“อาจารย์มีความเห็นอย่างไร กับเรื่องการยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112”
คือคำถามที่รุ้ง-ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล โยนเข้าใจ ดร.ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม.
1) นายชัชชาติ กล่าวตอบว่า อย่าเอามาตรา 112 มาเป็นเครื่องมือในการสร้างความแตกแยก จริงๆ แล้วมันมีมานานแล้ว ตนมองในแง่ผู้บริหาร การบริหารมันต้องมีความละมุนละม่อมในระดับหนึ่ง มันมีวิธีการในการค่อยๆ ปรับ ถ้าเราบอกว่าจะยกเลิก มาตรา 112 ตนว่ามันจะไปอีกขั้วหนึ่งฉะนั้นเริ่มจากการไม่เอามาตรา 112 มาเป็นเครื่องมือทางการเมือง เอาตรงนี้ก่อน แล้วเดี๋ยวมันจะค่อยๆ พัฒนาไป เราเป็นผู้บริหารมันต้องมีวิธีในการสื่อสาร
“ผมก็อดทนมา 8 ปี ตั้งแต่ปฏิวัติมา แต่เราต้องมียุทธศาสตร์ในการเดิน เขาบอกว่า อันนี้อาจไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้นะ ภาษาอังกฤษว่า The revenge is best when served cold.การแก้แค้นจะดีที่สุดเมื่อตอนที่มันเย็นแล้ว อย่าไปเอาความโกรธความแค้นมาทำ การกำหนด strategy ในการเดินผมเชื่อว่ามียุทธศาสตร์ในการเดิน แล้วเวลาก็อยู่ข้างพวกเราแล้ว ผมว่าเรื่อง 112 นาทีนี้คุณบอกให้ยกเลิก ในความเป็นจริงไม่ง่าย แต่ขออย่าเอามาเป็นเครื่องมือทางการเมือง เริ่มประเด็นนี้ก่อนดีมั้ย แล้วเดี๋ยวมันก็เป็นสเต็ปต่อไป”นายชัชชาติ กล่าว
แน่นอน ซูเปอร์สตาร์ของฝ่ายอนุรักษ์นิยมใน “แอคโค่ แชมเบอร์” รีบถอดรหัสคำพูดของชัชชาติทันที ตอดเล็กตอดน้อยกับคำว่า แก้แค้น, เรา หรือคำอื่นๆ แม้ในมวลรวมของคำกล่าว ชัชชาติแตะเบรก “ความใจร้อน” ของคนรุ่นใหม่ที่อยากจะเปลี่ยนแปลงให้รู้จักรอเวลา ให้รู้จักวางยุทธศาสตร์ และสำคัญที่สุดคือ “อย่าไปเอาความโกรธความแค้นมาทำ”
นักวิเคราะห์ล้วนวิเคราะห์ “ชัยชนะของชัชชาติ” ที่ได้คะแนนเสียงถล่มทลายจากการเลือกตั้งครั้งนี้ว่า แก่นสาระสำคัญอยู่ที่ชัชชาติเดินออกจาก “ยุทธศาสตร์ เขา-เรา” คือไม่เล่นกับความเป็นพวก เป็นขั้วเป็นข้าง เกลียดพวกนั้น กลัวฝ่ายนั้น จงเลือกฝ่ายนี่ จงเลือกคนนี้ คะแนนที่ไหลมากองอยู่ที่ชัชชาติจึงมาจากผู้เลือกทุกกลุ่ม
ปรากฏการณ์ชัชชาติ จึงควรนำผู้คนออกจาก “ความโกรธ ความเกลียด” มาสู่การมี “ยุทธศาสตร์” แม้ลึกๆ ในใจจะคาดหวังสิ่งใดอยู่ก็ตาม แต่อย่าขับเคลื่อนความต้องการนั้น โดยใช้กระบวนการของความโกรธ ความเกลียดเป็นพลัง
2) ถัดมา วันที่ 3 มิ.ย.2565 เว็บไซต์ข่าวและสื่อ Roundtable Thailand โพสต์ข้อความระบุว่า
นายปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ นักวิชาการและผู้ลี้ภัยทางการเมืองในญี่ปุ่น โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ค ภายหลังได้โพสต์เฟซบุ๊คภาพนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ที่มีรูปแบนเนอร์ถวายพระพรเนื่องในโอกาสวันเฉลิมฯ แต่กลับถูกสมาชิกกลุ่มตลาดหลวงของตัวเองโจมตี โดยนายปวินยืนยันว่า
“เชียร์ชัชชาติตั้งแต่วันแรก เชียร์สุดลิ่มทิ่มประตูวันนี้ก็ยังเชียร์อยู่ แต่หงุดหงิดใจว่า ทำไมนักการเมืองแบบใหม่ยังต้องมาอวยอะไรแบบนี้ พอพูดอย่างนี้ปุ๊บ อีเด็กในตลาดมันตีความว่าดิชั้นจะให้ชัชชาติออกมาชนเจ้า
ไม่เลยค่ะ ไม่... เพียงแต่ถ้าเรามีนักการเมืองแบบใหม่ที่สามารถยุติหลักปฏิบัติแบบนี้ มันจะเป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ เหมือนกับถ้าเราเลิกยืนในโรงหนัง มันคือการสร้างหลักปฏิบัติแบบใหม่ ฟังอีกที “ไม่อวย ไม่ได้หมายความว่าให้ออกมาด่า” เลิกบูชาตัวบุคคลจนลืมว่าอะไรคือหลักการสำคัญ
ที่น่าสนใจก็คือ คุณชัชชาติตอบคำถามรุ้งเมื่อวันก่อนเรื่อง 112 ว่า มันถูกเอามาใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง แต่วันนี้คุณชัชชาติอวยพรวันเกิดคนที่เอา 112 มาใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง สังคมมันก็วนลูปแบบนี้ รู้ว่าใครทำผิดแต่ก็ยังต้องยกย่องกันต่อไป แล้วคนที่เป็นแฟนคลับ พอเป็นคนที่เรารัก ก็ยอมสร้างข้อยกเว้นให้ทุกอย่าง ยกเว้นว่าชัชชาติไม่ควรถูกวิจารณ์ใดๆ เรื่องที่เกี่ยวข้องกับสถาบันกษัตริย์ ฝากให้คิดค่ะ”
คุณเห็นความต่างของ “วุฒิภาวะ” ไหมครับ ลึกๆ ชัชชาติอาจคิดและต้องการเหมือนปวินก็ได้ แต่เขา “ฉลาดที่จะแสดงออก” มากกว่าจะเล่นบท “นางริษยาบ้าคลั่ง” ยืนถลึงตา เบะปากใส่กล้อง ด้วยความสะใจที่ฉันได้ทำอย่างนี้
การสวมเสื้อสีม่วง การขึ้นแบนเนอร์เพื่อรวมถวายพระพรในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา เป็น “ของแสลง” เป็น “ตัวกระตุ้นจริต” ที่ก่อให้เกิดอาการ “ดีดดิ้น” สำหรับปวิน แต่ไม่ได้หมายความว่า คนอื่นต้องมีมาตรฐานการแสดงออกแบบปวิน จึงจะนับเป็นคนดี คนกล้า มิใช่หรือ?
นางผู้ใช้ตนเองเป็นไม้บรรทัด กำลังพ่ายแพ้ เพลี่ยงพล้ำ เพราะด้อยวุฒิภาวะทางอารมณ์
แนวร่วมของนาง อาจเริ่มคล้อยตาม “การไม่แก้แค้น” ด้วย “ความโกรธความเกลียด” แบบที่ชัชชาติคุยกับรุ้งเสียแล้วกระมัง พวกเขาอาจคิดได้แล้วว่า อย่าทำอะไรโง่ๆ ซึ่งไม่ได้หมายความว่า เป้าหมายจะเปลี่ยนไป แค่ “วิธีการ” เท่านั้น ที่เปลี่ยนไป
พวกเขาอาจกำลังส่งสัญญาณว่า ในการต่อสู้ทางการเมืองนั้น หมดเวลา “แอ๊กติ้งแบบนางตอแหลรุ่นเก่า” ในละครตลาดล่างแล้วกระมัง?
ความโกรธ ความเกลียด มักกดทับ “ความมีสติ”และ “ความมีเหตุมีผล” ที่ส่งผลให้ ความแนบเนียนความน่าเคลิ้มคล้อยลดลง
เลยเวลาของการต่อสู้กันอย่างบ้าคลั่ง มาสู่ยุทธวิธีที่ “ลุ่มลึก” ไม่ใช่โฉ่งฉ่างกลางตลาด (หลวง) แบบแม่ค้าปากตลาด (ล่าง)
3) อีกกรณีหนึ่ง ซึ่ง “คลุมเครือ” ในการใช้ถ้อยคำของ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” หัวหน้าพรรคก้าวไกลประกอบกับมีกระบวนการ “ตัดตอน/ตัดต่อ” จนปลุกพลัง“โกรธ-เกลียด” ขึ้นมาปะทะ นั่นก็คือกรณี “เงินบำนาญข้าราชการ”
พิธาได้อภิปรายงบประมาณปี 2566 ในส่วนโครงสร้างงบประมาณประเทศ ซึ่งเมื่อพิจารณาภาพรวมแล้วมองว่าเป็นการจัดงบแบบ “ช้างป่วย” ที่ปรับตัวไม่ได้ งบประมาณมีรายได้ที่ผันผวนและรายจ่ายแข็งตัว รัฐสามารถจัดเก็บรายได้ที่ 2.49 ล้านล้านบาท ไม่พอต่อรายจ่าย จำเป็นต้องกู้เพิ่ม 6.9 แสนล้านบาท ไทยยังคงพึ่งพาเศรษฐกิจเดิมโดยการเน้นที่อุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมพลังงาน และอุตสาหกรรมท่องเที่ยว
“ตัวเลขที่สูงที่สุดใน พ.ร.บ.งบประมาณนี้ คือ ตัวเลขจากเงินบำเหน็จบำนาญของข้าราชการที่มีมูลค่ากว่า 3 แสนล้านบาท สูงเท่ากับงบประมาณของกระทรวงศึกษาธิการที่ดูแลเด็กนักเรียนทั่วประเทศ ซึ่งเป็นหนึ่งในปัญหาของช้างป่วย โดยคิดเป็น 40% ของวงเงินทั้งหมด หรืองบอุ้ยอ้าย เป็นงบที่ใช้กับอดีตไม่ใช่อนาคต โดยเงินบำนาญข้าราชการถือว่าเพิ่มขึ้น 2 เท่าในช่วง 8 ปีที่ผ่านมาเมื่อทวงถามไปยังสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน(ก.พ.) ว่าในอนาคตเงินบำนาญจะเพิ่มขึ้นจะทำอย่างไร ซึ่งถือเป็นยาขมที่เราจะต้องกลืน เราต้องมาช่วยกันคิดในการรับราชการที่อุ้ยอ้ายนี้ จะมาแก้ไขอย่างไร”
4) เพจ เสธ Play โพสต์ภาพและข้อความระบุว่า ...“เงินบำนาญคือปัญหาของประเทศ?
เสธ. เข้าใจได้ดีกว่าพิธานั้นเป็นลูกคนรวย เป็นนักธุรกิจ อยู่บนกองเงินกองทองมาทั้งชีวิต ย่อมไม่สนใจเงินบำนาญอยู่แล้ว แต่การพูดว่าเงินบำนาญคือตัวปัญหาของการพัฒนาประเทศนั้นเป็นสิ่งไม่สมควร
1.ข้าราชการส่วนใหญ่ทำงานด้วยเงินเดือนที่ต่ำกว่าเอกชน และหน่วยงานราชการเกือบทั้งหมดไม่ได้มีโบนัส ดังนั้นสวัสดิการการรักษาพยาบาล และเงินบำนาญหลังเกษียณ คือสิ่งที่มาชดเชยเงินก้อนใหญ่ๆ ที่ข้าราชการไม่มีแบบเอกชน
บำนาญและสวัสดิการนั้น ต่างจากเงินก้อนใหญ่ๆ แบบเอกชน คือ มันจะได้ใช้เมื่อเข้าเกณฑ์หรือเงื่อนไข กล่าวคือ ถ้าไม่เจ็บป่วยก็ไม่ได้ใช้สิทธิรักษาพยาบาล ถ้ายังไม่เกษียณก็ยังไม่ได้รับเงินบำนาญ ระบบนี้ทำให้ภาครัฐไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินเป็นก้อนใหญ่ๆ ในแต่ละเดือน แต่จ่ายเมื่อต้องจ่าย เรียกได้ว่าประหยัดเงินกว่าการจ่ายเป็นก้อนใหญ่ๆแบบเอกชนด้วยซ้ำ
ข้าราชการบางคนสุขภาพดีมาก แทบไม่เคยต้องใช้สิทธิรักษาพยาบาล บางคนเกษียณแล้วก็ตายเลย ยังไม่ทันได้จ่ายบำนาญ แบบนี้ก็มี
ถ้าจะไม่ให้มีเงินบำนาญแล้ว รัฐต้องจ่ายเงินเดือนให้ข้าราชการเทียบเท่าเอกชน ซึ่งต้องเพิ่มงบประมาณมหาศาลมาก พอถึงตอนนั้นก็จะโจมตีข้าราชการอีกว่าใช้เงินเยอะ การพูดว่าเงินบำนาญคือปัญหาของประเทศจึงเป็นคำพูดที่ไม่ฉลาดเลย
2.บำนาญข้าราชการนั้น ไม่ใช่ของที่มาอยู่แป๊บๆ แล้วก็ได้ ต้องรับราชการนานถึง 25 ปี จึงจะมีสิทธิ การรับเงินเดือนในอัตราที่น้อยกว่าเอกชนถึง 25 ปีนั้น ไม่ใช่เวลาน้อยๆดังนั้นการได้รับสิทธินี้ก็ถือว่าสมควรแล้ว
3.มีพวกอภิสิทธิ์ชนบางพวกนะครับที่ไม่ต้องรับราชการนานก็ได้บำนาญ อย่างพวก สส. แบบพิธานั่นแหละ ถ้าอยากให้ไม่มีบำนาญ เริ่มจากพวก สส. เสียก่อน
มาอยู่แป๊บๆ งานที่มี คือ ดีแต่พูด พูดแล้วประเทศได้ประโยชน์บ้าง พูดแล้วขัดขวางความเจริญบ้างแบบที่เรากำลังเห็นจากพวกฝ่ายค้าน แต่ได้บำนาญเหมือนคนที่ทำงานมากกว่า 25 ปี แบบนี้มันทุเรศเหมือนกันนะครับ
การพูดแบบนี้ โดยส่วนตัว เสธ. ถือว่าเป็นการไม่ให้เกียรติผู้สูงอายุ เข้าทำนองใช้แล้วทิ้ง มีอย่างหรือเขาทำงานให้กับประเทศมาตั้งนาน รับเงินเดือนที่ได้รับก็ถือว่าไม่ได้สูงเลยเมื่อเทียบกับเอกชน แต่มาบอกว่าเงินที่เขาได้ใช้เลี้ยงชีพหลังเกษียณคือภาระของประเทศ แบบนี้ก็เท่ากับชี้หน้าด่าผู้สูงอายุว่าคือตัวปัญหาของประเทศนั่นแหละครับ อย่ายกยอตัวเองว่าทำงานเพื่อประชาชนเลยครับ ถ้ายังมีความคิดแบบนี้”
5) นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล โพสต์ภาพและข้อความเพจเฟซบุ๊ค “Pita Limjaroenrat - พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” ระบุถึงกรณีดังกล่าวว่า “Fake News” ข่าวปลอมที่กำลังแพร่ระบาดในกรุ๊ป Line-อย่าหลงเชื่อ พรรคก้าวไกล “ไม่มี” และ “ไม่เคยมี” นโยบายยกเลิกบำนาญข้าราชการ มีแต่จะหาวิธีบริหารจัดการงบประมาณแผ่นดินเพื่อ “เพิ่ม” สวัสดิการให้ประชาชนที่น้อยนิด ใช้เทคโนโลยีให้ข้าราชการทำงานได้ดีขึ้น งดการเพิ่มข้าราชการใหม่ในงานที่ไม่จำเป็น ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือกับข้าราชการและประชาชนทุกๆ คนขอทุกท่านช่วยแชร์รูปภาพ พร้อมข้อความนี้ย้อนกลับไปในทุกกรุ๊ป Line ที่ได้รับข่าวเท็จนี้มาด้วยครับ
6) นายทัดชนม์ กลิ่นชำนิ อดีตสมาชิกกลุ่ม New Dem โพสต์เฟซบุ๊คชวนคิดว่า
“ว่าด้วยเรื่องดราม่าเฟคนิวส์พรรคก้าวไกลจะตัดบำนาญข้าราชการ ผมฟังตอนที่คุณพิธาอภิปราย (เรื่องบำนาญข้าราชการ) พอดี และยังชื่นชมด้วยซ้ำว่าพูดดี เพราะข้อเท็จจริงคือ เขาไม่ได้พูดว่าจะตัดบำนาญ จะลดเงินเดือนใดๆ แต่พูดอย่างประนีประนอมสไตล์คุณพิธาประมาณว่า “ฝากถึงข้าราชการที่รักครับว่า ท่านต้องมาช่วยผมคิดว่าจะทำอย่างไรดี(เพราะงบบุคลากรเพิ่มขึ้นทุกปีและจะเพิ่มต่อไป)”
แต่ประเด็นสำคัญมันไม่ได้อยู่ที่คุณพิธาพูดอะไร พูดคำไหน หรอกครับ เพราะมันถ่ายทอดสด ย้อนดูได้ ไม่ใช่เรื่องที่จะบิดอะไรกันได้ แค่ที่สำคัญกว่าประโยคที่คุณพิธาพูดครั้งเดียว มันคือ “ท่าที” ของพรรคในการ “สื่อสาร” นโยบายเรื่องนี้มาโดยตลอดอย่างต่อเนื่องครับ เพราะการเมืองมันคือเรื่องของความเชื่อ คนเชื่อไปแล้วมันก็คือเชื่อ และคนคงไม่เชื่อแค่จากประโยคที่พูดครั้งเดียวหรอก เขาคงเชื่อจากท่าทีหลายๆ ครั้งที่ต่อเนื่องมาโดยตลอด
โดยส่วนตัวผม เห็นด้วยและสนับสนุนทุกนโยบายไม่ว่าพรรคไหนที่พูดถึงการปรับเปลี่ยน ปฏิรูประบบราชการ (ส่วนจะเลือกนโยบายไหนมันอยู่ที่ใช้วิธีการใดในการเล็งเห็นผล) และการพูดถึงปัญหางบบุคลากรที่เพิ่มขึ้น สวนทางกับประสิทธิภาพและความคาดหวังของประชาชนต่อระบบราชการนั้น เป็นข้อเท็จจริงที่ต้องพูดและต้องแก้ไขครับ
แต่อย่างที่บอกครับ “ท่าที” ในการสื่อสารนโยบายนั้นสำคัญ ข้าราชการคือคนทำงานคนหนึ่ง คือมนุษย์เงินเดือนธรรมดาๆ นี่ละครับ ความรู้ความสามารถเท่าๆ กัน เริ่มรับราชการรับเงินเดือน 15,000 ครับ ในขณะที่เพื่อนๆ ทำเอกชนเขาอาจไปถึง 20,000 + แล้ว คนธรรมดาที่ทำงานแลกเงินเดือนซื้อข้าวกินนี่ล่ะครับ ดังนั้น ท่าทีใดที่สื่อสารไม่ชัดเจนว่ามีนโยบายในการแก้ไขอย่างไร แต่มุ่งโจมตีอย่างต่อเนื่อง มันย่อมไม่แปลกที่ข้าราชการหลายคนจะ “เชื่อ” ว่าเขาถูกมองว่าเป็นศัตรูในนโยบายการพัฒนาประเทศตามแนวทางของคุณ
ดังนั้น ลองปรับท่าทีดูมั้ยครับ สื่อสารให้ชัดว่าศัตรูที่ต้องกำราบและเปลี่ยนแปลงคือ “ระบบ” ไม่ใช่ “ข้าราชการ” และชวนเขามาเชื่อว่าเรามี “ศัตรูคนเดียวกัน” นั่นคือ “ระบบที่ด้อยประสิทธิภาพ” เพราะถ้าจัดการกับ “ระบบ” ได้ ข้าราชการเองก็จะได้ประโยชน์จากผลการปฏิบัติงานที่เป็นธรรมวัดผลได้ และก่อให้เกิดประโยชน์กับประชาชนอย่างที่ควรจะเป็น เพื่อให้การสู้กับระบบครั้งนี้ ได้รับการสนับสนุนจากคนในระบบที่ได้รับผลกระทบโดยตรงด้วย และทำให้เขาเชื่อว่าข้าราชการที่ดีที่ทุ่มเททำงานก็จะได้รับความคุ้มครองให้เจริญก้าวหน้าจากระบบที่คุณจะเปลี่ยนแปลงนี้ด้วย
ก็เท่านั้นละครับ แต่ไม่มั่นใจเหมือนกันว่าคนเชื่อไปไกลแค่ไหนแล้ว
สรุป : ผู้นำทางการเมืองไทย ผู้ทรงอิทธิพล และอินฟลูเอนเซอร์ทั้งหลาย ควรได้เวลา “เจริญสติ” และนำพากองเชียร์การเมือง เข้าสู่กระบวนการใช้เหตุผล ลดความบ้าคลั่ง ไม่ฟัง ไม่ค้น ไม่แคร์ ไม่แยแสวิธีการ มาสู่การขับเคลื่อนด้วยยุทธศาสตร์ที่ตั้งอยู่บนความจริง ความรู้ การเคารพซึ่งกันและกัน และการสมานแผ่นดิน แทนการแบ่งแยกแผ่นดิน ผ่านการแยกผู้คนออกจากกัน ออกจากศรัทธาดีๆที่เคยมีร่วมกัน มาสู่การห้ำหั่น “โกรธ-เกลียด-กลัว” เพียงเพื่อให้ตนเอง พวกตนเอง ได้ “อำนาจทางการเมือง” ไปอยู่ในมือ ได้แล้วครับ
แผ่นดินฉิบหายด้วยไฟแห่งความโกรธ เกลียด กลัว ที่พวกท่านสุมขึ้นและยังโหมกันอยู่ มากพอแล้วครับ!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี