คณะแพทย์ร่วมกันแถลง ณ โรงพยาบาลพริ้นซ์ อุบลราชธานี ยืนยันข้อมูลจากแพทย์ผู้ทำการรักษา โดยคณะแพทย์วินิจฉัยว่า มีภาวะอัลไซเมอร์ ระยะที่ 1มีโอกาสที่ผู้ป่วยจะมีความจำถดถอยบ้าง ถามซ้ำๆ พูดซ้ำๆ เรื่องเดิม แต่ยังสื่อสารและใช้ชีวิตได้ตามปกติ
สรุปอาการอาพาธของหลวงปู่แสง จากประวัติการรักษาของคณะแพทย์
“1. การทำงานของทางเดินอาหารผิดปกติ (GI vasculopathy) 2. โรคหัวใจที่เกิดจากภาวะกล้ามเนื้อหัวใจห้องล่างซ้ายผิดปกติ (CHF c Cardiomypathy LVH) 3. โรคความดันโลหิตสูง (HT) 4. โรคต่อมลูกหมากโต (BPH) 5. ปวดหลังเนื่องจากกระดูกสันหลังคด (Low back pain c Scoliosis) 6. ข้อเข่าเสื่อมทั้ง 2 ข้าง (OA both khee) 7. โรคกระดูกพรุน (Osteoporosis) 8. โรคนอนหลับยาก (Elderly c Insomnia) 9. สมองเสื่อมและอัลไซเมอร์ระยะที่ 1 (dementia c Alzheimer’s) และ10. ภาวะพฤติกรรมอารมณ์ที่ผิดปกติที่เกี่ยวกับสมองเสื่อม (BPSD = Behavioral and Psychological Symtoms of Dementia)”
1. พวกหิวแสง หากินในคราบสื่อ
บรรดาสื่อเสื่อม และพวกหากินโดยอาศัยภาพว่าเป็นสื่อ ต้องการสร้างข่าวอื้อฉาว ฮือฮา ปั่นอารมณ์ผู้คน เพื่อเอายอดวิว ยอดคนดูแลกกับเงินเข้ากระเป๋า ทำถึงขนาดรวมหัวกันสร้างหลักฐาน สร้างสถานการณ์ ส่งนักข่าวเข้าไปล่อลวงพระสงฆ์ผู้สูงวัย พระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ที่เป็นผู้ป่วยอัลไซเมอร์ ทำให้ติดกับดัก เพื่อถ่ายคลิปมานำเสนอเป็นข่าวอื้อฉาว ดึงดูดคนดู แลกผลประโยชน์ทางธุรกิจ
ถูกนำภาพมาเปรียบเทียบกับมารผจญพระพุทธองค์
ช่างเหมาะเจาะเสียจริงๆ
2. ดร.วรัชญ์ ครุจิต รองคณบดี คณะนิเทศศาสตร์และนวัตกรรมการจัดการ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ให้แง่มุมทางนิเทศศาสตร์ที่น่าคิดว่า
“Pseudo Event (ซูโด อีเวนต์) มาจาก 2 คำ คือ Pseudo = เทียม, ปลอม และ Event = เหตุการณ์
พจนานุกรมศัพท์นิเทศศาสตร์ ฉบับราชบัณฑิตยสภา ให้คำนิยามไว้ว่า
“เหตุการณ์เทียม: เหตุการณ์ที่ไม่จริง แต่ถูกสรรค์สร้างขึ้นหรือเลียนแบบเหตุการณ์จริงให้เป็นข่าวใหญ่ในสื่อมวลชนเพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะ”
หรือคำอื่นที่เรียกแบบชาวบ้าน เช่น จัดฉาก เต้าข่าว กุเรื่อง แต่ Pseudo Event มักจะมีการวางแผนการดำเนินการอย่างเป็นระบบ และมีผู้สมรู้ร่วมคิดหลายคน เพื่อก่อให้เกิดผลตามเป้าหมายตามวาระซ่อนเร้น (hidden agenda) ที่ตนต้องการ
Pseudo Event อาจใช้เพื่อประโยชน์ต่อสาธารณะได้ เช่น การรณรงค์ต่างๆ เพื่อสร้างกระแส แต่ส่วนมากแล้วเป้าหมายของ Pseudo Event มักจะเป็นไปเพื่อประโยชน์ส่วนตัวของผู้สร้าง เช่น เรียกร้องความสนใจ กลบข่าว สร้างกระแสเพื่อเก็บไปต่อยอด ซึ่งไม่ได้มีผลดีต่อสังคม และทำให้เกิดความเข้าใจผิด สับสน หรือถึงขั้นตื่นตระหนก จึงถือว่าเป็นการกระทำที่ผิดจริยธรรม ไม่ว่าจะเป็นในฐานะอาชีพใดๆ เช่น สื่อมวลชน นักการตลาด นักประชาสัมพันธ์ หรือนักการเมือง และในฐานะสมาชิกของสังคม
Pseudo Event มีการใช้กันมาตั้งแต่อดีต สังคมและโดยเฉพาะสื่อมวลชน ต้องเท่าทันและช่วยกันตรวจสอบ เปิดโปง ไม่ใช่ปกปิด หรือกลายเป็นหนึ่งในผู้ร่วมขบวนการสร้างเหตุการณ์เทียมเสียเอง มิเช่นนั้นก็จะกลายเป็น “สื่อเทียม” ไปด้วย”
3. นิพนธ์ ตั้งแสงประทีป ฝากให้คิดผ่านทางเพจ Teejournalist ว่าด้วย บทเรียนราคาแพงสำหรับ “สื่อ” กรณี “หลวงปู่แสง ญาณวโร”
ระบุว่า ในเชิงวิชาชีพ ปกติการทำข่าวสมัยก่อนจะมีกองบรรณาธิการที่มีกระบวนการขั้นตอนการกำหนดประเด็นข่าว การผลิต การตรวจสอบ ก่อนนำเสนอโดยเฉพาะขั้นตอนการตรวจสอบที่มีทั้งบรรณาธิการ หัวหน้าข่าว รีไรเตอร์ โดยเฉพาะข่าวที่สายวิชาการเรียกว่า “Current issue” ที่สำคัญมากๆ เพราะข่าวประเภทนี้มีความเสี่ยงต่อการ“ผิดพลาด”สูงมากในข้อมูลต่างๆ กรณีข่าวหลวงปู่แสง สรุป ดังนี้
“1.นักข่าวติดตามแหล่งข่าวคนนี้ที่พาไปทลายแหล่งนั้นแหล่งนี้จนเคยชิน บางสำนักส่งนักข่าวเกาะติดแหล่งข่าวนี้โดยเฉพาะ
2.เมื่อแหล่งข่าวพาไปทลายโน่นนี่สำเร็จและ“เป็นจริง”เลยเชื่อมั่นและติดตามโดยไม่“ตรวจสอบ”นำเสนอทันที หวังชิงพื้นที่นำเสนออย่างรวดเร็ว เพื่อ “เรตติ้ง”
3.กองบรรณาธิการ“ไม่ทำหน้าที่” ละเลยในวิชาชีพจนไม่ได้ตรวจสอบข่าวหากใครศึกษาหรือรับทราบข้อมูลในวงการพระพุทธศาสนาจะทราบดีว่า “หลวงปู่แสงท่านเป็นพระสายปฏิบัติ เป็นที่นับถือ” พูดภาษาชาวบ้านคือ มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักแต่บรรดา บก.ข่าวและ…กลับไม่รู้ได้อย่างไร(ปฏิเสธไม่รู้ไม่ได้)
4.การตั้งคำถาม ของนักข่าวและพฤติกรรมขณะเกิดเหตุ นักข่าวไม่มีมารยาท พฤติกรรมไม่เหมาะสม ใช้วาจาไม่มีสัมมาคารวะ ขนาด“ผู้ต้องหา”คดีดังเร็วๆ นี้ นักข่าวยังใช้คำพูดสุภาพกว่านี้มาก
5.หลังสื่อหลายสำนักเริ่มรู้ตัว สังเกตขณะนี้ หลายสื่อกลับตัวเร็ว ให้น้ำหนักกับการนำเสนอข่าวประวัติและวัตรปฏิบัติของหลวงปู่ เพราะรู้ตัวว่า นำเสนอข่าวผิดพลาดอย่างมหันต์ไปแล้ว...”
ล่าสุด สื่อหลายสำนักทยอยลงโทษ “นักข่าว” หนัก-เบา ต่างกันออกไป
แต่ยังไม่มีสำนักไหน ลงโทษระดับ บรรณาธิการ หรือแม้แต่ระดับบริหาร ทั้งๆ ที่ เรตติ้งที่ได้มา เป็นผลงานและผลประโยชน์ของต้นสังกัด
เพจ Teejournalist จึงตั้งข้อสังเกตให้คิดว่า “เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกหลวงปู่ นักข่าวสังเวย”
“.... การทำข่าวในอดีต กองบรรณาธิการทั้งหมดจะรู้เรื่องราวทั้งหมดอยู่ก่อนแล้ว “จะปฏิเสธเอาตัวรอดว่านักข่าวไปทำเองไม่รู้เรื่องไม่ได้” เพราะแปลความได้ว่า สำนักข่าวนี้ให้นักข่าวทำข่าวฟรีสไตล์ อยากเลือกทำอะไรก็ได้? ซึ่งผมไม่เชื่อว่า เป็นเช่นนั้น เพราะหากเป็นจริงถือว่า กระบวนการผลิตข่าวปัจจุบันเปลี่ยนไปมาก
เช่น หากได้ Hint ประเด็นหลวงปู่มา นักข่าวจะต้องหารือหัวหน้าข่าว หัวหน้าข่าวตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้นก่อนนำเข้าสู่การหารือกับกองบรรณาธิการที่มี “ผอ.ข่าว” ผู้รับผิดชอบสูงสุดนั่งหัวโต๊ะ กรณีนี้หากมีการตรวจสอบข้อมูลกรณีหลวงปู่แสงให้ดี อาจไม่มีการทำข่าวนี้เกิดขึ้น หรือหากคิดว่า มีความเป็นไปได้จากพยานหลักฐานก็จะมีกระบวนการขั้นตอนการทำงานที่รัดกุม เพราะข้อมูลเบื้องต้นกองบก.ตรวจสอบพบแล้ว ดังนี้ -ท่านเป็นพระปฏิบัติ พรรษาบวชของท่านยาวนาน -เป็นพระสายหลวงปู่มั่น ที่เป็นที่นับถือ -ไม่เคยมีข้อครหามาก่อนตลอดการครองสมณะ-ประวัติครอบครัวท่าน ....
... คดีขึ้นสู่ชั้นการสอบสวนหรือศาล คนที่จะถูกดำเนินคดีคนแรก “ไม่ใช่นักข่าว” แต่เป็น “บรรณาธิการผู้พิมพ์ผู้โฆษณา” สำหรับหนังสือพิมพ์ และ“ผู้อำนวยการสถานีสำหรับโทรทัศน์” หรือแล้วแต่ผู้ถูกกล่าวหาจะเลือกฟ้อง กรณีนี้เชื่อว่าหากไม่ได้ความเมตตาจากหลวงปู่เป็นผู้เสียหายอื่นจะไม่ยินยอมจบแค่เอานักข่าวมาลงโทษอย่างแน่นอน…”
สื่อเสื่อม ช่างน่าเอือมระอา
อย่าตัดตอนแค่นักข่าวภาคสนาม
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี