วันจันทร์ ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2568
“อัครมหาเดโชชัยฮุนเซน” นายกฯตลอดกาลแห่งกัมพูชานำคณะใหญ่ประกอบด้วยรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศเดินทางไปเยือนเมียนมาอย่างเป็นทางการ นับเป็นความกล้าหาญที่ท้าทายสหรัฐอเมริกาและสมาชิกอาเซียนบางชาติ
นายฮุนเซนซึ่งเข้าใจปัญหาจริงถึงได้พูดก่อนออกเดินทางว่า “ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องต้องยุติความรุนแรง” คำพูดของเขาตรงกันข้ามกับตะวันตกโดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาและอาเซียนบางชาติที่กล่าวหาว่ารัฐบาลทหารเมียนมาใช้ความรุนแรงแต่ฝ่ายเดียว
ปี 2564 ที่บรูไนเป็นประธานหมุนเวียนอาเซียน อเมริกาสมคบกับอาเซียนบางประเทศฝ่าฝืนกฎบัตรอาเซียนที่บัญญัติไว้ว่า “ไม่แทรกแซงกิจการภายในซึ่งกันและกันและอาเซียนยึดมั่นในหลักการฉันทามติ”
แต่ตลอดเวลาหนึ่งปีที่ผ่านอาเซียนบางชาติรวมหัวกีดกันขัดขวางผู้ถืออำนาจรัฏฐาธิปัตย์ของเมียนมาคือพลเอกมิน อ่อง หล่าย ไม่ให้เข้าร่วมประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน นับว่าครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของอาเซียนตั้งแต่เริ่มก่อตั้งเมื่อปี 2510 ที่อาเซียนบางชาติกลัวอิทธิพลสหรัฐอเมริกากล้าฝืนกฎบัตรของสมาคมประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ขัดขวางไม่ให้ผู้นำเมียนมาเข้าร่วมกิจกรรมใดๆ ในการประชุมสุดยอดผู้นำ
โดยเฉพาะอย่างอินโดนีเซีย ซึ่งมีประสบการณ์กับอดีตประธานาธิบดีซูอาโตผู้นำจอมเผด็จมาอย่างยาวนาน ครอบงำอาเซียนบางชาติขัดขวางเมียนมาเอาเป็นเอาตายทำให้วิกฤตภายในเมียนมาเลวร้ายลงกว่าที่ควรจะเป็น
สาเหตุของความเลวร้ายในเมียนมาเป็นเพราะตะวันตกโดยเฉพาะสหรัฐอเมริกามองปัญหาด้านเดียว คือมองแต่มุมการยึดอำนาจจากรัฐบาลเลือกตั้งว่าไม่เป็นประชาธิปไตย ไม่เคารพสิทธิมนุษยชน สหรัฐและประเทศตะวันตกไม่สนใจว่าบริบทของสังคมเมียนมาและอาเซียนบางประเทศเป็นอย่างไร
สหรัฐอเมริกากับประเทศตะวันตกไม่สนใจว่าการเลือกตั้งในเมียนมาโกงกันอย่างมโหฬารหรือไม่? ไม่สนใจว่าผู้นำคอร์รัปชั่นดังที่ถูกดำเนินคดีหรือไม่? สหรัฐไม่สนใจข้อกล่าวว่านางออง ซาน ซู จี ขายความลับทางราชการให้ต่างชาติตามข้อกล่าวหาหรือไม่? แต่กลับไปสนใจที่ปลายเหตุคือการยึดอำนาจ
อเมริกาคาบคัมภีร์เสรีประชาธิปไตย เสรีภาพในการแสดงออก และฝักใฝ่แต่เรื่องสิทธิมนุษยชนจอมปลอมแล้วใช้เป็นเหตุผลเข้าครอบงำอาเซียนบางชาติให้คว่ำบาตรเมียนมาตามตะวันตก ในข้ออ้างว่าพลเอกมิน อ่อง หล่าย ไม่ให้ความร่วมมือกับฉันทามติ 5 ข้อของอาเซียนที่ออกมาเมื่อเดือนเม.ย. 2564 หลังจากผู้นำอาเซียนประชุมวาระพิเศษในกรุงจาการ์ตา
ฉันทามติข้อที่ 1 บัญญัติว่า“ให้ทุกฝ่ายในเมียนมายุติความรุนแรงทันทีและใช้ความอดกลั้นอดทนแสวงหาข้อตกลงในการเจรจากับทุกฝ่ายโดยมีทูตพิเศษอาเซียนเป็นคนกลางในการเจรจาเพื่อแสวงหาข้อสรุปโดยสันติวิธีเพื่อประโยชน์ของชาวเมียนมาทั้งมวล”
แต่หลังจากฉันทามติ 5 ข้อออกมาตะวันตกโดยการนำของอเมริกา ยุแหย่สนับสนุนส่งเสริมให้ทุนคนในเครือข่ายพรรคเอ็นแอลดีของนางออง ซาน ซู จี ให้ก่อจลาจลสร้างความวุ่นวายเผาทำลายทรัพย์สินราชการแล้วพาลไปเผาทำลายโรงงานร้านค้าและทรัพย์สินของคนจีนโดยกล่าวว่าจีนสนับสนุนให้ทุนทหารทำการปฏิวัติ เมื่อประเทศอยู่ในภาวะมิคสัญญีคณะผู้บริหารแห่งรัฐ (State Administration Council=SAC) ก็ต้องปราบปรามเพื่อคุมสถานการณ์ แน่นอนการปราบปรามควบคุมสถานการณ์เลวร้ายต้องมีคนเจ็บคนตาย
ประเทศตะวันตกโดยเฉพาะสหรัฐสมคบกับอาเซียนบางประเทศซึ่งเคยมีเรื่องกับเมียนมาในประเด็นโรฮีนจาก่อนหน้านี้ ฉวยโอกาสทำให้เรื่องลุกลามบานปลายโดยการให้ทุนสนับสนุนให้จัดตั้ง “รัฐบาลสามัคคีแห่งชาติ” (National Unity Govermnent=NUG) เป็นรัฐบาลเงา และจัดตั้งกองกำลังพิทักษ์ประชาชน (People Defense Force=PDF) ขึ้นมาส่งเยาวชนคนหนุ่มสาว และนักการเมืองพรรคเอ็นแอลดีเข้าป่าไปฝึกการใช้อาวุธกับกองกำลังชาติพันธุ์บางกลุ่ม แล้วกลับมาออกประกาศสงครามประชาชนทั่วประเทศ ลอบวางระเบิดรายวัน ลอบสังหารผู้คนที่สงสัยว่าเป็นสายให้รัฐบาลทหาร วางระเบิดทำลายทรัพย์สินของต่างชาติที่ลงทุนร่วมรัฐบาลโดยเฉพาะเสาสัญญาณโทรศัพท์ถูกทำลายไปแล้ว 400 กว่าต้นหรือ 80% ของเสาสัญญาณที่มีทั้งหมดในเมียนมา
ในเวลาเดียวกันกลุ่มประเทศตะวันตกก็สมคบกับสื่อในสังกัด เสนอข่าวโจมตีใส่ร้ายกล่าวว่ารัฐบาลทหารโหดร้ายฆ่าประชาชนไปแล้ว 1,300 กว่าราย ปฏิบัติการข่าวของตะวันตกสร้างกระแสโจมตีรัฐบาลทหารอยู่ฝ่ายเดียวทำให้สหประชาชาติและอาเซียนบางชาติคว่ำบาตรเมียนมา รวมทั้งห้ามขายอาวุธให้ทหารเมียนมา ในเวลาเดียวกันตะวันตกก็ลักลอบส่งอาวุธให้ฝ่ายต่อต้านรัฐทหารผ่านทางชายแดนประเทศอินเดีย เพราะอาวุธที่ส่งให้ฝ่ายต่อต้านผ่านทางชายแดนจีนและทางชายแดนไทยไม่ได้
สมาชิกบางชาติในอาเซียนก็สนับสนุนการคว่ำบาตรที่ผลักดันโดยสหรัฐอเมริกาไม่ให้ทุกประเทศขายอาวุธให้ทหารเมียนมาและประเทศที่ปกครองในระบอบประชาธิปไตยแต่ใช้อำนาจนิยม
แต่นายฮุนเซนนอกจากไม่แคร์อเมริกาแล้วยังท้าทาย โดยออกคำสั่งให้ทำลายอาวุธที่ผลิตในอเมริกาซึ่งตกค้างอยู่ในคลังอาวุธตั้งแต่สงครามอินโดจีนทั้งหมด นอกจากนั้นรัฐบาลกัมพูชายังรื้อถอนทำลายสิ่งอำนวยความสะดวกที่กองทัพเรืออเมริกันสร้างไว้ที่ฐานทัพเรือ “เรียม” ในอ่าวไทย และเปิดทางให้จีนเข้ามาใช้ท่าเรือเรียมแทนกองเรืออเมริกัน
นายฮุนเซน ยังกล้าท้าทายสหรัฐอเมริกาและอาเซียนบางชาติ โดยการเยือนเมียนมาพูดคุยกับพลเอกมินอ่อง หล่าย อย่างสหายผู้ใกล้ชิด นายฮุนเซนถือว่าเป็นผู้นำระดับสูงสุดคนแรกที่เยือนเมียนมาหลังจากพลเอกมิน อ่อง หล่ายยึดอำนาจจากรัฐบาลของพรรคเอ็นแอลดีของนางออง ซาน ซู จี เมื่อวันที่ 1 ก.พ. 2564
ความจริงแล้วประเทศเพื่อนบ้านใกล้ชิดเมียนมาทั้งหลายมิได้รังเกียจเดียดฉันท์รัฐบาลทหารเมียนมาหรือพลเอกมิน อ่อง หล่าย ดังที่ตะวันตกและอาเซียนบางประเทศเข้าใจ ไม่ว่าจะเป็นรัสเซีย จีน อินเดีย กัมพูชา ประเทศไทย สปป.ลาว และอื่นๆ อีกหลายประเทศที่ยังไปมาหาสู่ติดต่อทำความสัมพันธ์ทางการค้ากับประเทศเมียนมา ไม่ได้คว่ำบาตรเมียนมาตามก้นตะวันตก แต่เป็นเพราะประเทศตะวันออกมีอารยะมีวัฒนธรรมทางการทูตเงียบไม่ชอบการทูตโฉ่งฉ่างอย่างตะวันตกและอเมริกาเพราะตะวันออกถือคติว่า Low Profile High Profit
จีนส่งเจ้าหน้าที่ระดับสูงนายซุน กั๋ว เจียง เป็นทูตพิเศษไปเยือนเมียนมาถึงสองครั้งเมื่อปีกลายและได้เป็นประธานในพิธีการเปิดเส้นทางรถไฟขบวนปฐมฤกษ์จากยูนนานตอนใต้ของประเทศจีนผ่านประเทศเมียนมาสู่ท่าเรือน้ำลึกทะเลอันดามันได้ตามเป้าหมาย “หนึ่งสายพานเศรษฐกิจ หนึ่งเส้นทาง”
รัฐมนตรีต่างประเทศอินเดียเดินทางมาเยือนเมียนมาพบปะเจรจากับพลเอกมิน อ่อง หล่าย ตามเป้าหมายเพิ่มพูนการค้าเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีต่างประเทศของไทย นายดอน ปรมัตถ์วินัย เดินทางเยือนเมียนมาเงียบๆ เมื่อเดือนพ.ย. ที่ผ่านมา เป็นผลให้เมียนมากลับมาเปิดชายแดนทำการค้ากับไทย เปิดชายแดนค้าขายกับจีนและอินเดียเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมานี้แหละที่เรียกว่า Low Profile High Profit เพราะหลังจากจีน ไทย และอินเดียส่งผู้แทนระดับสูงไปเยือนเมียนมา ในเดือนธันวาคมที่ผ่านพลเอกมิน อ่อง หล่าย ประกาศให้ใช้เงินหยวน เงินรูปี และเงินบาทไทย แลกเปลี่ยนซื้อขายได้ถูกต้องตามกฎหมายไม่ต้องง้อเงินดอลลาร์ของอเมริกาอีกต่อไป
ประเทศอาเซียนในกลุ่มสุวรรณภูมิ เช่น ไทย สปป.ลาว กัมพูชา ยังคบหาค้าขายกับเมียนมาไม่ขาดตอนขาดสายและปล่อยให้สมาชิกอาเซียนนอกสุวรรณภูมิบ้าตามการปั่นกระแสสงครามกลางเมืองของอเมริกาและตะวันตกโดยที่ไม่เข้าใจในบริบทสังคมตะวันออกต่อไป
นักวิชาการร่านวิชา สื่อสารมวลชนบางคนบางสำนักตำหนินายฮุนเซน และนายดอน ที่ไปเยือนเมียนมาขณะที่ทั่วโลกคว่ำบาตรและประณามรัฐบาลทหารเมียนมา สื่อบางคน บางสำนักถึงกับวิจารณ์ว่าอาเซียนแตกเป็นเสี่ยงๆ แล้ว หากคิดว่าการที่นายฮุนเซนเยือนเมียนมาถือเป็นการแหกคอกหักหน้าอาเซียนก็เป็นความคิดที่ตื้นเขินเกินไป
อาเซียนเคยมีประสบการณ์ขัดแย้งกันรุนแรงกว่านี้ในยุคสงครามอินโดจีน ยุคเผด็จทหารปกครองเมียนมา หรือความขัดแย้งเขตแดนสิงคโปร์กับมาเลเซีย และอินโดนีเซีย ตลอดถึงความขัดแย้งในทะเลจีนใต้หรือแม้แต่ความขัดแย้งเขตแดนไทย-กัมพูชา แต่สุดท้ายสมาชิกอาเซียนก็รอมชอมปรองดองสามัคคีร่วมมือร่วมแรงร่วมใจกันต่อไปตราบใดที่จัดการผลประโยชน์ร่วมกันได้
กรณีวิกฤตการเมืองในเมียนมาถือว่าเป็นเหตุการณ์เฉพาะหน้า ที่บางชาติในอาเซียนหลงทางตามก้นสหรัฐและประเทศตะวันตกเกินไป แต่ไม่ช้าไม่นานอาเซียนก็กลับมาเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันต่อไป
ในกรณีนายฮุนเซนเยือนเมียนมาถือเป็นความกล้าหาญที่ท้าทายสหรัฐอเมริกาและอาเซียนบางประเทศในห้วงเวลาที่เรียกได้ว่าหน้าสิ่วหน้าขวาน แต่อย่างน้อยนายฮุนเซนก็เป็นประธานหมุนเวียนอาเซียนที่มีภารกิจทำให้อาเซียนได้สำเหนียกว่าอาเซียน วิกฤตในเมียนมาไม่ได้เกิดขึ้นเพราะทหารใช้ความรุนแรงฝ่ายเดียว และเตือนสติอาเซียนบางชาติว่าอาเซียน “ไม่แทรกแซงกิจภายในซึ่งกันและกัน และอาเซียนยึดมั่นในฉันทามติที่ผู้นำทุกชาติสมาชิกต้องประชุมร่วมกัน ไม่เป็นเช่นนั้นจะเรียกว่า #ประชุมสุดยอดผู้นำได้อย่างไร
สุทิน วรรณบวร

รมว.กต.สาธารณรัฐกัวเตมาลา วางพวงมาลาถวายราชสักการะพระบรมศพ สมเด็จพระพันปีหลวง
ในหลวง พระราชินี เสด็จฯไปทรงบำเพ็ญพระราชกุศลอุทิศถวาย พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว และ พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
นาย ก. รับแล้ว นำ ไซยาไนด์ ให้ 'นัทปง' จ่อใช้เครื่องจับเท็จ หลังบางคนให้การไม่ตรง
ปวดหัวข้างเดียว เป็น ไมเกรน หรือ คอเสื่อม แยกให้ออกก่อนกินยาฟรีมาเป็นปี
พ่อรักลูก เสียงของทหารแนวหน้า ฝากข้อความถึงลูก

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี