เมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน ดร.มานะ นิมิตรมงคล เลขาธิการองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) หรือ ACT ได้โพสต์สเตตัสเฟซบุ๊คส่วนตัวเรื่อง กทม. ไม่ปราบคอร์รัปชันแล้วจะพัฒนาได้อย่างไร? โดยถึงกับเริ่มต้นบทความด้วยคำว่า “เหนื่อยใจ” เลยทีเดียว ดร.มานะอธิบาย ต่อว่า ที่เหนื่อยใจก็เพราะไม่เห็นผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. จะให้ความสำคัญกับเรื่องการต่อต้านคอร์รัปชันเท่าไหร่เลย ทั้งๆที่ทุกคนก็รู้กันดีว่า คอร์รัปชันเป็นปัญหาใหญ่มากใน กทม. เป็นรูรั่วขนาดใหญ่ของงบประมาณมหาศาลที่ กทม. ใช้ในแต่ละปีกว่า 8 หมื่นล้านบาท นี่ยังไม่รวมผลประโยชน์จากการให้เอกชนเช่าที่ดิน ทรัพย์สิน ให้สัมปทาน และการออกใบอนุญาตสำหรับประกอบกิจกรรมต่างๆ อีกมากมาย โดยได้สรุปให้เห็นภาพชัดๆ ว่า การคอร์รัปชันที่ใหญ่ๆ ใน กทม. มีทั้งหมด 4 ประเภท ได้แก่
หนึ่ง รีดไถประชาชน พ่อค้าแม่ค้า นักธุรกิจ เช่น รีดไถค่าออกใบอนุญาตอนุมัติในการสร้างและต่อเติมบ้าน - อาคาร - ร้านค้า - อาคารพาณิชย์ - หมู่บ้านจัดสรร - คอนโดฯ
สอง เรียกรับส่วยสินบนจากผู้ประกอบการแลกกับการทำผิดหรือจ่ายภาษีเข้ารัฐน้อยลง เช่น เรียกเงิน
ใต้โต๊ะจากคนค้าขายแลกกับการจ่ายภาษีป้าย ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างต่ำกว่าเป็นจริง
สาม โกงเงินหลวงในการจัดซื้อจัดจ้างและการให้สิทธิ์ สัมปทานแก่เอกชน เช่น คดีรถและเรือดับเพลิง กรณีอุโมงค์ไฟลานคนเมือง 39 ล้านบาท กรณีอื้อฉาว เช่น สัมปทานรถไฟฟ้า ค่าดูแลสวนสาธารณะ การจัดอีเว้นท์โดยส่วนกลางหรือสำนักงานเขต
สี่ ใช้อำนาจในทางมิชอบ เช่น กรณีปล่อยให้มีตลาดนัดเถื่อน เช่น กรณีป้าทุบรถที่เขตสวนหลวง คดีลักลอบทิ้งขยะที่ศูนย์กำจัดขยะหนองแขม กรณีปล่อยให้เอกชนสร้างคอนโดฯหรูแต่เปิดใช้ไม่ได้ ที่ซอยอโศกและซอยร่วมฤดี
และได้กล่าวปิดท้ายอีกครั้งว่า “การเลือกตั้งในเมืองหลวงของประเทศ หากยังเน้นขายฝันเช่นวันนี้ก็อย่าหวังให้ประเทศไทยปลอดคอร์รัปชันได้เลย...ขอบ่นดังๆ ว่าเหนื่อยใจครับ”
ผมถูกใจบทความนี้ของ ดร.มานะ มาก เพราะโดนใจผมตั้งแต่ประโยคแรกจนถึงประโยคสุดท้ายเลยครับ เพราะผมเฝ้าติดตามดูการหาเสียงของผู้สมัครรับเลือกตั้งในการเลือกตั้งครั้งต่างๆ ที่ผ่านมาหลายปี ตั้งแต่เลือกตั้งทั่วไประดับประเทศ จนถึงการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ในครั้งนี้
ผมพบว่า ผู้สมัครผู้ว่าฯ ส่วนใหญ่ ให้ความสำคัญกับเรื่องการต่อต้านคอร์รัปชันน้อยจริงๆ ดูจากป้ายโฆษณาหาเสียงที่มักเอานโยบายสำคัญๆ ขึ้นมาเขียน แทบจะไม่เคยเห็นคำว่าคอร์รัปชันเลย ที่พอจะมีบ้างก็ต้องไปดูในเอกสารหรือในเว็บไซต์ที่เขียนนโยบายโดยละเอียด แต่ก็มักจะเขียนไว้อย่างคร่าวๆ เช่น จะต่อต้านการทุจริต จะไม่รับสินบน แต่ไม่ได้เขียนรายละเอียดว่าจะทำอย่างไร ใช้เวลาเท่าไหร่
ไม่ใช่แค่ตอนเลือกตั้งเท่านั้นที่ไม่สนใจ ตอนเข้าไปทำงานแล้วก็ไม่ค่อยสนใจครับ จากประสบการณ์ตรงของผมเมื่อหลายปีก่อน ตอนที่เคยได้เข้าไปทำงานในคณะกรรมการป้องกันการทุจริตในกรุงเทพมหานคร ที่มีชื่อเรียกกันเล่นๆ ว่า ป.ป.ช. กทม. ซึ่งกรรมการชุดนี้มี พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร เป็นประธานฯ แต่งตั้งขึ้นโดย ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ในสมัยแรกของการที่ได้รับเลือกเป็นผู้ว่าฯ ดูเป็นการเริ่มต้นด้วยดีและมีความหวัง โดยข้าราชการได้นำเอาระบบประเมินความดีความชอบประจำปีที่ได้มีการวางระบบไว้ดีมาก มีการให้คะแนนการกระทำที่มีคุณธรรม ปราศจากการทุจริต ไว้อย่างละเอียดเป็นหมวดหมู่ ประกอบกับคุณภาพของข้าราชการ กทม. ส่วนใหญ่อยู่ในขั้นที่มีคุณภาพที่ดี ผมจึงมองว่าการทำงานของกรรมการชุดฯ น่าจะได้ออกมาดีมีอนาคต
แต่ปรากฏว่า การร้องเรียนเรื่องต่างๆ เข้ามามีน้อยมาก เรื่องที่สอบแล้วมีการลงโทษได้จริง มีอยู่แค่ 1 คดี คือคดีทุจริตขายน้ำแดงในโรงเรียน ส่วนคดีใหญ่ซึ่งกิจการเอกชนรายหนึ่งถูกเรียกเงินให้จ่ายสินบนจากระดับผู้อำนวยการที่มีอำนาจประเมินภาษีบำรุงท้องถิ่น เป็นเงินเกือบสิบล้านบาท เพื่อแลกกลับการที่จะประเมินรายรับให้ลดลง กรณีนี้ถึงแม้ว่าผู้ร้องเรียนจะมีหลักฐานที่ดูว่าแน่นหนามากเพราะผู้เรียกร้องเงินได้เข้าไปในห้องของผู้บริหารของเอกชนด้วยตัวเอง และถูกกล้อง CCTV อัดภาพและเสียงไว้อย่างชัดเจน ว่ามีการเรียกร้องเงินเพื่อแลกเปลี่ยนกับการที่จะสมยอมประเมินรายได้ของเอกชนรายนั้นให้ลดลงได้คุ้มค่ากับเงินที่ต้องจ่ายไป แต่ฝ่ายข้าราชการประจำ กทม. ขอไปตั้งคณะกรรมการไต่สวนหาข้อเท็จจริงเอง แล้วตัดสินว่าหลักฐานที่บันทึกไว้นั้น มีเพียงจากหลักฐาน
ชิ้นเดียว จึงอาจถูกการตกแต่งขึ้นได้ และมีพยานจากผู้กล่าวหาเพียงท่านเดียว จึงไม่เพียงพอ ที่จะตัดสินลงโทษได้ มันเป็นไปได้อย่างไร!
สรุปว่า ผู้อำนวยการคนนั้นก็ยังคงได้อยู่ในตำแหน่งเดิม ที่เดิม และทำหน้าที่เดิมในปีต่อมา แล้วก็ได้เข้าไปประเมินภาษีของเอกชนรายเก่า ซึ่งเป็นผู้ร้องเรียนอีกด้วย! น่าสงสารเอกชนรายนั้น ที่ประพฤติตนเป็นคนดีของสังคม ไม่ยอมร่วมกระทำสิ่งผิดๆ แม้จะมีผลลดค่าใช้จ่ายภาษีของธุรกิจของตนก็ตาม กลับกลายเป็นต้องถูกลงโทษจากการทำดีไปเสีย เรื่องนี้เลยทำให้ คณะกรรมการฯ ป.ป.ช. กทม. ไม่เคยได้รับการร้องเรียนจากเอกชนอีกเลย! แน่สิครับใครจะกล้าอีกล่ะครับ
ผมก็แปลกใจว่าทำไมถึงไม่ให้ความสนใจกัน ทั้งๆ ที่ถ้าแก้ปัญหาคอร์รัปชันได้ ก็จะเหลือเงินงบประมาณมหาศาลมาใช้ในการให้สวัสดิการกับประชาชน และทำโครงการแก้ไขปัญหาสังคมอื่นๆ ตามที่เคยสัญญาไว้ตอนเลือกตั้งอีกมากมาย ไม่ว่าจะเรื่องน้ำท่วม การพัฒนาคุณภาพชีวิต การศึกษา สาธารณสุข ปัญหาจราจร และอื่นๆ อีกมากมาย
ในทางกลับกัน ถ้าไม่เริ่มที่แก้ไขปัญหาคอร์รัปชันอย่างจริงจังเสียก่อน ต่อให้ผลักดันโครงการตามนโยบายมามากแค่ไหน โอกาสที่โครงการเหล่านั้นจะไม่สำเร็จพัง หรือเงินไม่พอก็จะสูงมาก อย่างที่เราเห็นอยู่มากมายตลอดเวลาที่ผ่านมา ตามที่ ดร.มานะ เขียนอธิบายไว้ข้างต้น
วันนี้ผมเลยขอจบบทความคล้ายๆ ดร.มานะ ว่า ผมก็เหนื่อยใจมากเหมือนกัน แต่ก็ยังพอมีความหวังอยู่บ้าง ที่ช่วงโค้งสุดท้ายนี้เริ่มมีสื่อสาธารณะชวนผู้สมัครฯ ต่างๆ มาดีเบตกัน แล้วมีคำถามเรื่องสินบนเทศกิจมาให้แข่งกันตอบ ถึงแม้คำตอบจะยังไม่ค่อยชัดเจน แต่ก็เริ่มเห็นว่าผู้สมัครฯ ก็พอจะสนใจอยู่บ้าง
ผมขอสนับสนุนให้หน่วยงานต้านคอร์รัปชันต่างๆ ออกมากระตุ้นให้สังคมสนใจเรื่องคอร์รัปชันมากขึ้น เพื่อกดดันให้ผู้สมัครฯ ออกมาสัญญาเรื่องการต่อต้านคอร์รัปชันและยกเรื่องนี้เป็นวาระสำคัญ และวิงวอนให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งทุกท่าน ให้ความสนใจนโยบายต่อต้านคอร์รัปชันของผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. ในดวงใจของท่านด้วยนะครับ
รศ.ดร.ต่อตระกูล ยมนาค และ ผศ.ดร.ต่อภัสสร์ ยมนาค
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี