เวลานี้ มิตรรักแฟนเพลงหรือที่ถูกเรียกว่า “ติ่งลุงตู่” ดูจะวิตกกังวลต่ออำนาจต่อรองที่เพิ่มขึ้นของกลุ่มธรรมนัส และการวางหมาก “ควบ 2 พรรค” ของ “ลุงป้อม” ว่า
จะเป็นภัยต่อการอยู่ในอำนาจของ “ลุงตู่” หรือไม่มี “สัญญาณ” หลายอย่าง ให้ลองจับดู
1) นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่าพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม รับทราบรายงานรัฐสภาที่คาดว่า จะพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมืองในเดือนกุมภาพันธ์นี้ โดยนายกฯ ขอให้สมาชิกรัฐสภาทุกคน ร่วมกันผลักดันกฎหมายที่มีความสำคัญ ซึ่งรัฐบาลมีความตั้งใจให้กฎหมายของไทยเป็นไปตามหลักสากล รวมทั้งมติการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่จะเกิดขึ้น ทั้งนี้ นายกฯ ขอให้ทุกกระทรวงเตรียมความพร้อมชี้แจง ซึ่งรัฐมนตรีเจ้ากระทรวงต้องช่วยชี้แจงเองด้วย โดยนายกฯ ย้ำว่าวันนี้การทำงานของรัฐบาล ไม่มีคำว่าพรรคร่วม มีแต่พรรคร่วมรัฐบาลเพียงอย่างเดียว และเพียงหนึ่งเดียว สัมพันธ์ 3 ป.ปึ้ก-วอนหยุดยุยงแตกแยก
นายธนกร ยังตอบคำถามสื่อมวลชนตามที่ พล.อ.ประยุทธ์ มอบหมาย ถึงความสบายใจหลังจากได้ร่วมรับประทานอาหารและพูดคุยกับพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.)ไปแล้ว รวมทั้งอยากให้ยืนยันอีกครั้ง ว่า พี่น้อง 3 ป.ไม่แตกแยกและไม่ขัดแย้งกัน ว่า เรื่องนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ย้ำว่า ไม่ได้มีปัญหาใดๆ กัน ขออย่ายุยงแตกแยก บิดเบือน ในสื่อหลายช่องทาง ซึ่งต้องช่วยกันทำงานให้ได้ต่อไป
2) นายนิโรธ สุนทรเลขา ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล หรือ วิปรัฐบาล ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่เกิดปัญหาการเมืองภายในพรรคพลังประชารัฐ ที่อาจส่งผลกระทบต่อเสียงของรัฐบาลในสภาผู้แทนราษฎร โดยยอมรับว่าวิกฤต เพราะปกติเสียงรัฐบาลเกินกึ่งประมาณ 20 กว่าเสียง เมื่อมีสมาชิกแยกออกไป 21 เสียง ก็จะทำให้มีปัญหา แต่ตนคิดว่า ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า อดีตรมช.เกษตรและสหกรณ์ และอดีตเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ แม้จะออกไปอยู่พรรคใหม่ ก็ยังคงสนับสนุนรัฐบาลต่อ โดยได้ยืนยันกับตนว่า เรายังเป็นพี่น้องร่วมทำงานกันเหมือนเดิม ยังพูดคุยกันได้เหมือนเดิม
“ผมกังวล และคิดว่าเสียงรัฐบาลในสภาตอนนี้วิกฤต แต่พรรคร่วมรัฐบาลก็เตรียมความพร้อมคิดว่าน่าจะผ่านอุปสรรคปัญหาไปได้” ประธานวิปรัฐบาลกล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่าในฐานะประธานวิปรัฐบาลจะเตรียมรับมือเสียงวิกฤตนี้อย่างไร โดยเฉพาะกฎหมายลูกที่กำลังจะเข้าสู่การพิจารณาของสภา นายนิโรธกล่าวว่า คิดว่า
ฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านจะร่วมมือกันในเรื่องดังกล่าว เพราะถือว่าเป็นกฎหมายสำคัญ เป็นกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญในการเลือกตั้ง เชื่อว่าผู้แทนราษฎรจะช่วยกัน ให้ผ่านไปด้วยดีประเด็นนี้คิดว่าไม่น่ามีปัญหา
เมื่อถามว่า ในฐานะประธานวิปรัฐบาล ยอมรับหรือไม่ว่าการประสานหรือคุมเสียงในสภา ทำงานแบบหืดขึ้นคอ นายนิโรธ กล่าวว่า ตนเข้ามาในช่วงรอยต่อ และเป็นช่วงปีที่ 3 สิ่งที่ไม่คาดฝัน อะไรก็เกิดขึ้นได้ แต่ตนก็ได้พยายามทำหน้าที่อย่างเต็มกำลัง เต็มความสามารถ จะเห็นได้ว่าที่ผ่านมาสภายังไม่ได้ล่มจริงๆ และก็ผ่านไปได้ กฎหมายสำคัญ 4 ฉบับก็ผ่าน
เมื่อถามว่าโดยสรุปวันนี้ เสียงในสภาที่น่าห่วงคือ สัดส่วนของพรรคพลังประชารัฐ นายนิโรธย้ำว่า คงไม่น่ากังวล อย่างที่ร.อ.ธรรมนัส แถลงไว้ และย้ำว่า ยังทำงานสนับสนุนรัฐบาลเหมือนเดิม ลุงตู่ เหมือนเดิม เมื่อถามว่ากรรมการบริหารพรรคที่ถูกขับออกไปจะต้องมีการประชุม และตั้งเข้ามาใหม่ ใช่หรือไม่ นายนิโรธ กล่าวว่า ต้องตั้งในที่ประชุมใหญ่ โดยตำแหน่งนายทะเบียนและเลขาธิการพรรค หัวหน้าพรรคสามารถมอบหมายให้บุคคลที่กรรมการบริหารพรรค รักษาการหรือปฏิบัติหน้าที่แทนได้ แต่ต้องเป็นกรรมการบริหารพรรคด้วย โดยหัวหน้าพรรคไม่ต้องเรียกประชุม ส่วนการขับผู้แทนออกจากพรรค ทางพรรคจะต้องนำเสนอรายละเอียดต่อ กกต. ภายใน 15 วัน
“หลังเกิดเหตุวิกฤตภายในพรรคพลังประชารัฐ หัวหน้าพรรคบอกว่าไม่มีปัญหาในเรื่องขององค์ประชุม และขอให้ช่วยกันทำงานให้กับพรรคและรัฐบาล เป็นการทำงานให้กับสภา และรัฐบาล”
3) นายวันชัย สอนศิริ สมาชิกวุฒิสภา ให้สัมภาษณ์ถึงเสถียรภาพของรัฐบาล ภายหลังที่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) มีมติขับ 21 สส. ออกจากพรรค ว่า หากรัฐบาลจะเดินหน้าทำงานทั้งในและนอกสภาได้ จะต้องมีเสียงข้างมากเป็นสำคัญ ซึ่งจะต้องเป็นเสียงที่ไม่ปริ่มน้ำ
ในกรณีที่พรรคพลังประชารัฐขับ 21 สส. ออกจากพรรค ส่งผลให้พรรคพลังประชารัฐนั้นมีเสียงข้างมากเกินพรรคร่วมฝ่ายค้านไม่เกิน 20 เสียง และโดยปกติแล้วสภาฯ ก็ล่มอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งประกอบกับเสียงที่ปริ่มน้ำอยู่ในขณะนี้ ตนมองว่าเป็นเรื่องที่อันตรายมากในการดำเนินกิจกรรมในฐานะฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติ หรือเรียกได้ว่ารัฐบาลกำลังเดินอยู่บนเส้นด้าย ซึ่งมีแนวโน้มสูงมากหากฝ่ายค้าน หันไปร่วมมือกับ 21 สส. ที่ถูกขับดำเนินกิจกรรมอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อไม่ให้กฎหมายที่สำคัญของรัฐบาลไม่ผ่าน หรือการไม่เข้าร่วมเป็นองค์ประชุม ดังนั้น เหตุการณ์ที่ยกตัวอย่างขึ้นจึงเป็นเหตุการณ์ที่สุ่มเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นกับรัฐบาลได้
นอกจากนี้ ยังมีแนวโน้มสูงที่รัฐบาลจะเดินหน้าทำงานไปด้วยความยากลำบาก ซึ่งอาจจะถึงขั้นเดินต่อไปไม่ได้ โดยส่วนตัวมองว่ารัฐบาลมีทางออกเพียง 2 ทางเท่านั้น คือ 1.หากเดินต่อไปไม่ได้ ให้รัฐบาลแสดงออกด้วยการรับผิดชอบโดยการลาออก 2.การประกาศยุบสภาที่หลายฝ่ายมองว่ายังไม่สามารถยุบสภาได้ในขณะนี้
เนื่องจากกฎหมายที่สำคัญ เช่น กฎหมายลูกยังไม่ผ่านสภาส่วนตัวมองว่าหากรัฐบาลเดินหน้าไม่ได้จริงๆ ก็จำเป็นที่จะต้องยุบสภา หากรัฐบาลไม่หาเสียงมาเติมให้มากขึ้น ซึ่งหากรัฐบาลไม่สามารถที่จะทำได้รัฐบาลจะต้องเดินบน 2 เส้นทางนี้แน่นอน
“แต่อย่างไรก็ตาม หากรัฐบาลสามารถประคับประคองสถานการณ์ในช่วงนี้ผ่านไปได้ ในเดือน ก.พ.นี้ จะเป็นช่วงการปิดสมัยประชุม และจะเปิดสมัยประชุมอีกครั้งในเดือน พ.ค.นี้ ซึ่งในเดือน พ.ค.ไปจนถึงเดือน ก.ค.ผมมองว่าจะเป็นช่วงที่เกิดความรุนแรงทางการเมืองที่สุด อาจถึงขั้นเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใดอย่างหนึ่ง เนื่องจากสถานการณ์ทางการเมืองจะมีความตึงเครียดมากยิ่งขึ้น เนื่องจากเป็นช่วงที่ฝ่ายค้านสามารถเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจตามมาตรา 151 ได้ เป็นช่วงในการเริ่มเสนอร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี และอาจเป็นช่วงในการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อตัดอำนาจ สว.ในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี” นายวันชัย กล่าว
4) นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร พรรคเพื่อไทยประเมินว่า เมื่อดูสถานการณ์ในปัจจุบันหลังจาก สส.กลุ่ม ร.อ.ธรรมนัสออก 21 เสียง ทำให้เรือเหล็กของ พล.อ.ประยุทธ์ มีเสียงทั้งหมด 244 เสียง จากพรรคพลังประชารัฐ 94 เสียง พรรคภูมิใจไทย 59 เสียง พรรคประชาธิปัตย์ 49 เสียง พรรคชาติไทยพัฒนา 12 เสียง พรรคเศรษฐกิจใหม่ 6 เสียง พรรครวมพลังประชาชาติไทย 5 เสียง พรรคพลังท้องถิ่นไท5 เสียง พรรคชาติพัฒนา 4 เสียง ที่เหลือเป็นกลุ่มพรรคเล็กอีก 10 เสียง ส่วนฝ่ายค้านมี 208 เสียง พรรคเพื่อไทย131 เสียง พรรคก้าวไกล 52 เสียง พรรคเสรีรวมไทย 10 เสียงพรรคประชาชาติ 7 เสียง พรรคเพื่อชาติ 6 เสียงพรรคพลังปวงชนไทย 1 เสียง พรรคไทยศรีวิไลย์ 1 เสียง และกลุ่มร.อ.ธรรมนัส 21 เสียง ขณะนี้มีสส.ปฏิบัติหน้าที่ในสภาฯ 437 เสียง กึ่งหนึ่ง 237 เสียง และเมื่อตัดเสียงประธานและรองประธานสภาฯ 3 เสียงออก รัฐบาลจะมีเสียงเกินกึ่งอยู่ 4 เสียง
นายยุทธพงศ์ ระบุว่า การที่พล.อ.ประยุทธ์ มีเสียงเกิน 4 เสียง จะทำให้เกิดวิกฤตทางการเมืองเพราะถ้าในสมัยประชุมนี้ ฝ่ายค้านยื่นอภิปรายทั่วไป ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 152 เป็นการอภิปรายโดยไม่มีการลงมติ ดังนั้นสมัยประชุมนี้รัฐบาลก็คงผ่านไปได้ แต่สภาฯ จะอับอายล้มซ้ำซาก ขณะเดียวกันวันที่ 22 พ.ค. 65 จะมีการเปิดสมัยประชุมสภาฯ ในช่วงนี้ฝ่ายค้านยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจตามมาตรา 151 ก็ต้องคาสภาฯไว้ พล.อ.ประยุทธ์ จะยุบสภาไม่ได้ ต้องให้อภิปรายและลงมติเสร็จสิ้นก่อนถึงจะยุบสภาได้ ดังนั้น พล.อ.ประยุทธ์ จะเจอเหตุการณ์เหมือนเดือนกันยายน 64 ที่ พล.อ.ประยุทธ์เกือบเอาตัวไม่รอด จนเกิดเหตุการณ์ที่เขานินทากันว่าต้องยกมือไหว้ขอเสียงสส.กว่าจะผ่านได้ก็แทบเท่าตัวไม่รอด
“ถ้าไปไม่รอดพล.อ.ประยุทธ์ ก็ต้องยุบสภาฯก่อนวันที่ 22 พฤษภาคม 65 เพราะที่เกินอยู่ 4 เสียง พรรคเล็กพรรคน้อยประมาณ 30 เสียง ขอถามว่า 4 เสียงถ้าโดนเบี้ยวพล.อ.ประยุทธ์ต้องน็อกกลางสภาฯ เพราะยุบสภาไม่ได้ และต้องออกอย่างเดียว เพราะได้เสียงไม่ไว้วางใจมากกว่ากึ่งหนึ่ง และรู้อยู่แล้วว่ากลุ่มพรรคเล็กสนิทสนมกับ ร.อ.ธรรมนัสอยู่แล้ว สุดท้าย พล.อ.ประยุทธ์ก็ต้องยุบสภาก่อนวันที่ 22 พฤษภาคม 65 เพื่อไม่ให้ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ” นายยุทธพงศ์ กล่าว
สรุปการจับสัญญาณ :
1. เวลาที่จะอยู่ในอำนาจของ “ลุงตู่” มีความเสี่ยงมาก ว่า จะสั้นลงทุกทีๆ ปลายทางอยู่ที่การอภิปรายไม่ไว้วางใจ
2. ช่วงเวลานี้จึงเป็นช่วงเวลา “เจรจา” หาจุดลงตัว ระหว่าง ป.ป้อม กับ ป.ประยุทธ์ ธรรมนัส-เป็นเพียงเป้าหลอก เกมทั้งหมดคุมโดย “ลุงป้อม”
3. “ลุงตู่” จะเดินตามเกมที่ “ลุงป้อม” ตั้งกระดานขึ้นไหม คือ หันมาใส่ใจ ส่งเสริม และเอื้ออารีกับ “นักการเมือง”ให้มากขึ้น เพราะแม้จะเชื่อว่า นักการเมืองพวกนี้ ส่วนใหญ่ได้รับเลือกมาเพราะคะแนนนิยมลุงตู่ บวกกติกาที่เอื้อ แต่นั้นคือการลงสนามครึ่งแรก การลงสนามครึ่งหลังต้องประเมินให้แม่นยำว่า กระแสลุงตู่ยังดีเท่าเดิมหรือไม่ การเกิดขึ้นของพรรคการเมืองใหม่ๆ เปลี่ยนรูปเกมไปบ้างหรือเปล่า หากลุงตู่ไม่หันมา “สร้างสัมพันธภาพ” กับฝ่ายการเมือง ฝ่ายการเมืองอย่างพรรคพลังประชารัฐ และ “ลุงป้อม” ในร่าง “ธรรมนัส” จะกดดันอย่างไร
เส้นตายคือ ต้องมีคำตอบก่อน “อภิปรายไม่ไว้วางใจ” ไม่เกินจากนั้นแน่ๆ !!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี