ในช่วงสัปดาห์ที่สองของเดือนพฤษภาคมนี้ ผู้นำอาเซียนมีนัดที่จะไปชุมนุมกันที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เพื่อพบปะกับประธานาธิบดี ไบเดน แห่งสหรัฐอเมริกา เรียกว่าเป็นการประชุมสุดยอดที่มีฝ่ายสหรัฐฯ เป็นเจ้าภาพ และอินโดนีเซียเป็นผู้ประสานงาน ขณะที่กัมพูชาดำรงตำแหน่งประธานแบบหมุนเวียนของอาเซียน (ช่วงปี พ.ศ. 2565)
อาเซียนนั้นมีการประชุมสุดยอดกับสหรัฐอเมริกามาหลายครั้งหลายคราตามความจำเป็นและเหมาะสม นอกจากนั้นอาเซียนก็ยังมีการประชุมสุดยอดกับประเทศคู่ค้าคู่เจรจาอื่นๆ หรือกับกลุ่มประเทศเป็นครั้งคราเหมือนกัน เช่น กับประเทศจีน หรือกับกลุ่มสหภาพยุโรป ซึ่งเรื่องส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นเรื่องการพัฒนา และขับเคลื่อน ความร่วมมือทางเศรษฐกิจให้กระชับขึ้น รวมทั้งอำนวยผลประโยชน์ต่อกันและกันยิ่งขึ้น แล้วก็แน่นอนที่มักจะมีการแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็น ปรึกษาหารือกันในเรื่องราวที่สำคัญๆ ทั้งในระดับภูมิภาคและในระดับโลกกว้างเป็นธรรมดา
การประชุมสุดยอดสหรัฐอเมริกา-อาเซียน ครั้งที่จะมาถึงดังกล่าวนี้ แม้จะดูขลุกขลักอยู่บ้าง ด้วยความที่ผู้นำพม่าที่เป็นนายทหารระดับพลเอกอาวุโส และเป็นผู้นำการปฏิวัติรัฐประหารยึดอำนาจล้มเลิกระบอบประชาธิปไตยไปเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 นั้น ได้ถูกคว่ำบาตร โดยไม่ได้รับการเชื้อเชิญให้เข้าร่วม (แต่ก็อาจมีตัวแทนประเทศพม่าที่ไม่ใช่บุคลากรที่อยู่ในคณะปฏิวัติมาทำหน้าที่แทน) และนอกจากนั้นก็ยังไม่เป็นที่แน่นอนว่า ประธานาธิบดี ดูเตอร์เต แห่งฟิลิปปินส์ จะเข้าร่วมหรือไม่ เพราะทำตนเป็นไม้เบื่อไม้เมากับฝ่ายสหรัฐฯ ทั้งในเรื่องการใช้อำนาจโดยมิชอบ โดยเฉพาะในนโยบายฆ่าตัดตอนเพื่อขจัดปัญหาการค้ายาเสพติด และอีกทั้งฟิลิปปินส์ ก็จะมีวาระการเปลี่ยนแปลงตัวประธานาธิบดีจากการเลือกตั้งทั่วไปในช่วงที่คาบเกี่ยวกัน
นอกจากนั้นในการประชุมสุดยอดก็มักจะมีรูปแบบของการมีประธานร่วม คือฝ่ายสหรัฐอเมริกาโดยประธานาธิบดีไบเดน และฝ่ายอาเซียนโดยสมเด็จฮุนเซน นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานอาเซียนคนปัจจุบัน ซึ่งก็มีเสียงเรียกร้องจากแวดวงต่างๆ ว่า มิให้มีการเชิญสมเด็จฮุนเซนเข้าร่วม เพราะมีชนักติดหลังมากมายทั้งในเรื่องการลิดรอนสิทธิเสรีภาพ ละเมิดสิทธิมนุษยชน และการขจัดพรรคการเมืองฝ่ายค้านให้หมดสิ้นจนกลายเป็นรัฐบาลพรรคเดียว อาเซียนจึงมีจุดอ่อน และประเด็นปัญหาภายในด้วยพฤติกรรมของบรรดาผู้นำ รวมทั้งการไม่ลงรอยไม่มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เช่นในเรื่องการแก้วิกฤตพม่า หรือการร่วมมือกันต่อกรกับจีนในเรื่องข้อพิพาททางเขตแดนในทะเลจีนตอนใต้ ซึ่งมีพฤติกรรมบ่งบอกว่า หลายประเทศสมาชิกอาเซียนได้ยอมโอนอ่อนไปกับจีน ในขณะที่บางประเทศสมาชิกแข็งขันกับความร่วมมือกับสหรัฐอเมริกา ซึ่งหมายความว่าอาเซียนโดยองค์รวมยังไม่มีการปรึกษาหารือและมีข้อยุติว่าจะดำเนินการอย่างไรกับสหรัฐอเมริกา กับจีน หรือแม้กระทั่งกับรัสเซีย และในการแข่งขันกันเป็นใหญ่ เป็นผู้มีอิทธิพลระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก หรือในคาบสมุทรอินเดียและแปซิฟิกนั้น อาเซียนจะยืนอยู่ตรงไหนและวางตัวอย่างไร
ความไม่แน่นอนดังกล่าวจะมีผลให้การกระชับความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจการค้า การลงทุน รวมไปถึงการถ่ายทอดทางเทคโนโลยีนั้น ว่าจะดำเนินไปได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยหรือไม่หรือนัยหนึ่งอาเซียนจะสร้างความสมดุล (balance) ในความสัมพันธ์ระหว่างอาเซียนกับสหรัฐฯ และในความสัมพันธ์ระหว่างอาเซียนกับจีนได้อย่างไร รวมถึงจะป้องกันการเข้ามาแทรกแซงของประเทศมหาอำนาจทั้ง 2 ในกิจการภายในของอาเซียนโดยรวม และในกิจการภายในของแต่ละประเทศสมาชิกอาเซียนได้มากน้อยแค่ไหน
และจนกระทั่งบัดนี้ก็ยังไม่มีข่าววี่แววออกมาว่า ผู้นำอาเซียนทั้ง 10 ประเทศ จะปรึกษาหารือ ผนึกกำลังและประสานท่าทีกันให้แล้วเสร็จหรือไม่ และอย่างไร ก่อนที่จะต่างคนจะต่างเดินทางมุ่งสู่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ซึ่งหากไม่มีการประชุมหารือกัน ก็เสมือนกับว่าอาเซียนไม่ได้มีการเตรียมตัว ไม่มีท่าทีร่วมกัน ผลก็คือ ความน่าเชื่อถือจะไม่เกิดขึ้นอำนาจต่อรองก็จะมี แต่น้อย ซึ่งไม่ควรจะอยู่ในวิสัยของการทำงานของอาเซียน โดยเฉพาะในระดับผู้นำ
ฝ่ายสหรัฐอเมริกาเขาสนใจในเรื่องการเสริมสร้างสังคมประชาธิปไตย เขาต่อต้านลัทธิเผด็จการทุกรูปแบบ และถ้าเผื่อเขาจะโอนอ่อน เขาก็จะใช้เราเป็นเครื่องมือ เช่น ในกรณีของเวียดนาม ซึ่งยังปกครองด้วยพรรคคอมมิวนิสต์อยู่ แต่ฝ่ายสหรัฐฯ ก็แกล้งทำไม่รู้ไม่ชี้ ไม่ดึงดันบังคับให้เวียดนามเปลี่ยนรูปโฉมประเทศจากสังคม
เผด็จการ สู่สังคมเสรีประชาธิปไตย ก็เพราะเขายังเห็นว่าเวียดนาม ณ วันนี้ เป็นประโยชน์ต่อเขาในเรื่องการเป็นตลาดขายอาวุธยุทโธปกรณ์ และเป็นหัวหอกในการเผชิญหน้ากับจีน
ส่วนที่ประเทศไทย ใครๆ เขาก็ตระหนักว่า รัฐบาลชุดนี้ดูจะเกรงอกเกรงใจจีนเกินปกติ อาจจะด้วยสาเหตุหลายประการ แต่ก็ไม่ได้กังวลใจนัก เพราะสถาบันหลักๆ ของไทย และสังคมไทยโดยทั่วไปนั้นไม่ได้เทใจให้กับจีน แถมยังมีเยื่อใย มีมิตรไมตรีที่ดีต่อสหรัฐอเมริกา รวมทั้งความเป็นประชาธิปไตยของสังคมไทยแม้จะยังไม่สมบูรณ์ แต่ก็ยังมีโอกาสและศักยภาพในการพัฒนาต่อไปได้
ทั้งหมดนี้ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับฝ่ายสหรัฐฯ หรือจีนเป็นสำคัญว่า เขาจะคบหาสมาคมกับเราตามความพึงพอใจของเขา แต่มันขึ้นอยู่กับอาเซียนที่จะร่วมกันทำตัวให้เป็นที่เคารพนับถือ ได้รับความเกรงอกเกรงใจ ซึ่งสิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้ก็เมื่อผู้นำอาเซียนจะมีความคิดอ่านเป็นหนึ่งเดียวกันในการที่จะเอาประชาชนพลเมืองเป็นที่ตั้ง และรับใช้ประชาชนพลเมือง มิใช่ทำตนเป็นผู้ควบคุมและสั่งการลงมา สังคมหนึ่งใดจะเข้มแข็งได้ก็เมื่อผู้ปกครองและผู้อยู่ใต้การปกครองมีความเห็นพ้องต้องกัน และก้าวไปข้างหน้าในทิศทางเดียวกัน นั่นคือพลัง แล้วก็จะไม่มีจีน สหรัฐฯ หรือประเทศอื่นใดเข้ามาแทรกแซง ครอบงำ หรือสร้างอิทธิพลได้
ถึงตอนนี้ บรรดาผู้นำอาเซียนทั้ง 10 ประเทศ ยังพอมีเวลาปรึกษาหารือกันได้อย่างกว้างขวางลึกซึ้ง และก็มีความสะดวกที่จะพูดจากัน โดยอาศัยวิวัฒนาการของระบบการสื่อสารด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ จึงขึ้นอยู่กับว่า ผู้นำทั้งสิบประเทศจะมีความคิด มีวิสัยทัศน์ มีความตั้งอกตั้งใจ และมีความมุ่งมั่นแค่ไหนที่จะผนึกกำลังอาเซียนก่อนที่จะ ร่วมกัน “ยกพลขึ้นบก” ที่แม่น้ำโปโตแมค กรุงวอชิงตัน ดี.ซี.
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี