ใกล้จะครบ 8 ปี การก่อรัฐประหารครั้งล่าสุด ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ในโอกาสนี้ได้มีคำถามเกิดขึ้นในสังคมไทยอีกครั้งว่า รัฐประหารที่เกิดขึ้นนั้นก่อให้เกิดผลดี ผลเสียอย่างไรกับสังคมไทย
และเป็นที่แน่นอนอีกเช่นกันที่จะมีมุมมองในเรื่องนี้แตกต่างกันไป ขึ้นกับว่าผู้มองเป็นผู้ที่ชื่นชอบ หรือชิงชังคณะผู้ก่อการรัฐประหาร แต่ไม่ว่าจะมองด้วยสายตาอย่างไรก็ตาม ความจริงที่บังเกิดกับสังคมไทยก็คือความจริงที่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าใครจะมองด้วยสายตาอย่างไร
ผู้ที่ชื่นชอบคณะรัฐประหารอาจจะมองว่าหลังรัฐประหารแล้ว บ้านเมืองไม่มีการเดินขบวนมากมายก่ายกองเหมือนช่วงก่อนรัฐประหาร ไม่มีการปิดถนนเพื่อประท้วงแบบข้ามวันข้ามคืนเป็นเดือนๆ แต่ผู้ที่ชิงชังคณะรัฐประหารก็คงมองว่าคณะรัฐประหารลิดรอนสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกของประชาชน
กลุ่มผู้ชื่นชอบคณะรัฐประหารมองว่าเป็นการก่อรัฐประหารเพื่อจัดการขับไล่รัฐบาลที่โกงบ้านกินเมือง และฉ้อฉลปล้นแผ่นดิน แต่คนที่ชิงชังคณะรัฐประหารก็มองในอีกมุมหนึ่งคือ เห็นว่าคณะรัฐประหาร และรัฐบาลของคณะรัฐประหารมีพฤติกรรมโกงบ้านกินเมืองไม่น้อยไปกว่ารัฐบาลที่ถูกกระทำรัฐประหาร
ดังนั้นหากถามนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้ก่อรัฐประหารเมื่อ 22 พฤษภาคม 2557 ก็ต้องได้รับคำตอบว่า กระทำไปเพื่อให้บังเกิดความสงบสุขต่อบ้านเมืองส่วนสิ่งที่นายกรัฐมนตรีตอบจะตรงกับข้อเท็จจริง และตรงกับความเห็นของสาธารณชนหรือไม่ เป็นสิ่งที่สาธารณชนต้องตัดสินใจด้วยตัวเอง
แต่สำหรับอดีตอธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ชื่อสุรพล นิติไกรพจน์ ได้กล่าวเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2565 ว่า ตอนนี้เราผ่านมา 8 ปีกว่า หลายคนคาดหวังว่าการมีรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่จะนำบ้านเมืองเข้าสู่ภาวะปกติ แต่กลับมีระบบการปกครองที่ทำให้คนจำนวนมากอึดอัด การใช้อำนาจที่เกิดขึ้นดูเหมือนว่าจะไม่เป็นไปในทิศทางที่ควรจะเป็น เราเห็นการบังคับใช้กฎหมาย อาจจะไม่ใช่สองมาตรฐาน แต่มีหลายมาตรฐาน ขึ้นอยู่กับจะบังคับใช้กับใคร เราเห็นการทุจริตที่ไม่แตกต่างไปจากนักการเมือง...การทุจริตซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญของการรัฐประหารยังคงมีอยู่ เรามีองค์กรตรวจสอบจับนักการเมืองทุจริต ปัจจุบันเรามีกลไก เช่นนั้นสำหรับนักการเมือง หรือผู้มีความเห็นตรงกันข้ามกับผู้มีอำนาจรัฐเท่านั้น เราเห็นองค์กรอิสระที่ตีความรัฐธรรมนูญ ตีความกฎหมายแตกต่างไปจากสามัญสำนึกของคนปกติ ที่แม้ไม่ได้เรียนกฎหมาย
ขอย้ำอีกทีว่ามีความคิดเห็นที่แตกต่างกันในสังคมไทย อันเนื่องมาจากเหตุรัฐประหาร แต่ไม่ว่าความคิดเห็นจะแตกต่างกันมากมายสักเพียงใดก็ตาม สาระสำคัญมิได้อยู่ที่ความคิดเห็นเหมือนหรือต่าง แต่อยู่ที่ความเป็นจริงที่สังคมได้รับ เราเคยถามตัวเองไหมว่า สังคมหลังรัฐประหารดีขึ้นหรือเลวลง สังคมของเรามีสันติสุขมากขึ้นหรือไม่ ความเดือดร้อนมีมากขึ้นหรือลดลง ความโปร่งใส ความเป็นธรรมในสังคมมีมากขึ้นหรือน้อยลง คนในบ้านเมืองของเรามีสมานฉันท์มากขึ้นหรือแตกแยกกันมากกว่าเดิม ฯลฯ
คนไทยเท่านั้นที่ตอบคำถามข้างต้นได้ชัดเจน ส่วนจะตอบด้วยอคติ หรือตอบด้วยสติปัญญาก็สุดแล้วแต่ปัจเจก แต่ความจริงก็คือความจริง แม้จะพยายามมโนสักเท่าไร มันก็หนีความจริงไม่ได้
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี