กรุงเทพฯเป็นเมืองที่ถูกระบุว่าทางเท้าเกือบทุกแห่งในเขตชุมชนใหญ่ๆ ต่างถูกยึดเป็นพื้นที่ทำมาค้าขายแบบเกือบตลอดชีพโดยคนบางกลุ่ม ซึ่งเป็นการกระทำที่ทั้งผิดกฎหมาย และสร้างความเดือดร้อนรำคาญให้กับผู้สัญจรที่ต้องใช้ทางเท้าในการเดินทาง แต่ปัญหานี้ไม่เคยได้รับการแก้ไขให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด เนื่องจากทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย รวมถึงผู้มีอำนาจหน้าที่ดูแลรักษาความเป็นระเบียบเรียบร้อยของทางเท้าต่างเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว
ดังนั้นเราจึงพบเห็นเป็นประจำว่าทางเท้าหลายพื้นที่ในกรุงเทพฯจึงถูกยึดเป็นสมบัติส่วนตัวของคนเห็นแก่ตัวกลุ่มหนึ่งไปโดยปริยาย
อันที่จริง หากจะพูดให้ตรงประเด็นแล้ว กรุงเทพไม่ใช่เมืองเดียวที่ทางเท้าถูกยึดไปเป็นที่ทำมาหากินของคนกลุ่มหนึ่ง แต่เราจะพบปัญหาคล้ายๆ กันนี้ในหลายพื้นที่ของประเทศอินเดีย บังกลาเทศ ปากีสถาน อินโดนีเซีย แต่ก็ต้องยอมรับว่าไม่มีประเทศไหนที่ผู้ค้าขายจงใจยึดพื้นที่ทางเท้าเป็นที่ค้าขายส่วนบุคคลได้หนักหนาสาหัสเท่ากับที่เราพบในกรุงเทพฯ และในเมืองใหญ่ๆ อีกหลายแห่งในประเทศไทย แต่ทั้งนี้เราจะไม่พบปัญหาเดียวกันนี้ในประเทศจีน สิงคโปร์ ญี่ปุ่น และประเทศต่างๆ ในยุโรปตะวันตก
ถามว่าทำไมผู้ค้าขายจำนวนไม่น้อยของไทยจึงสามารถยึดพื้นที่ทางเท้าเป็นที่ค้าขายส่วนตัวได้ ทั้งๆที่บนทางเท้าเป็นที่สาธารณะ แล้วทำไมที่สาธารณะจึงถูกจับจอง กลายเป็นที่มีเจ้าของ แล้วยังพบอีกว่าทางเท้าหลายที่มีนายหน้าตัวการเป็นผู้เก็บค่าใช้พื้นที่ได้
เราปฏิเสธไม่ได้ว่าหาบเร่ แผงลอยเป็นปัญหาใหญ่ที่สร้างความเกะกะกีดขวางทางสัญจรบนทางเท้า นอกจากนั้นยังทำให้เกิดปัญหาความสกปรก และไม่เป็นระเบียบบนทางเท้าอีกด้วย
อันที่จริงแล้ว คนกรุงเทพ และคนไทยทั่วไป รวมถึงคนต่างชาติก็มองเห็นเสน่ห์ของการขายของบนทางเท้าอยู่เช่นกัน หลายคนไม่ได้ถึงกับตั้งข้อรังเกียจการขายของบนทางเท้าแบบเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ เพียงแต่มีข้อท้วงติงว่าทำไมทางเท้าหลายแห่งในกรุงเทพฯและเมืองใหญ่ๆ จึงกลายเป็นพื้นที่ขายของของคนบางกลุ่มไปอย่างน่ากังขา จนทำให้ประชาชนและผู้สัญจรรายอื่นๆ ไม่สามารถเดินบนทางเท้าได้อย่างปกติ จนมีคำถามตัวโตๆ ว่า การขายของบนทางเท้าเป็นสิ่งผิดกฎหมายหรือไม่ หากผิดกฎหมายแล้ว ทำไมยังมีการปล่อยให้ขายของบนทางเท้าได้อย่างเอิกเกริกเช่นที่ทุกคนได้พบเห็นเป็นประจำ ทำไมผู้มีหน้าที่รักษาความเป็นระเบียบบนทางเท้าจึงปล่อยให้มีการกระทำละเมิดโดยผู้คนบางกลุ่มได้ ซึ่งเรามักจะได้ยินคำร้องเรียนจากผู้ค้าหลายรายว่าต้องเสียเงินให้กับผู้จัดพื้นที่ขายของบนทางเท้า คำถามคือทำไมจึงมีการจ่ายเงินให้กับใครก็ตาม เพื่อให้สามารถขายของบนทางเท้าได้ แล้วเงินที่จ่ายไปนั้น ไปเข้ากระเป๋าใครบ้าง คำถามสำคัญคือเงินที่จ่ายไปนั้นไปเข้ากระเป๋าผู้ว่าราชการกรุงเทพฯคนใดคนหนึ่งบ้างหรือไม่
วันนี้เราจะมาตั้งคำถามเรื่องการค้าขายบนทางเท้าในกรุงเทพ โดยตั้งคำถามนี้ตรงไปยังผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครคนใหม่ล่าสุด โดยถามว่าผู้ว่าฯ กรุงเทพจะทำอย่างไรให้ทางเท้าของกรุงเทพไม่กลายเป็นพื้นที่ขายของแบบถูกผูกขาดโดยคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แล้วก็มีคำถามด้วยว่า เมื่อไรคนในกรุงเทพจะมีทางเท้ากว้างๆ สะอาดสะอ้าน สะดวกสบายใช้สำหรับเดินทางสัญจรได้
คงไม่มีคนกรุงเทพรายใดปฏิเสธว่าตนเองไม่เคยซื้อของจากร้านค้าที่ยึดพื้นที่ทางเท้าเป็นร้านขายของ นั่นหมายความว่าคนกรุงเทพส่วนใหญ่ก็คงไม่ได้รังเกียจการมีร้านค้าบนทางเท้า แต่ก็ต้องยืนยันว่าคนกรุงเทพจำนวนไม่น้อยไม่ต้องการให้ร้านค้าบนทางเท้ายึดทางเท้าไปเป็นที่ทำมาค้าขายส่วนบุคคล จนทำให้คนกรุงเทพไม่มีทางเท้าสำหรับเดินทางได้อีกต่อไป
เคยมีคนกรุงเทพมากมายให้ความเห็นโดยผ่านสำนักสำรวจความเห็นของสถาบันการศึกษาหลายแห่งที่นิยมทำโพลล์ แล้วระบุว่ากรุงเทพไม่มีวันปราศจากการค้าขายบนทางเท้าได้อย่างแน่นอน เพราะมันเป็นเสมือนความเคยชินของคนกรุงเทพที่ต้องหาซื้อสินค้าต่างๆ จากร้านบนทางเท้ามานานแล้ว
แต่เมื่อเราไปพูดคุยกับผู้ค้าขายสินค้าบนทางเท้า เราก็มักจะได้รับคำกล่าวอ้างจากผู้ค้าเกือบทุกรายว่าตนเองเป็นคนยากจน ไม่มีเงินทองมากพอที่จะไปเช่าร้านค้าสำหรับเปิดกิจการค้าขาย ดังนั้นจึงต้องอาศัยการค้าขายบนทางเท้า แต่ทว่าคำอ้างดังกล่าวก็ไม่ได้เป็นเรื่องจริงไปทั้งหมด เพราะจากการสำรวจผู้ค้าขายบนทางเท้าหลายร้อยราย เราจะพบว่าผู้ค้าขายสินค้าบนทางเท้าจำนวนไม่น้อยมีรถยนต์ส่วนบุคคลมีบ้านอยู่อาศัย แบบทั้งชนิด Town House และจำนวนไม่น้อยมีบ้านที่มีรั้วรอบขอบชิด มีบริเวณบ้านอีกด้วย นั่นแสดงว่าผู้ค้าขายสินค้าบนทางเท้าไม่ใช่คนที่มีฐานะยากจนแต่อย่างใดแต่ทว่าเป็นผู้ที่ฉวยโอกาสโดยอ้างว่าตัวเองยากจน
แต่ถึงแม้จะมีผู้มีฐานะยากจนจริงๆ ก็ตาม ก็ไม่สามารถได้รับการอนุญาตให้ค้าขายบนทางเท้าได้ เพราะเป็นสิ่งผิดกฎหมาย ผู้มีฐานะยากจนไม่สามารถอ้างความยากจนเพื่อทำผิดกฎหมายได้ แต่ทั้งๆ ที่บ้านเมืองของเรามีกฎหมายห้ามค้าขายสินค้าบนทางเท้า แต่เราก็พบว่ามีการทำผิดกฎหมายเป็นประจำและพบเห็นตลอดเวลา ถามว่าเพราะอะไร ใครอนุญาตให้มีการทำผิดกฎหมายได้ หรือทำไมไม่มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังกับผู้ทำผิดกฎหมาย ผู้บังคับใช้กฎหมายลังเลรีรออะไร จึงปล่อยให้มีการทำผิดกฎหมายมาโดยตลอด
หลายคนรู้ดีว่าทางเท้านั้นทำไว้สำหรับเดินทาง แต่ทว่าผู้เดินเท้ากลับไม่ได้รับความสะดวกสบายในการใช้ทางเท้า เพราะทางเท้าถูกยึดไปเป็นที่ค้าขายแบบถาวรบ้าง เป็นที่จอดรถจักรยานยนต์บ้าง และเป็นที่ทำมาหากินอื่นๆ เช่น เป็นที่ซ่อมรถยนต์ ซ่อมจักรยานยนต์ และถูกร้านค้า รวมถึงผู้ค้าขายรายอื่นๆ ยึดเป็นพื้นที่ส่วนตัวไปเรียบร้อยแล้ว
เราจะเห็นว่าในการชิงชัยตำแหน่งผู้ว่าราชการกรุงเทพทุกครั้ง ไม่เว้นแม้กระทั่งครั้งล่าสุดที่เพิ่งผ่านพ้นไป เราพบว่าไม่มีผู้สมัครชิงตำแหน่งผู้ว่าฯ กรุงเทพรายใดกล้าพูดชัดๆ ว่าการค้าขายบนทางเท้าเป็นเรื่องผิดกฎหมาย แต่เราจะพบว่าแต่ละรายจะอ้างว่าจะอนุญาตให้ค้าขายบนทางเท้าได้ แต่ต้องอยู่ร่วมกับผู้เดินทางบนทางเท้าได้อย่างสมดุล คำถามคืออะไรคือการอยู่ร่วมกันอย่างสมดุลระหว่างผู้ยึดทางเท้าเป็นที่ขายของส่วนบุคคลกับคนเดินบนทางเท้า
คำถามต่อมาคือทำไมผู้ชิงตำแหน่งผู้ว่าฯ กรุงเทพทุกรายจึงไม่กล้าประกาศให้ชัดว่าการค้าขายบนทางเท้าเป็นสิ่งผิดกฎหมาย และจะไม่อนุญาตให้มีการทำผิดกฎหมายอีกต่อไปทำไมทุกรายจึงบอกว่าจะยังคงปล่อยให้มีการค้าขายบนทางเท้าต่อไป ถามว่าผู้ชิงตำแหน่งผู้ว่าฯ กรุงเทพ ไม่รู้หรือว่าการค้าขายบนทางเท้าเป็นสิ่งผิดกฎหมาย หรือว่ารู้ แต่ไม่กล้าพูดให้ชัด เพราะกลัวเสียคะแนน และกลัวถูกผู้ค้าขายบททางเท้ารวมตัวประท้วงต่อต้าน
ขอย้ำอีกครั้ง พร้อมขีดเส้นใต้หลายๆ เส้นว่า ผู้เขียนไม่ได้ดัดจริตบอกว่าต้องไม่มีหาบเร่แผงลอยบนทางเท้าในกรุงเทพฯ รวมถึงเมืองอื่นๆ ทั่วประเทศไทย แต่สิ่งที่ต้องบอกชัดๆ และย้ำหนักแน่นคือไม่เห็นด้วยกับการปล่อยให้มีคนกลุ่มหนึ่งกลุ่มใดยึดทางเท้าเป็นที่ทำมาหากินแบบถาวรสำหรับตัวเอง
คำว่า หาบเร่ แผงลอย ไม่ได้หมายความว่าตั้งหลักปักฐานเหนียวแน่นบนทางเท้าแบบถาวร หาบเร่ต้องเร่ขายไป ส่วนแผงลอยต้องไม่ใช้แผงถาวร นี่คือความหมายที่แท้จริงของคำว่าหาบเร่ แผงลอย แต่ทุกวันหลายคนอ้างว่าเป็นหาบเร่ แผงลอย แต่ตั้งหลักปักฐานเป็นการถาวร ถามว่าแล้วทำไมผู้มีอำนาจในกรุงเทพฯ และในจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศไทยยังไม่มีปัญญาเอาผิดกับคนทำผิดกฎหมาย
หากผู้ว่าฯ กรุงเทพ และผู้บริหารจังหวัดอื่นๆ ทั่วประเทศไทยจะอ้างว่าต้องมีการค้าขายบนทางเท้าต่อไป ก็ต้องถามว่าผู้ว่าฯ กรุงเทพ และผู้บริหารจังหวัดอื่นๆ ทั่วไปมีปัญญาขยายทางเท้าให้กว้างขึ้น เพื่อรองรับการเดินเท้าของผู้คนได้หรือไม่ หรือไม่มีปัญญาขยายทางเท้า แล้วก็ไม่มีปัญญาจัดการกับผู้ยึดทางเท้าเป็นที่ทำมาค้าขายแบบถาวร แต่กลับขอให้ประชาชนที่มีสิทธิใช้ทางเท้า ต้องลงไปเสี่ยงตายบนท้องถนน แล้วเปิดโอกาสให้ผู้ที่ยึดทางเท้าทำผิดกฎหมายต่อไปเรื่อยๆ
ย้ำอีกทีว่าไม่ได้รังเกียจผู้ค้าขายบนทางเท้า หากเขาเหล่านั้นไม่ยึดเอาทางเท้าไปเป็นที่ทำกินจนไม่เหลือที่ให้คนเดินเท้า แต่รังเกียจผู้บริหารทุกจังหวัด ไม่ว่าจะในกรุงเทพฯหรือจังหวัดไหนๆ ก็ตาม ที่ไม่มีปัญญาจัดระเบียบทางเท้า แล้วปล่อยให้ทางเท้าถูกคนบางกลุ่มยึดเอาไปแสวงหาผลประโยชน์ส่วนบุคคล แล้วละเมิดสิทธิของผู้อื่น
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี