วันที่ 24 มิถุนายน 2475 ถือว่าเป็นวันสิ้นสุดของระบบระบอบการเมืองการปกครองแบบราชาธิปไตยและเป็นวันเปิดศักราชของเส้นทางสู่การเป็นสังคมประชาธิปไตยของราชอาณาจักรไทย ซึ่งการดำเนินการมาจนบัดนี้แม้จะเป็นระยะเวลาที่ค่อนข้างยาวนานกว่า 90 ปีแล้ว แต่ราชอาณาจักรไทยก็ยังไม่บรรลุเป้าหมาย ยังคงไปไม่ถึงปลายทางของการเป็นสังคมประชาธิปไตยอย่างสมบูรณ์และสง่างามเสียที
ต่างกับญี่ปุ่นและภูฏาน หรือแม้กระทั่งมาเลเซีย ที่เขาก็อยู่ภายใต้ระบอบกษัตริย์ หรือเป็นราชอาณาจักรเช่นเดียวกับเรา แต่ความเป็นประชาธิปไตยกลับรุดหน้าไปกว่าราชอาณาจักรไทยอย่างมากโข อีกทั้งญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ที่ต่างเคยผ่านความชอกช้ำกับการปกครองด้วยฝ่ายกองทัพเป็นเวลานาน แต่ในวันนี้ พวกเขากลับปลดแอกความเป็นเผด็จการ และนำพาสังคมไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยได้แล้ว
ที่ประเทศต่างๆ เหล่านี้เขาปลดแอกจากสังคมล้าสมัย หรือสังคมเผด็จการได้ สาเหตุหนึ่งก็เพราะประชาชนพลเมืองทุกหมู่เหล่าของเขา ต่างเห็นพ้องต้องกันว่า ประเทศของเขาต้องวิ่งไปในทิศทางของประชาธิปไตย เพื่อศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ และเพื่อผลประโยชน์ของเขาและประเทศของเขาเป็นสำคัญ
ประเด็นปัญหาของความกระท่อนกระแท่นของเส้นทางประชาธิปไตยในช่วง 90 ปีที่ผ่านมา ของราชอาณาจักรไทย สาเหตุหนึ่งที่สำคัญก็คือ ปวงชนชาวไทยทั้งชาติทุกหมู่เหล่ายังไม่สามารถตกลงกันได้ในเรื่องการเอาจริงเอาจังกับการเสริมสร้างราชอาณาจักรไทยให้เป็นสังคมประชาธิปไตย เพราะมีความแตกแยกในความคิดอ่านในหมู่เหล่าของชาวไทยกันโดยตลอดมา เช่น การมีหมู่เหล่าที่ยังยึดติดกับอำนาจ ก็ยังไม่ยอมปลดปล่อยหรือแบ่งปันให้กับประชาชนพลเมืองหรือไม่ก็เพราะมีบางกลุ่มที่มุ่งเพื่อเข้าสู่อำนาจ และใช้อำนาจนั้นเพื่อรวบอำนาจให้กับตนเอง หรือไม่ก็หาผลประโยชน์ กอบโกย โกงกินบ้านเมืองอย่างเป็นระบบ
อีกทั้งสังคมไทยก็มักจะขาดความเอื้ออาทร การเห็นอกเห็นใจ และการยอมรับซึ่งความคิดต่างของกันและกัน และขาดเวทีที่จะได้มีการปรึกษาหารือกันอย่างลึกซึ้งกว้างขวาง เพื่อร่วมกันขจัดอุปสรรคต่างๆ ของการเสริมสร้างสังคมประชาธิปไตย
ฉะนั้น จากราชาธิปไตย สู่ประชาธิปไตยในช่วง 90 ปีที่ผ่านมา เราก็ได้เห็นการแทรกแซง ขัดจังหวะ ของระบอบคณาธิปไตย อัตตาธิปไตย และธนาธิปไตย พร้อมกับมีการมอมเมาโฆษณาชวนเชื่อ โดยนโยบายคลั่งชาติ ชาตินิยม ประชานิยม บริโภคนิยม และอำนาจนิยม ดังที่เป็นที่ประจักษ์กันอยู่และสัมผัสได้
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม พวกเราปวงชนชาวไทยทั้งหมดนี้ก็มีภาระหน้าที่ร่วมกันในการที่จะขับเคลื่อน เสริมสร้างความเป็นจริงของสังคมประชาธิปไตยของราชอาณาจักรไทยกันต่อไปอย่างไม่ลดละ เพราะถือว่าเป็นระบบการปกครองที่ดีที่สุดที่โลกได้ค้นพบ โดยให้เกียรติพลเมืองแต่ละคน และตีกรอบมิให้มีการใช้อำนาจรัฐโดยมิชอบใดๆ อีกทั้งเราทุกคนก็มีหน้าที่ที่จะสานต่อสิ่งที่บรรพบุรุษของเราได้ริเริ่ม และปฏิบัติมาของการเสริมสร้างความเป็นเอกราช และการเสริมสร้างความเจริญก้าวหน้า ความทันสมัย ที่การเป็นสังคมประชาธิปไตยก็เป็นส่วนหนึ่งอันสำคัญยิ่ง
ณ วันนี้หากใครจะพูดหรือกล่าวหาว่า ประชาชนชาวไทยไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจเรื่องการเมือง คงจะมิได้อีกแล้ว เพราะการตื่นรู้ ตื่นตัว ได้มีมาอย่างกว้างขวางมากขึ้นเป็นลำดับ ปัญหาจึงไม่ได้อยู่ที่ประชาชนพลเมืองชาวไทย แต่อยู่ที่
1.ตัวกฎหมายรัฐธรรมนูญที่ไม่เป็นประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์
2.กลุ่มอนุรักษ์นิยม หรืออำนาจนิยม ที่มักจะอยู่ในแวดวงของข้าราชการ ทหาร ตำรวจ และพลเรือน
3.กลุ่มพรรคและนักการเมืองที่รู้จักแค่ประชาธิปไตยคือ การเลือกตั้ง เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจรัฐ และเพื่อหาประโยชน์เข้าตน
4.กลุ่มธุรกิจการเมืองที่ใช้อำนาจเงินเข้าครอบงำวิถีชีวิต และวิถีทางทางการเมือง เป็นต้น
เพราะฉะนั้น การปลดล็อกในเรื่องกฎหมายรัฐธรรมนูญลูกผสมประชาธิปไตยกับอำนาจนิยม จึงต้องบังเกิดขึ้น เพื่อเปิดทางให้ระบอบประชาธิปไตยเดินไปได้อย่างราบรื่น และสง่างาม และในขณะเดียวกัน ฝ่ายกองทัพก็ต้องยุติความคิดและความทะเยอทะยานที่จะต้องเข้ามามีอำนาจหน้าที่ทางการเมือง และฝ่ายข้าราชการพลเรือนก็ต้องคิดถ่ายโอนอำนาจ และกระจายอำนาจไปยังองค์กรท้องถิ่น องค์กรวิชาชีพ และกลุ่มผลประโยชน์เพื่อสังคมต่างๆ อีกทั้งภาครัฐก็มีภาระหน้าที่ในการให้ข้อมูลข่าวสาร เพื่อการรับรู้และเสริมสร้างการมีส่วนร่วม ทั้งการตัดสินใจ และการตรวจสอบเพื่อให้หลักธรรมาภิบาลมีผลการปฏิบัติอย่างแท้จริง
ในการเปลี่ยนแปลงสังคมใดๆ ก็มักจะมาด้วย2 วิถีทางด้วยกัน คือ ด้วยการปฏิวัติของประชาชนพลเมือง หรือด้วยวิสัยทัศน์และความปรารถนาที่ดีของฝ่ายชนชั้นปกครอง
สังคมไทยก็ได้ผ่านกระบวนการพรรคคอมมิวนิสต์ ได้เห็นการประท้วง ปะทะมาก็มากครั้ง และได้เห็นวัฏจักรของการประพฤติที่มิชอบของฝ่ายการเมือง ซึ่งนำไปสู่การประท้วงและการยึดอำนาจ และการขีดเขียนกฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ก่อนจะต้องกลับมาเริ่มต้นกันอีก ที่พรรคการเมืองด้วยการเลือกตั้ง และตามด้วยพฤติกรรมอันไม่น่าพึงประสงค์ของฝ่ายการเมืองวนเวียนกันไปอย่างไม่รู้จักจบสิ้น
ก็เริ่มมีข้อคิดที่ว่า ต้องแยกการเป็นผู้แทนราษฎร จากโอกาสที่จะมาเป็นรัฐมนตรีให้เด็ดขาด คือให้ผู้แทนราษฎรทำงานด้านนิติบัญญัติและควบคุมงบประมาณ และไม่ต้องข้ามฟากหรือมายุ่งเกี่ยว หรือมาเข้าร่วมกับคณะรัฐมนตรีหรือฝ่ายบริหาร โดยให้แยกกันโดยเด็ดขาด และฝ่ายบริหารหรือคณะรัฐมนตรีนั้นก็จะต้องมีการคัดเลือกมาจากกลุ่มผู้คนที่มีประวัติดีงาม มีองค์ความรู้และมีประสบการณ์ และชำนาญการ ส่วนจะคัดเลือกกันอย่างใดก็อาจจะมีการเสนอโดยกลุ่มอาชีพต่างๆ รวมทั้งทางภาคประชาสังคม หรือจะมีการจัดตั้งคณะกรรมการสรรหาระดับชาติ ที่แต่งตั้งโดยองค์พระมหากษัตริย์ หรือจะให้สภาผู้แทนราษฎรเองเสนอรายชื่อขึ้นมาสัก 100-200 ชื่อก็ได้ และผู้ได้รับการเสนอชื่อก็ต้องผ่านการฝึกอบรมที่เรียกว่า พลเมืองและการเมืองศึกษา (Civic and Political Education) เพื่อให้มีความเข้าอกเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับระบบการเมืองการปกครองเชิงเปรียบเทียบ และประวัติศาสตร์การเมืองของไทย เป็นต้น
90 ปี ก็เป็นเวลาเพียงพอที่เราจะทบทวนเรื่องราวทั้งหมดของวิวัฒนาการของประชาธิปไตยของไทย และตั้งหลักใหม่กันอย่างจริงจัง เพื่อที่จะให้ราชอาณาจักรไทยสามารถบรรลุได้ซึ่งการเป็นสังคมประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ไม่น้อยหน้าประเทศใดๆ
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี