วันที่ ๒๔ มิถุนายน ของทุกปี จะมีประชาชน กลุ่มมวลชนนักเคลื่อนไหวทางการเมืองออกมาชุมนุมรำลึกถึงวันเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นการปกครองในระบอบประชาธิปไตยรัฐสภา
๒๔ มิถุนายน ๒๕๖๕ ครบรอบ ๙๐ ปีที่คณะราษฎรตกค้างเรียกว่าวัน “อภิวัฒน์สยาม” ที่กลุ่มปฏิปักษ์สถาบันพระมหากษัตริย์ ออกมาชุมนุมรำลึกถึงวันอภิวัฒน์สยามกันทุกปี แต่มาระยะสองสามปีหลังนี้ดูเหมือนว่านักเคลื่อนไหวทางการเมืองรุ่นใหม่ใช้วันที่ ๒๔ มิ.ย. เป็นวันก่อจลาจล โจมตีรัฐบาล และพาลไปถึงสถาบันสูงสุดของชาติ
จนทำให้นักวิชาการฝ่ายจงรักภักดี เรียกวันที่ ๒๔ มิ.ย. ๒๔๗๕ ว่า “เป็นวันปล้นพระราชอำนาจปล้นพระราชทรัพย์” คอลัมน์ทวนกระแสข่าวเห็นด้วยกับคำจำกัดความว่า “เป็นวันปล้นพระราชอำนาจและพระราชทรัพย์ และเป็นต้นตอของวงจรอุบาทว์ที่เป็นต้นแบบของการปฏิวัติรัฐประหารและเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญมาแล้วถึง ๒๐ ฉบับ
จากการปฏิวัติรัฐประหาร ๑๓ ครั้ง และปฏิวัติไม่สำเร็จกลายเป็นขบถถึง ๑๑ ครั้ง ในจำนวน ๑๓ ครั้ง ของการปฏิวัติรัฐประหาร เป็นการปฏิวัติแย่งชิงอำนาจกันเองในหมู่คณะราษฯถึง ๗ ครั้ง
สาเหตุที่คณะราษฯปฏิวัติฆ่าฟันล้างผลาญกันเองน่าจะเกิดจากการไม่ไว้วางใจกันเพราะว่าหนึ่งกลุ่มต้องการประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แต่อีกกลุ่มต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศให้เป็นคอมมิวนิสต์แบบรัสเซีย และที่สำคัญแบ่งปันพระราชทรัพย์ที่ปล้นมาได้ไม่ลงตัว
คอลัมน์ทวนกระแสข่าว ขอเอาตัวอย่างของการทรยศหักหลังหลอกลวงกันเอง ในหมู่คณะราษฯ ซึ่งบันทึกไว้ในหนังสือเรื่อง “เบื้องแรกประชาธิปตัย” จัดทำโดยสมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทย พิมพ์ครั้งที่ ๒ ในปี ๒๕๕๙
“เบื้องแรกประชาธิปตัย” เป็นบันทึกความทรงจำของผู้อยู่ในเหตุการณ์ ปี ๒๔๗๕ ถึง ๒๕๐๐ คอลัมน์นี้ขอนำเอาบันทึกของพลโทประยูร ภมรมนตรี ที่ตอนหนึ่งบันทึกไว้ว่า
“วันที่ ๒๕ มิถุนายน หลวงประดิษฐ์มนูธรรมได้นำรัฐธรรมนูญขึ้นทูลเกล้าถวาย ทรงตั้งพระทัยพิจารณาอย่างจริงจัง แต่ครั้นแล้วมีหลายตอนที่ทรงข้องพระทัยยิ่งนัก จึงตรัสถามพระยาทรงสุรเดชว่า ได้อ่านรัฐธรรมนูญมาก่อนหรือเปล่า ซึ่งพระยาทรงสุรเดชกราบทูลว่า ไม่ได้อ่าน
เพราะไม่ใช่หน้าที่ และ ท่านเจ้าคุณ(พระยาพหลฯ) ได้กำชับหลวงประดิษฐ์มนูธรรมไว้แล้วว่าให้ร่างรัฐธรรมนูญแบบอังกฤษ ซึ่งมีพระมหากษัตริย์อยู่ใต้รัฐธรรมนูญ ซึ่งทรงรับสั่งว่าต้องการจะให้เป็นเช่นนั้น แต่นี้เรื่องอะไรกันถึงต้องใช้คำเสนาบดีว่า “คณะกรรมการราษฎร”ซึ่งเป็นแบบรัสเซีย แบบคอมมิวนิสต์ทรงไม่เข้าใจว่านี่มันอะไรกัน
พระยาทรงสุรเดช รู้สึกตกตะลึงอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วลุกขึ้นมาถวายคำนับว่า “ข้าพระพุทธเจ้าขอพระราชทานอภัยและขอถวายสัตย์ว่าจะไปร่างมาใหม่ ให้เป็นไปตามพระราชประสงค์ทุกประการ”
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ทรงนิ่งอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง น้ำพระเนตรขุ่น แล้วรับสั่งว่า “ถ้าพระยาทรงสุรเดช รับรองว่าจะเอาไปแก้ไขกันใหม่ ฉันก็จะยอมเชื่อพระยาทรงฯแต่อย่างไรก็ตามวันนี้หัวเด็ดตีนขาดไม่ยอมเซ็น” แล้วขอให้เป็นวันที่ ๒๗ คือต่อจากนี้ไปอีกสองวัน แล้วก็เสด็จขึ้น
พวกเราทุกคนต่างก็ตะลึงพรึงเพริด ทยอยกันออกมายืนที่ลานหน้าพระราชวังพระยาทรงฯ ชี้หน้าหลวงประดิษฐฯว่า “คุณหลวงทำฉิบหายป่นปี้ ไม่ทำตามที่บอกกันไว้ ทำอะไรนอกเรื่อง” พระยาทรงพูดอย่างเคืองแค้น เป็นอันว่าความสัมพันธ์ระหว่างพันเอกพระยาทรงสุรเดช กับ หลวงประดิษฐ์มนูธรรมได้แตกร้าวลงไปอย่างไม่มีทางที่จะประสานกันได้ตั้งแต่วาระนั้น
ตั้งแต่วันที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๔๗๕ คณะราษฯ ผู้ก่อการยึดอำนาจ และ จับเจ้านายหลายพระองค์ไว้เป็นตัวประกันแล้วทำหนังสือข่มขู่ว่าหากมีการขัดขืนจะทำร้ายเจ้านายที่เป็นตัวประกันถึงเสียชีวิต พฤติกรรมเช่นนี้ถ้าไม่เรียกว่า ปล้นพระราชอำนาจแล้วเรียกว่าอภิวัฒน์สยาม ได้อย่างไร
และจากหนังสือเบื้องแรกประชาธิปตัยเช่นกันมีบางตอนได้บันทึกไว้ว่า มีนายทหารที่ร่วมทำการปฏิวัติไปหลอกนักเรียนนายร้อยว่าพามาชมสาธิตการซ้อมรบที่ลานพระรูปทรงม้า นักเรียนนายร้อยทหารถูกหลอกให้มาร่วมปฏิวัติโดยไม่เต็มใจ
ในหนังสือเรื่องปฏิวัติสยามตอนหนึ่งบันทึกไว้ว่าเมื่อได้ราชวงศ์ชั้นสูงมาเป็นตัวประกันแล้วพระพหลฯ หัวหน้าคณะปฏิวัติก็ยืนอ่านแถลงการณ์(ส่วนใหญ่วิจารณ์สถาบันพระมหากษัตริย์อย่างรุนแรง) แล้วจากไป
พระยาพหลฯไม่ได้ยืนอ่านแถลงการณ์ตรงจุดที่ฝ่ายปฏิปักษ์สถาบันอ้างว่า อ่านแถลงการณ์ตรงจุดที่ฝังหมุดคณะราษฯคอลัมน์นี้จึงเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งที่มีคนรื้อหมุดอาถรรพณ์ชั่วร้ายนั้นออกไปจากเขตพระราชฐาน
คณะราษฯ ไม่ใช่ผู้ปฏิวัติ หรือ อภิวัฒน์สยามแต่เป็น กลุ่มโจรปล้นพระราชอำนาจพระราชทรัพย์และปกครองประเทศ โดยการโกหกหลอกหลวง ฆ่าฟันล้างผลาญกันเองเพื่อแย่งชิงอำนาจ ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันปกครองประเทศแบบเผด็จการทรราชมาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๗๕ ถึง พ.ศ.๒๕๐๐ จนถูก จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ยึดอำนาจ ทรราชที่ทำให้ประเทศเสียโอกาสพัฒนาไปถึง ๒๕ ปี หนีไปตายต่างประเทศ
ดังนั้นคนรุ่นใหม่ ที่ประกาศตัวเป็นผู้สืบทอดภารกิจ ๒๔๗๕ ที่ยังค้างคาให้สำเร็จ จึงไม่เป็นที่ประหลาดใจที่คณะราษฎรรุ่นใหม่ถึงได้หยาบคายกักขฬะชั่วช้าต่อสถาบันหลักของชาติและโกหกหลอกลวงอ้างว่า ต้องการปฏิรูปสถาบันแต่พฤติกรรมสามานย์มันคือทำลายสถาบันชัดๆ
และอีกอย่างที่เหมือน คณะผู้ก่อการ ๒๔ มิ.ย. ๒๔๗๕ คือ ทุนสามานย์ตัวการล้มสถาบันหลบซ่อนอยู่ใต้กระโปรงเด็กรุ่นใหม่ไม่กล้าแสดงตัวออกมา และคงเปิดโฉมหน้าถ้าคนรุ่นใหม่ปฏิวัติได้สำเร็จ
แต่การปล้นพระราชอำนาจพระราชทรัพย์ทำได้ในปี ๒๔๗๕ ในทศวรรษ ๒๕๖๕ คนไทยผู้จงรักภักดี ไม่ยอมให้มีประวัติศาสตร์ซ้ำรอยแน่นอน
สุทิน วรรณบวร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี