ท่ามกลางกระแสที่ถูกปล่อยออกมาว่าอาจจะมีการยุบสภาเร็วๆนี้บวกกับความขัดแย้งภายในพรรคพลังประชารัฐ รวมถึงประเด็นปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างพรรคร่วมในช่วงสองสามอาทิตย์ที่ผ่านมา ตลอดจนปัญหาการเมืองระหว่างประเทศจากที่ทูต 25 ประเทศมาพบนายกรัฐมนตรีกรณีรัสเซีย นับว่าน่าจะเขย่ารัฐบาลอยู่ไม่น้อย แต่เหตุใดพลเอกประยุทธ์ยังคงเดินเกมนิ่งอยู่ได้แบบสบายๆ
ก่อนหน้านี้แม้จะมีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายในพรรคพลังประชารัฐทั้งกรณีความไม่ลงรอยกันของบ้านใหญ่เมืองชล รวมไปถึงปัญหาขั้วอำนาจในบ้านพลังประชารัฐ ภายหลังจากมีการขับร้อยเอกธรรมนัสออกจากพรรค ที่ดูเหมือนอาจจะทำให้กลุ่ม 3 ป. ต้องแตกหรือไม่ แต่สุดท้ายก็ยังไม่สามารถทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างพลเอกประยุทธ์กับพลเอกประวิตรแตกกันได้ แม้หลายฝ่ายจะประเมินว่าก็ไม่น่าจะเหมือนเดิม และแม้พรรคเศรษฐกิจไทยที่กลุ่มร้อยเอกธรรมนัสย้ายไปอยู่ก็ยังคงยืนยันสนับสนุนรัฐบาลอยู่แต่ก็ไม่น่าจะคุมง่ายเหมือนอยู่ในบ้าน
ปกติงานเลี้ยงสังสรรค์กระชับมิตรจะถูกมองเป็นการสร้างภาพมากกว่าหารือกันจริงๆ แต่การเลี้ยงสังสรรค์พรรคร่วมรัฐบาลที่พึ่งจัดขึ้นเมื่อเย็นวันอังคารที่ผ่านมาอาจไม่เป็นเช่นนั้น เพราะปรากฏเชิญเฉพาะพรรคแกนนำหลักสี่พรรคเท่านั้นซึ่งแตกต่างจากทุกครั้ง จึงถูกมองว่าน่าจะมีอะไรที่มากกว่าเพียงต้องการภาพหรือกระชับมิตรเท่านั้น อะไรคือสาเหตุ
หนึ่งในที่มา หลายฝ่ายคาดการณ์จากปมความขัดแย้งภายในพรรคร่วมในช่วงหลังๆ หลายต่อหลายครั้ง แต่ก็ยังไม่มีอะไรหนักหนา จนล่าสุดในเวทีการประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง สส. และร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง ซึ่งแน่นอนว่า ความสำคัญของกฎหมายลูกนั้นเปรียบเสมือนกับกฎและกติกาของการแข่งขันเลือกตั้งสมัยหน้าเลยก็ว่าได้ แต่ในวาระแรกคือการสรรหาประธานกรรมาธิการ
ซึ่งก็คือ รัฐมนตรีสาธิต ปิตุเตชะ จากพรรคประชาธิปัตย์
หากมองในมุมของพรรคร่วมรัฐบาลก็คงไม่ใช่เรื่องที่เสียหายอะไรนัก เพราะเอาเข้าจริงพรรคประชาธิปัตย์ก็ถือเป็นพรรคร่วมรัฐบาล ดังนั้นการที่ตำแหน่งประธานกรรมาธิการดังกล่าวไปอยู่กับพรรคประชาธิปัตย์ จึงไม่ใช่เรื่องที่เสียหายถึงขนาดยอมรับไม่ได้ แต่ก็คงไม่ใช่ทั้งหมด
หากมองในมุมของพรรคพลังประชารัฐ พรรคประชาธิปัตย์เองก็ไม่ใช่พรรคสาขาของพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งพรรคพลังประชารัฐเคยพลาดท่าพรรคประชาธิปัตย์มาแล้วเมื่อครั้งเลือกประธานสภาและทำให้การคุมเกมในสภาจำเป็นต้องพึ่งพรรคประชาธิปัตย์มาตลอดสามปี นอกจากนี้ทั้งสองพรรคนี้ก็ต้องขับเคี่ยวกันในศึกเลือกตั้งครั้งหน้าอยู่ดี ความได้เปรียบเสียเปรียบของกติกาย่อมมีผลต่อคะแนนเสียง
แม้จะได้มีกติกาตายตัว แต่โดยปกติประธานน่าจะมาเป็นตัวแทนจากพรรคหลักซึ่งน่าจะเป็นพรรคพลังประชารัฐซึ่งก็ได้มีการเตรียมการกันมาแล้วจากบิ๊กป้อมเองที่จะส่งนายไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ มาเป็นประธานเพื่อคุมเกมในการร่างกฎหมายลูก ซึ่งการวางเกมให้นายไพบูลย์ น่าจะเป็นเรื่องง่ายมากกว่าโหวตอภิปรายในสภาด้วยซ้ำเพราะนอกจากฐานคะแนนสส.ในกมธ.ซีกรัฐบาลแล้ว ยังมีฐานจากสว. และฐานจากตัวแทนรัฐบาลในกมธ.อีก แต่เหตุใดจึงไม่ง่ายอย่างที่คิด
เมื่อจู่ๆ ตัวแทนพรรคก้าวไกลเสนอชื่อนายสาธิต พร้อมกับมีเสียงยกมือจากพรรคร่วมรัฐบาลอื่นๆ รวมทั้งฝ่ายค้านด้วย ยังสามารถเอาชนะการเสนอชื่อของตัวแทนพรรคพลังประชารัฐได้ เรื่องนี้จึงไม่ได้ผลเพียงแค่นายสาธิตได้
การที่เก้าอี้ประธานกรรมาธิการไปตกอยู่ในกำมือของพรรคประชาธิปัตย์นั้นอาจเป็นเพราะว่า ได้รับแรงหนุนจากฝ่ายค้านด้วยส่วนหนึ่ง ผลคะแนนที่ออกมาจึงแซงนายไพบูลย์ไปได้ในท้ายที่สุด แต่มากกว่านั้นยังเป็นการแสดงให้เห็นว่าหากพรรคการเมืองอื่นร่วมโหวตกันจริง อาจมีคะแนนเหนือพลังประชารัฐรวมสว.ด้วย และนี่จึงนับเป็นครั้งแรก และสำเร็จด้วย
จะมีการลอยแพพลังประชารัฐหรือ?
ที่ผ่านมาจะเห็นพรรคฝ่ายค้านขย่มรัฐบาลมาตลอดสามปีแต่ก็ยังไม่สามารถทำอะไรรัฐบาลได้ แต่ในระยะหลังมานี้พรรคพลังประชารัฐเอง กลับเป็นผู้โดนเขย่าแต่เพียงผู้เดียว ทั้งภายในพรรคและระหว่างพรรคร่วม
แต่จะมีแรงเพียงพอที่จะทำให้พลเอกประยุทธ์จะตัดสินใจยกธงขาว และก้าวลงจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีก่อนเวลาหรือไม่?
ก่อนหน้านี้รัฐบาลสามารถผ่านศึกในสภาฯรอบล่าสุดมาได้ก็จริง แต่ก็ต้องยอมรับว่า ศึกในสภาฯ ที่ผ่านมาล่าสุดนี้ ยังไม่สามารถพิสูจน์อะไรได้ เพราะไม่ได้มีการวัดเสียงแต่อย่างใดผลกระทบจากการขับ สส. ออกในช่วงก่อนหน้าจึงยังไม่เป็นที่ประจักษ์ว่ามีผลขนาดไหน เพราะยังไม่ถูกทดสอบ แต่ในการอภิปรายในสมัยหน้าในช่วงเดือนพฤษภาคม จะเป็นตัวบ่งชี้และเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า ในการอภิปรายในสภาฯ หากรัฐบาลต้องอยู่ในสถานการณ์ที่กดดัน จะสามารถผ่านไปได้หรือไม่?
ดูเหมือนการเดินเกมเขย่า นายกรัฐมนตรีจะเปลี่ยนไป?
เพราะการเดินเกมฝ่ายค้านที่หันมาจับมือเป็นมิตรกับพรรคร่วมรัฐบาลที่ไม่ใช่พลังประชารัฐในบางเรื่อง และการปล่อยกระแสข่าวล่าสุดว่าพลเอกประยุทธ์ อาจหมอบไพ่ และยกธงขาว ก่อนศึกอภิปรายจะมาถึง กำลังจะบีบการตัดสินใจของนายกฯมุ่งสู่ทางใด
อยู่ต่อจนครบวาระปีหน้า? ยุบสภาปลายปี? นายกฯลาออก? หรือ ยุบสภาหนีอภิปราย?
หากพลเอกประยุทธ์เลือกที่จะก้าวลงโดยวิธีการลาออกโดยไม่ยุบสภา ด้วยเหตุผลใดก็ตาม ถ้าตัดสินใจเช่นนั้นจริง อาจมีความหมายโดยนัยว่า ได้มีการเตรียมรายชื่อผู้ที่เหมาะสมกับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไว้แล้วหรือไม่ ? แต่ในความเป็นจริง 3 ป. จะเลือกกลยุทธ์เดินเกมแบบเปลี่ยนม้ากลางศึกหรือ? ซึ่งต้องยอมรับว่าเป็นการกระทำที่เสี่ยงมาก ทั้งวิธีการเฟ้นหาตัวนายกฯที่จะมาดำรงตำแหน่งในตอนนี้ก็ไม่สามารถเรียกได้อย่างเต็มปากว่า สามารถควบคุมได้ เพราะต้องผ่านกระบวนการ จึงมีโอกาสอยู่บ้างที่ผลสุดท้ายอาจไม่เป็นดั่งหวัง อีกทั้งไม่มีอะไรการันตีว่าคนใหม่ที่เข้ามาดำรงตำแหน่งแทนที่จะสามารถฝากความหวังได้ และหากคุมไม่ดีจะมีผลต่อการคุมเกมช่วงเลือกตั้งได้
หรือหากพลเอกประยุทธ์ รวมทั้งพี่ใหญ่คนอื่นๆ ประเมินแล้วว่าเรื่องประเด็นนายกฯ 8 ปี ไม่ส่งผล แต่อาจจะลงเพราะรัฐบาลไม่สามารถไปต่อได้ อาจเพราะเสียงในสภาฯ หรือปัญหาใดๆ ก็แล้วแต่ การตัดสินใจยุบสภาก่อนอภิปราย ก็คงเป็นทางออกที่ไม่แย่นัก หากการวางหมากมาถึงทางตันไม่สามารถแก้ไขได้ การเลือกที่จะวางหมากใหม่บนกระดานเปล่าอาจง่ายกว่า?
แต่อย่าลืมว่า สถานการณ์ของความไม่สงบ ไม่ว่าจะทั้งจากสงครามธรรมชาติซึ่งเกิดขึ้นจากไวรัส หรือ สถานการณ์ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นจากสงครามของประเทศมหาอำนาจที่ไม่รู้ว่าจะลุกลามใหญ่โตแค่ไหนหรือจะลุกลามมายังสงครามทะเลจีนใต้ใกล้บ้านเราหรือไม่? ซึ่งพลเอกประยุทธ์ในฐานะชายชาติทหารแล้วคงไม่ยอมก้าวลงจากตำแหน่งทั้งที่สถานการณ์ยังเป็นเช่นนี้
นอกจากนี้ หากคิดจะยุบสภา เพื่อให้เกิดการเลือกตั้งใหม่เร็วๆ นี้ ต้องถามว่า 3 ป. และฝั่งพปชร.พร้อมแล้วหรือ? อย่าลืมว่าผู้มีอำนาจคือผู้กำหนดเกมและวันเลือกตั้งเสมอ จึงยากที่จะเชื่อว่ายุบก่อนที่จะพร้อมหรือก่อนที่จะเตรียมการลงตัวแล้วอีกทั้งพึ่งจะประกาศเตรียมเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.และนายกเมืองพัทยาในเดือนพฤษภาคมอยู่เลย
นอกเสียจากมีการเตรียมการ หรือ เตรียมผู้มารับช่วงต่อไว้แล้ว?
หากสถานการณ์โดยรอบเป็นเช่นนั้นจริงก็ต้องมากางรายชื่อดูว่า มีรายชื่อใดบ้าง ที่เหมาะสมจะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ที่จะต้องมีทั้งบารมีและประสบการณ์ด้านการเมือง รวมถึงจะต้องสามารถทำงานกับทุกฝ่ายได้อย่างไร้รอยต่อเพื่อให้ประเทศชาติสามารถเดินหน้าต่อไปได้ และไม่กลับมาสู่วังวนเดิม
อย่างไรก็ตามการที่พลเอกประยุทธ์จะถอยหรือไม่ ก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับปัจจัยจากนายกฯ เพียงอย่างเดียว ปัจจัยรอบด้านก็มีผลเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการรวมกลุ่มก้อนของประชาชนประท้วงการทำงานของรัฐบาลที่ตอนนี้ดูแล้วกระแสค่อนข้างจะแผ่วลงเรื่อยๆ รวมถึงการทำหน้าที่ของฝ่ายค้านเองก็เช่นกันที่ก็ต้องยอมรับว่าที่ผ่านมายังไม่สามารถทำอะไรรัฐบาลได้เลย แต่ยังมีปัญหาเรื่องเศรษฐกิจปากท้อง หนี้ชาวนา และปัญหาราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ที่กำลังก่อตัวเป็นปัญหาโดยตรงต่อรัฐบาล
เมื่อลองคำนวณเสียงสนับสนุนในสภาฯของพลเอกประยุทธ์ พบว่ามือโหวตของพลเอกประยุทธ์อาจจะไม่พอ หรือหากมากพอ ก็คงเรียกได้ว่าอยู่ในขั้นปริ่มน้ำและก็ไม่แน่ด้วยว่าเสียงเหล่านั้นจะอยู่ข้างพลเอกประยุทธ์ ไปจนถึงศึกอภิปราย
แต่เมื่อนึกย้อนกลับไปในสมัยอภิปรายครั้งก่อนๆ อาจมีบางครั้งที่พลเอกประยุทธ์อยู่ในสถานการณ์ที่ลำบากแต่ก็ผ่านมาได้ทุกครั้งเสียงที่เหมือนจะไม่เพียงพอเมื่อถึงเวลาจริงๆ ก็มีเสียงที่คาดไม่ถึงมาคอยสนับสนุน ไม่ว่าเสียงที่โหวตให้นั้นจะเป็นมือของฝ่ายรัฐบาลหรือฝ่ายค้านก็ตาม ความเป็นไปได้ที่พลเอกประยุทธ์จะยกธงขาวหนีศึกซักฟอกก็คงจะเป็นไปได้ยาก หรือหากจะยอมถอยจริงๆ ก็คงเป็นการตัดสินใจจากเหตุผลอื่นมากกว่า
สถานการณ์บ้านเมืองที่ยังต้องการความมั่นคง จึงเป็นไปได้ยาก ที่กองทัพจะทำให้สั่นคลอนในสภา เพราะเหตุบ้านการเมืองในตอนนี้ไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่ปกติ มีความไม่มั่นคงของประเทศจากทั้งการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด ที่เพิ่มมากขึ้นจนน่าตกใจ รวมถึงวิกฤตรัสเซีย-ยูเครน ที่อาจลามมาเอเชียได้ และจะส่งผลต่อเศรษฐกิจและความมั่นคงในขณะเดียวกัน
โอกาสที่การเลือกตั้งครั้งหน้าจะยังมีชื่อของพลเอกประยุทธ์ ในการเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ก็ยังเป็นไปได้ต่อ? จึงยังมองไม่ออกว่าจะยุบก่อนตอนนี้ด้วยสาเหตุอะไร
สถานการณ์ต่อจากนี้ จึงมีความเป็นไปได้ว่า น่าจะเกิดการเจรจาภายในพรรคร่วมเพื่อหาจุดที่ลงตัวในการทำงานต่อไปมากกว่า แต่ภายในพรรคพลังประชารัฐ น่าจะมีการขยับตัวครั้งใหญ่อย่างแน่นอน เพราะแม้ว่าพลเอกประยุทธ์จะยังอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ได้ยากลำบาก แต่หากจะนิ่งเฉย ในขณะที่ฝ่ายรอบด้านกำลังขยับ ก็คงจะเป็นนิ่งนอนใจจนเกินไปและอาจส่งผลเสียตามมาในภายหลังได้ แต่การขยับจะเกิดขึ้นในรูปแบบไหน อีกไม่นานคงได้รู้ ไม่แน่ว่าหลังจากการประชุมใหญ่ของพรรคพลังประชารัฐ ที่กำลังจะจัดขึ้นในต้นเดือนหน้า คงได้รู้แนวทางที่ชัดเจนมากขึ้นหรือไม่ ?
“คนผู้หนึ่งบากบั่นดิ้นรนชั่วชีวิต บางครั้งไม่ได้เพราะชื่อเสียงลาภยศ ...
ยังมีอีกประการหนึ่ง ... เพราะอุดมการณ์”
(โกวเล้ง จาก ซาเสี่ยวเอี้ย)
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี