรีต่างประเทศไทยพบกับพลเอกมิน อ่อง หล่าย สองประเด็นนี้มีความสัมพันธ์กันหรือไม่ยังเป็นปริศนาเหมือนกับที่อเมริกันชนพูดว่า A million dollars question
ข่าวเป็นทางการของเมียนมารายงานว่านักข่าวอเมริกันได้รับการปล่อยตัวหลังจากประเทศญี่ปุ่นแทรกแซงผ่านทางสมาคมความสัมพันธ์ญี่ปุ่น-เมียนมาและนายบิล
ริชาร์ดสัน ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงแสดงว่าอเมริกาขอให้ญี่ปุ่นช่วยแต่อ้างว่าเป็นผลงานของนายริชาร์ดสันเพื่อรักษาหน้า
แต่หนึ่งวันต่อมาทางการญี่ปุ่นออกแถลงการณ์ว่าญี่ปุ่นไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ในการเจรจาให้ปล่อยตัวนายเฟนสเตอร์นี้ก็แสดงว่าญี่ปุ่นใช้นโยบายทางการทูตเงียบ (Quiet Diplomacy) เหมือนกับประเทศไทยที่มักทำอะไรเงียบๆไม่เอาหน้า
และประเทศไทยก็ทนฟังเสียงวิจารณ์ข้อตำหนิด่าว่า จากสื่อมวลชน จากเอ็นจีโอ และสมุนบริวารของตะวันตกและสหรัฐอเมริกาว่าไปมีปฏิสัมพันธ์กับเผด็จการทหารเมียนมาได้อย่างไร
แต่ยังมีข้อกังขาอยู่ว่ารองผู้อำนวยการซีไอเอ นายเดวิด เอสโคเฮน เดินทางมาพบพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะรัฐมนตรีกลาโหมของไทยทำไมถ้าไม่เกี่ยวเรื่องนี้
ด้านนักวิชาการที่ช่วยงานด้านความมั่นคงและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมานาน กล่าวว่า “ถ้าไทยจะช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่เมียนมาก็ไม่เห็นว่าจะเสียหายตรงไหน สหรัฐอเมริกาก็ช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในเมียนมาไปแล้วถึง 50 ล้านดอลลาร์ และไม่รู้ว่าเงินช่วยด้านมนุษยธรรมของอเมริกาตกไปอยู่ในมือของฝ่ายต่อต้านรัฐบาลทหารใช้ซื้ออาวุธบ้างหรือไม่” นักวิชาการด้านความมั่นคงตั้งข้อสังเกตเพราะเงิน 50 ล้านดอลลาร์ที่สหรัฐช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในเมียนมาได้มอบให้กับเอ็นจีโอและยูนิเซฟโดยตรงไม่ได้ผ่านรัฐทหารเมียนมา สภากาชาดและรัฐบาลไทย
“เป็นที่รู้กันทั่วไปว่าเอ็นจีโอและภาคประชาสังคมสนับสนุนรัฐบาลเงาเมียนมาหรือรัฐบาลสามัคคีแห่งชาติ (National Unity Government=NUG) และกองกำลังพิทักษ์ประชาชน (People Dense Force=PDF) ให้ต่อสู้ต่อต้านรัฐบาลทหารเมียนมา เงินที่สหรัฐอเมริกาช่วยเหลือมา50 ล้านดอลลาร์อาจเล็ดลอดไปถึงมือพ่อค้าอาวุธบ้างก็เป็นไปได้” นักข่าวชาวเมียนมาที่ทำมาหากินอยู่ตามแนวชายแดนไทยเมียนมามาหลายปี กล่าวกับแนวหน้า
เขาชี้ให้เห็นว่ากองกำลังพิทักษ์ประชาชนหรือ PDF รัฐบาลเงาพรรคเอ็นแอลดีของนางออง ซาน ซู จี ต้องได้รับการสนับสนุนจากต่างชาติ “ได้เห็นข่าวเจ้าหน้าที่อินเดียจับอาวุธลอตใหญ่ที่กำลังส่งเข้ามาในเมียนมาไหม?” นักข่าวชาวเมียนมากล่าว เขาอ้างถึงเหตุการณ์ที่หน่วยงานมั่นคงชายแดนของประเทศอินเดียยึดระเบิดแสวงเครื่อง 243 ลูก ระหว่างเตรียมการส่งมายังภาคสะกายในเมียนมาเมื่อวันที่ 10 พ.ย.ที่ผ่านมาหน่วยลาดตระเวนชายแดนจังหวัดอัมพาลในประเทศอินเดียตรวจพบเป้าหมายในหมู่บ้าน Betuk ติดชายแดนอินเดีย-เมียนมาจับคนขับรถจักรยานยนต์ต้องสงสัยและยึดระเบิดแสวงเครื่องได้จำนวนมาก ผู้ต้องหารับสารภาพว่ากำลังนำอาวุธไปส่งให้ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลทหารเมียนมาในภาคสะกาย
เป็นที่น่าสังเกตว่าในห้วงเวลา 70 ปีที่ผ่านมากองกำลังติดอาวุธกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ทำสงครามต่อต้านรัฐกลางย่างกุ้งใกล้ชายแดนไทย แต่หลังจากทหารยึดอำนาจจากรัฐบาลเอ็นแอลดีเมื่อวันที่ 1 ก.พ. การประท้วงรุนแรงและการใช้กำลังอาวุธต่อต้านรัฐบาลทหารเมียนมาย้ายสมรภูมิรบจากใกล้ชายแดนไทยไปยังรัฐชินและภาคสะกายใกล้ชายแดนประเทศอินเดียแทน
ผู้สื่อข่าวชาวเมียนมาที่ปักหลักอยู่ในแม่สอดมาหลายสิบปีกล่าวว่ากองกำลังกลุ่มชาติพันธุ์ที่อยู่ใกล้ชายแดนไทยไม่ว่าจะเป็นกะเหรี่ยงเคเอ็นยู กลุ่มคะยา และกองกำลังชาติพันธุ์ฉานใต้ (ไตใหญ่ใต้) ต่างหมดพลังในการสู้รบแล้ว
“กองกำลังเหล่านี้มีไว้เพื่อสวนสนามปีละครั้งและมีไว้ใช้เป็นเครื่องมือปฏิบัติการข่าวของตะวันตกเท่านั้น ประกอบกับกองกำลังชายแดนไทยและของประเทศจีนเข้มงวดไม่ยอมให้กลุ่มต่อต้านรัฐบาลเมียนมาเคลื่อนไหวการต่อต้านรุนแรงใกล้ชายแดนจึงย้ายไปสร้างความรุนแรงภาคสะกาย ในรัฐชิน และมัณฑะเลย์”
ผู้สื่อข่าวเมียนมากล่าวเสริมด้วยว่า “อาเซียนกีดกันพลเอกมิน อ่อง หล่าย ไม่ให้ร่วมประชุมจีน-อาเซียนซัมมิต และจีนยอมได้อย่างไร?”
สำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานว่าทูตพิเศษจีนในกิจการอาเซียนนายซุน กั๋ว เสียง เดินทางเยือนเมียนมาเป็นคำรบที่สองหลังจากทหารยึดอำนาจเมื่อวันที่ 1 ก.พ.และโฆษกกระทรวงต่างประเทศจีนแถลงว่า นายซุน ได้พบกับผู้แทนรัฐบาลทหารเมียนมาวันจันทร์ที่ 15 พ.ย. และยืนยันว่าจีนสนับสนุนให้เมียนมาปฏิบัติตามฉันทามติ 5 ข้อของอาเซียน
ในวันอังคารที่ 16 พ.ย. สื่อทางการเมียนมารายงานข่าวว่าประเทศเมียนมาจะเปิดชายแดนภาคพื้นดินกับประเทศจีนและประเทศไทยในต้นในเดือนธันวาคมนี้ ถึงแม้ไม่ได้กำหนดวันเปิดชายแดนแน่นอน แต่ก็มีความหวังว่าประเทศไทยกับสหภาพเมียนมาจะกลับมาค้าขายผ่านชายแดนเพื่อลดปัญหาความขาดแคลนสินค้าอุปโภค-บริโภคในเมียนมาและลดปัญหาค้าแรงงานเถื่อน ลดปัญหาลักลอบนำแรงงานเข้าประเทศไทยอย่างผิดกฎหมายลงได้ในเวลาเดียวกัน
นี้คือผลดีของการทูตเงียบเพราะหากดำเนินทางการทูตแบบโฉ่งฉ่างอาจถูกเอ็นจีโอของ NED และแอมเนสตี้อินเตอร์เนชั่นแนลขัดขวางตั้งแต่ยังเดินทางไปไม่ถึงสนามบิน
สุทิน วรรณบวร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี