ขณะนี้มีการเผยแพร่ข้อความในโซเชียลมีเดียเป็นเนื้อความอ้างอิงว่า ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้ไปพูดที่อังกฤษให้นักเรียนไทยบางคนฟังว่าเป็นผู้เจรจากับเติ้ง เสี่ยวผิง ขอร้องให้จีนทำสงครามสั่งสอนเวียดนาม เพื่อช่วยเหลือประเทศไทย และมีการแชร์ข้อความนี้กันอย่างกว้างขวางมาตั้งแต่เดือนเมษายน 2565
จะมีเจตนาประการใดหรือจะหวังยกย่องเชียร์ใครหรือต้องการอวดรู้ว่าทราบเรื่องประวัติศาสตร์ช่วงสงครามสั่งสอนเวียดนามก็ว่ากันไป แต่ก็ไม่ควรทำให้ไขว้เขวประวัติศาสตร์ของเรื่องนี้
เพราะผู้คนที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้ แม้ส่วนใหญ่ล้มหายตายจากไปแล้วแต่ความจริงก็ยังดำรงอยู่ ประวัติศาสตร์สงครามของกองทัพไทยก็ยังคงอยู่ ผู้ที่เกี่ยวข้องในครั้งนั้นก็ยังคงอยู่ แม้จะน้อยตัวลงก็ตามทีดังนั้นเพื่อไม่ให้ประวัติศาสตร์ช่วงนี้ถูกบิดเบือนหรือไขว้เขวไปจากความจริง จนกระทั่งวีรกรรมของวีรชนแห่งกองทัพไทยต้องถูกลบเลือนไปจากประวัติศาสตร์ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องทำความจริงเรื่องนี้และย้ำความเรื่องนี้ให้ปรากฏอีกครั้งหนึ่ง
ก่อนอื่นก็ต้องบอกว่า ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ไม่ใช่ผู้ที่เปิดการเจรจากับจีนเพื่อทำสงครามสั่งสอนเวียดนามเพื่อช่วยเหลือประเทศไทยในยามวิกฤต จึงไม่ควรเอาสีวีรชนไปป้ายทาให้กับ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เพราะผลงานและคุณงามความดีของท่าน และความเป็นนักปราชญ์ยอดชนของชาติที่ได้สร้างคุณูปการไว้ในเรื่องทั้งหลายมีมากมายอยู่แล้ว ไม่จำเป็นจะต้องเอาเรื่องไม่จริงไปยัดเยียดให้กับท่านเลย จะทำให้เกิดรอยด่างในชีวประวัติของท่านเสียเปล่าๆ
ความจริงในเรื่องนี้เป็นอย่างไร?
ประการแรก ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ในขณะที่เป็นนายกรัฐมนตรี ได้รับนโยบายระดับสูงประกอบเข้ากับการฟังรายงานของสภาความมั่นคงแห่งชาติว่าสหรัฐอาจจะแพ้สงครามเวียดนาม ดังนั้นจำเป็นที่ไทยจะต้องเปิดสัมพันธ์ทางการทูตกับจีน การเปิดสัมพันธ์ทางการทูตได้กระทำกันในเดือนมิถุนายน 2518 ในโอกาสนั้น ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ปราโมช ได้เข้าพบประธานเหมา เจ๋อตุง และได้ลงนามสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตขึ้นกับนายกรัฐมนตรีโจว เอินไหล ไม่มีการเจรจากันเรื่องทำสงครามสั่งสอนเวียดนามเพราะเหตุการณ์เกิดขึ้นภายหลังหลายปี
ประการที่สอง ในช่วงนั้นสหรัฐได้ถอนทัพออกจากประเทศไทย เพราะผลจากการพ่ายแพ้สงครามเวียดนาม และผลจากการขับไล่ของบรรดานักเรียนนิสิตนักศึกษาทั่วประเทศ แต่ยังไม่ทันที่จะได้จำเริญไมตรีในทางการทหารและด้านอื่นๆ ก็เกิด “เหตุการณ์ 6 ตุลา” ทำให้นักศึกษาเข้าป่าไปร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยทำการต่อสู้กับรัฐบาลไทยต่อเนื่องมาจนถึง พ.ศ.2529 จึงเป็นอันสิ้นสุด และในช่วงนั้นรัฐบาลไทยก็หันกลับไปจับมือดีกับสหรัฐอีกครั้งหนึ่งและห่างเหินกับจีนอีกครั้งหนึ่ง หลายคนที่เดินทางไปจีนในช่วงนั้นถูกสอบสวนในข้อหาคอมมิวนิสต์และความมั่นคง
ประการที่สาม ต่อมาสหรัฐแตกทัพจากเวียดนามโดยเด็ดขาด กองทัพของนายพลโว เหงียนเกี๊ยบ ได้ชัยชนะต่อกองทัพสหรัฐและพันธมิตร รวมทั้งไทยที่เข้าร่วมด้วยช่วยกัน เป็นผลให้ลาวและกัมพูชาเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเป็นประเทศสังคมนิยม ในขณะที่กัมพูชานั้นปกครองโดยเขมรแดงซึ่งฝักใฝ่จีน โดยมีฝ่ายต่อต้านคือขแมร์กรอมที่นิยมเวียดนามนำโดยเฮง สัมริน ได้ร่วมกับเวียดนามต่อสู้กับรัฐบาลพอล พต ของเขมรแดงอยู่ระยะหนึ่งจนเกิดเหตุสังหารหมู่ที่ลือลั่นในโลก
ประการที่สี่ หลังจากนั้นเวียดนามได้ร่วมกับพวกขแมร์กรอมที่นำโดยเฮง สัมริน เปิดยุทธการบัวบาน โดยเวียดนามตั้งพลเอกเทียน วันดุง เป็นแม่ทัพใหญ่ เคลื่อนทัพจากเวียดนามรุกเข้ายึดพนมเปญ และกระจายกำลังออกยึดทั่วประเทศได้ในเวลาชั่ว 7 วัน ขับไล่รัฐบาลเขมรแดงออกจากอำนาจ ทำให้รัฐบาลเขมรแดงต้องถอยทัพมาตั้งหลักมั่นอยู่ที่ฐานที่มั่นแถบพนมมาลัยใกล้ชายแดนไทย
ประการที่ห้า หลังจากเวียดนามยึดกัมพูชาได้โดยทั่วไปแล้วก็ได้จัดตั้งรัฐบาลเฮง สัมริน ขึ้นปกครองเขมรในขณะเดียวกันก็ทำสงครามกับพวกเขมรแดงแถบชายแดนไทย มีการเคลื่อนกำลังทหารเวียดนาม โดยมีกองพลรถถังจำนวนมากเพิ่มเติมเข้ามาไม่ขาดระยะ
ประการที่หก เดือนมิถุนายน 2521 ซึ่งเป็นช่วงรัฐบาลเกรียงศักดิ์ ได้มอบหมายให้พลเอกทวนทอง สุวรรณทัตรับผิดชอบสถานการณ์ด้านกัมพูชา ในขณะที่พันเอกชวลิต ยงใจยุทธ และพันเอกพัฒน์ อัคนิบุตร ปฏิบัติหน้าที่รับผิดชอบด้านเขมรและลาว และได้รับนโยบายระดับสูงให้ยกระดับความร่วมมือทางการทหารกับจีน เพราะมีทีท่าว่ากองทัพเวียดนามจะเพิ่มกำลังเข้ามาประชิดชายแดนไทยมากขึ้น จนอาจเกินกำลังกองทัพไทยที่จะรับมือกำลังพลของเวียดนามที่มีอาวุธยุทโธปกรณ์หนักและทันสมัยได้
พลเอกทวนทอง สุวรรณทัต ได้มอบหมายให้พลโทผินเกษร, พันเอกชวลิต ยงใจยุทธ และพันเอกพัฒน์ อัคนิบุตร เป็นทูตลับเดินทางไปประเทศจีนเพื่อแสวงหาความร่วมมือทางการทหารในการรับมือกับสถานการณ์ที่เวียดนามอาจรุกรานประเทศไทย คณะทูตลับได้เดินทางไปถึงปักกิ่งในเดือนมิถุนายน 2521
ประการที่เจ็ด คณะทูตลับได้เจรจาความเมืองกับเติ้ง เสี่ยวผิง เป็นรอบแรก ผลการเจรจาคือสถานการณ์ชัดเจนว่าอีกไม่นานกองทัพเวียดนามจำนวนมากจะยกมาประชิดชายแดนไทย และอาจเปิดฉากรุกยึดประเทศไทยโดยร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยเป็นกองหน้าเช่นเดียวกับยุทธการบัวบาน ดังนั้นจีนจะเคลื่อนกองทัพเข้าตีเวียดนามทางด้านเหนือเพื่อกดดันให้เวียดนามต้องถอนทหารทั้งหมดไปยันกองทัพจีนทางด้านเหนือติดกับมณฑลกวางสี
เมื่อเจรจารอบแรกเรียบร้อย จึงมีการเจรจาในรายละเอียดและกำหนดแนวทางยุทธการ โดยประชุมเพิ่มเติมกับกองบัญชาการใหญ่และกองเสนาธิการใหญ่ กองทัพปลดแอกประชาชนจีนอีก 3 รอบ รวมเป็นการเจรจา 4 รอบ ณ เรือนรับรองแห่งรัฐเตี้ยวหยูไถ่ ซึ่งพันเอกพัฒน์ อัคนิบุตร ได้ใช้เครื่องมือพิเศษบันทึกเสียงการเจรจาไว้ทั้ง 4 รอบ และได้ส่งมอบคืนให้กับฝ่ายจีนในช่วงก่อนที่พันเอกพัฒน์ อัคนิบุตร จะสิ้นบุญไม่นานนัก
ประการที่แปด หลังคณะทูตลับเดินทางกลับในเดือนพฤศจิกายน 2521 เติ้ง เสี่ยวผิง ได้เดินทางมาประเทศไทยในฐานะแขกต่างประเทศเพียงคนเดียวและเป็นพระราชอาคันตุกะของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 เนื่องในงานทรงผนวชสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ในขณะนั้นข่าวคราวการเคลื่อนกำลังของกองทัพเวียดนามใกล้ชายแดนไทยได้เพิ่มขึ้นเกือบ 300,000 คน ในขณะที่ทางจีนได้รายงานข่าวว่าเวียดนามรุกล้ำดินแดนจีนด้านกวางสีและมีการปะทะประปรายระหว่างกัน
ประการที่เก้า กลับจากงานทรงผนวชสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมารแล้ว ในเดือนมกราคม 2522 เติ้ง เสี่ยวผิง เดินทางไปเยือนสหรัฐฯในขณะนั้นฝ่ายจีนรายงานการปะทะตามแนวชายแดนนับร้อยครั้ง ในขณะที่จีนได้เคลื่อนกำลังทหารจากภาคทหารเฉิงตู ฮกเกี้ยน กวางตุ้ง และกวางสี พร้อมกองพลรถถังจำนวนมากเป็นจำนวนพล 500,000 คน รถถัง 5,000 คัน เครื่องบิน 1,200 ลำ ไปที่ชายแดน ทำให้เวียดนามต้องค่อยๆ ถอนทหารออกจากชายแดนไทยขึ้นไปป้องกันชายแดนจีนทางด้านเหนือเพราะคาดหมายว่าจีนอาจบุกเวียดนาม จนต้องขอรับการสนับสนุนจากโซเวียตให้ส่งกองเรือมาช่วยขนรถถังและอาวุธยุทโธปกรณ์จากชายแดนไทยขึ้นไปยันศึกทางด้านเหนือ
ประการที่สิบ เดือนกุมภาพันธ์ 2522 หลัง เติ้ง เสี่ยวผิง เดินทางกลับจากสหรัฐไม่กี่วัน เป็นช่วงเวลาที่แม่น้ำกั้นชายแดนจีน-โซเวียต ซึ่งเป็นน้ำแข็งละลาย ทำให้รถถังหรืออาวุธหนักของโซเวียตไม่สะดวกที่จะรุกเข้าจีนถ้าหากว่าจะช่วยเวียดนาม กองทัพปลดแอกประชาชนจีนก็ได้เปิดสงครามสั่งสอนเวียดนามใช้เวลา 7 วัน ก็ยึดหลั่งเซินได้สำเร็จ และทำลายกองพลเสือบินหมดทั้งกองพล
ในการเปิดยุทธการสงครามสั่งสอนที่มณฑลกวางสีนั้นนาวาอากาศตรีประสงค์ สุ่นศิริ ซึ่งปฏิบัติงานที่สภาความมั่นคงแห่งชาติก็ได้ไปร่วมอยู่ในเหตุการณ์ครั้งนั้นด้วย
นี่คือความจริงทางประวัติศาสตร์ และไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เลย หากจะถือว่าการเจรจาของคณะทูตลับเป็นความดีแก่ชาติบ้านเมืองก็ต้องยกความดีนั้นให้แก่บุคคลสำคัญระดับสูงที่กำหนดนโยบายให้กองทัพปฏิบัติ ตลอดจนผู้นำกองทัพไทยและผู้ปฏิบัติงานในครั้งนั้น แม้ว่าจะไม่มีใครออกหน้าพูดจาเลยแม้แต่สักคนเดียว
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี