บรรดาผู้นำของประชาคมอาเซียนรวม 10 ประเทศหลายรุ่นที่ผ่านมา ต่างก็มีความมุ่งมั่นที่จะให้ประชาคมอาเซียน ได้เติบโตขึ้นเป็นศูนย์กลาง หรือแกนกลางของความเป็นไปในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นการเฉพาะและขยายครอบคลุมไปจนถึงภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก หรือคาบมหาสมุทรอินโด-แปซิฟิก เป็นการทั่วไป
ซึ่งประชาคมอาเซียนเองก็ประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง จากการที่อาเซียนมีความสัมพันธ์แบบคู่เจรจา (Dialogue Partner) กับประเทศหลักๆของโลกและองค์กรร่วมมือระดับภูมิภาค เช่น สหภาพยุโรป และกลุ่มประเทศอาหรับรอบอ่าวเปอร์เซียเป็นต้น อีกทั้งอาเซียนยังมีเวทีกลางที่เรียกว่าASEAN Regional Forum-ARF เพื่อให้ประเทศต่างๆ ในภูมิภาค เช่น เกาหลีเหนือ และมองโกเลีย ได้มานั่งถกประเด็นปัญหาการเมืองระหว่างประเทศ กับประเทศต่างๆทั้งในและนอกภูมิภาค นอกจากนั้น อาเซียนยังเป็นผู้จัดการประชุมสุดยอดภาคเอเชียตะวันออกให้กับผู้นำระดับโลกของประเทศต่างๆ ไปจนถึงการจัดทำข้อตกลงเศรษฐกิจ ว่าด้วยการเปิดการค้าเสรีในระดับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ซึ่งจัดได้ว่าเวทีและกลไกดังกล่าวมักจะเน้นไปในเรื่องเศรษฐกิจการค้าเป็นสำคัญ ยกเว้นเวที ARF ซึ่งเป็นเวทีกึ่งทางการ และเป็นเวทีกลางแบบไม่เป็นพิธีการ เพื่ออำนวยให้ประเทศคู่กรณี หรือมีความขัดแย้งต่อกันสามารถนั่งจับเข่าคุยกันอย่างเป็นกันเองได้
อาเซียนในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา จึงมีภาพลักษณ์ที่ดูดี เป็นที่นับหน้าถือตา และเป็นที่หมายปองส่งผลให้ความมุ่งหวังที่จะเป็นแกนกลาง หรือผู้กำหนดสถาปัตยกรรมของภูมิภาคดังกล่าว ดูเป็นจริงเป็นจังและสมน้ำสมเนื้อ
แต่ทว่าเมื่อมาพิจารณาดูเรื่องปัญหาระดับภูมิภาคของอาเซียน ไม่ว่าจะเป็นปัญหาการใช้ทรัพยากรน้ำในลุ่มแม่น้ำโขง ปัญหาข้อพิพาททางด้านเขตแดนทางทะเลในทะเลจีนตอนใต้ ไปจนถึงการแสดงออกซึ่งท่าทีร่วมกันในเรื่องการปฏิบัติของรัฐบาลจีนปักกิ่งต่อสิทธิเสรีภาพของฮ่องกง และต่อชนกลุ่มน้อยชาวมุสลิมอุยกูร์ อาเซียนกลับไม่ได้มีท่าที และจุดยืนร่วมกัน ประเทศสมาชิกต่างไม่มีความเพียรพยายามที่จะมีท่าทีร่วมกันเพื่อช่วยเหลือประเทศสมาชิกด้วยกันในพฤติกรรมของจีนต่อลุ่มแม่น้ำโขง และพฤติกรรมของจีนในทะเลจีนตอนใต้ หรือแม้กระทั่งการสั่นคลอนเสถียรภาพของภูมิภาคโดยจีน ด้วยการข่มขู่ไต้หวัน รวมทั้งการสร้างฐานทัพเล็กใหญ่ในทะเลจีนตอนใต้ แถมยังมีข่าวคราวออกมาว่า จีนสามารถสร้างความแตกแยกให้กับหมู่เหล่าอาเซียนด้วยการใช้กัมพูชาเป็นเครื่องมือ
ล่าสุด สหรัฐอเมริกาได้กระชับความร่วมมือทางด้านความมั่นคง กับประเทศพันธมิตรในละแวก และยังได้ตั้งกรอบความร่วมมือ 4 เส้า กับญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และอินเดีย โดยใช้คำย่อว่า “QUAD” ซึ่งต่อมาได้ร่วมกับอังกฤษและออสเตรเลีย ได้ก่อตั้งกรอบความร่วมมือด้านความมั่นคงและเทคโนโลยีนามว่า “AUKUS” ซึ่งเป็นการดำเนินการของสหรัฐฯ และประเทศพันธมิตรดังกล่าว โดยมิได้บอกกล่าวต่ออาเซียนล่วงหน้า ถือเป็นการดำเนินการที่ข้ามหน้าข้ามตาอาเซียน ซึ่งกำหนดตนเองให้เป็นศูนย์กลางของความเป็นไปในภูมิภาคนี้ฝ่ายตะวันตกได้ทำเสมือนกับว่าอาเซียนไม่มีตัวตนโดยเมื่อเหตุการณ์ได้เกิดขึ้นไปแล้ว อาเซียนก็มิได้มีท่าทีใดๆ ออกมา ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องที่อาเซียนได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงมิได้ เนื่องจากความร่วมมือดังกล่าวที่นำโดยสหรัฐฯ นั้น เป็นการยันทัพการแพร่ขยายอิทธิพลของจีน ขณะที่อาเซียนก็มีความสัมพันธ์กับจีนอยู่แล้ว และยังต้องการมีความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นกับจีน อาเซียนจึงไม่ประสงค์ที่จะต้องเลือกข้างระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ซึ่งในกรอบดังกล่าว อาเซียนเองนั้นอยู่ในฐานะที่จะเป็นแม่สื่อแม่ชักเป็นตัวเชื่อมได้ แต่สุดท้ายอาเซียนก็มัวแต่นิ่งเฉยจนฝ่ายตะวันตกเลือกที่จะรุกคืบดังกล่าว
ที่สำคัญ ในช่วงปี 2564 ที่ผ่านมา ได้มีการปฏิวัติรัฐประหารที่ประเทศพม่า โดยการปฏิวัติรัฐประหารไม่ได้กุมอำนาจอย่างเบ็ดเสร็จ เพราะฝ่ายประชาธิปไตยที่สูญเสียอำนาจไป ได้รวมตัวกันออกมาต่อต้าน ทำให้พม่าดูจะเดินหน้าไปในทิศทางของการเกิดสงครามกลางเมืองมากยิ่งขึ้น ซึ่งปัญหาพม่าครั้งนี้ก็ถือเป็นภาระรับผิดชอบของอาเซียนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะพม่านั้นเป็นหนึ่งในสมาชิกของอาเซียน
อาเซียนได้มีมติร่วมกันเมื่อเดือนเมษายน 2564 ให้มีการยุติการใช้ความรุนแรง หันมาเจรจาสันติภาพ และการช่วยเหลือทางด้านมนุษยธรรมแก่ผู้ได้รับความเดือดร้อน เป็นต้น นอกจากนั้น ผู้นำอาเซียนทั้ง 9 ประเทศได้ปฏิเสธการรับรองรัฐบาลทหารพม่าผู้ทำปฏิวัติรัฐประหาร และมิให้ผู้นำทหารพม่าเข้าร่วมในการประชุมอาเซียน รวมทั้งการประชุมของอาเซียนกับมิตรประเทศต่างๆ ถือเป็นการคว่ำบาตรในระดับหนึ่ง
แต่ทว่าเมื่อต้นปี 2565 สมเด็จฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา พ่วงด้วยตำแหน่งประธานอาเซียน (ต่อจากบรูไน จนถึงสิ้นปี 2565) กลับไปข้องแวะโดยตรงกับผู้นำทหารพม่า และพูดจาในทำนองให้ท้าย เห็นดีเห็นชอบกับฝ่ายผู้นำทหารพม่า ซึ่งเป็นดำเนินการแบบข้าไปคนเดียว และสวนทางกับมติรวมของอาเซียนอย่างชัดเจน ดังนั้น ผู้นำอาเซียนอีก 8 ประเทศ ก็ยังต้องย้ำท่าทีร่วมกัน แต่ก็ยังไม่เกิดขึ้น ว่าจะทำยังไงกับสมเด็จฮุนเซน ผู้ออกนอกแถว และผู้นำทหารพม่าที่ยังมีพฤติกรรมโหดร้ายทารุณต่อคนพม่าอย่างไม่ลดละ
ทั้งหมดนี้ก็จัดได้ว่ารัฐนาวาประชาคมอาเซียนนั้นมีรอยร้าว ผุรั่ว และโคลงเคลง ดูจะอับปางลงในไม่ช้าก็คงขึ้นอยู่กับว่าผู้นำประชาคมอาเซียนหนึ่งใด จะมีจิตสำนึก และมีความกล้าหาญชาญชัยที่จะลุกขึ้นมาแก้ไขสถานการณ์นี้ ซึ่งการมัวแต่นิ่งเฉย ไม่ทำการอย่างหนึ่งอย่างใด ก็เท่ากับผู้นำทั้งหมดก็ได้ร่วมกันทำลายความเป็นประชาคมอาเซียน จะหันไปโทษผู้อื่นใดไม่ได้ ในเมื่อบรรดาผู้นำอ่อนเปลี้ย ไร้กระดูกสันหลัง ภาระของการซ่อมแซมรัฐนาวาประชาคมอาเซียน ก็คงต้องกลับมาที่พลเมืองอาเซียนเป็นสำคัญโดยเฉพาะแวดวงวิชาการ สื่อ ธุรกิจ ภาคประชาสังคม แม้กระทั่งนักการเมืองรุ่นใหม่และหัวก้าวหน้า
มันเป็นที่น่าเสียดายที่ประเทศผู้ก่อตั้งอาเซียน ที่ถือว่าเป็นพี่ใหญ่ มัวแต่นิ่งเฉย ปล่อยให้สมาชิกใหม่เด็กรุ่นหลัง อย่าง สมเด็จฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชามาทำตามอำเภอใจ ลากอาเซียนไปตามสบาย ถึงขนาดที่กล้าทำตัวเป็นผู้บ่อนทำลายอาเซียนอย่างเปิดเผย ก็ไม่มีสมาชิกประเทศไหนจะกล้าลุกมาตักเตือน ห้ามปราม
ก็คงต้องมีคำถามไปถึงบรรดาผู้นำของประเทศสมาชิกผู้ก่อตั้งประชาคมอาเซียนทั้งหลายว่าพวกท่านยังมีศักดิ์ศรี เกียรติภูมิ หลงเหลืออยู่หรือไม่? และจะปล่อยให้ประชาคมอาเซียนล้มเหลวไปต่อหน้าต่อตา ด้วยฝีมือของกัมพูชา และพม่าหรือไร?
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี