นับแต่มีการแต่งตั้งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศท่านใหม่ก็เกิดปรากฏการณ์หลายอย่างเกิดขึ้นในเชิงบวกของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับขั้วอำนาจทั้งสองของโลก และเป็นที่หวังว่าด้วยสติปัญญาและประสบการณ์ที่สั่งสมมานานจะมีส่วนช่วยให้ประเทศไทยหลุดออกจากปลักแห่งความขัดแย้งของความเสียดุลความสัมพันธ์ระหว่างประเทศได้สำเร็จ
ที่สำคัญคงจะมีส่วนช่วยป้องกันแก้ไขกรณีต่างๆที่ทำให้ประเทศไทยอับอายขายหน้าในกิจการด้านต่างประเทศหลายครั้งหลายหน จนทำให้ผู้นำประเทศต้องถูกเยาะเย้ยถากถางไม่เว้นแต่ละวัน ความหวังนี้ต้องวางไว้ที่เลขานุการรัฐมนตรีต่างประเทศคนใหม่
การที่ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ซึ่งเป็นเจ้าภาพในการประชุมกลุ่ม BRICS ที่กรุงปักกิ่งในระบบออนไลน์ และได้เชื้อเชิญพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา เข้าร่วมประชุมด้วย ต้องถือว่าเป็นมิติใหม่และเปิดโอกาสให้ประเทศไทยในการปรับดุลความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ตลอดจนสร้างทางเลือกให้กับประเทศไทยในด้านการเงินถ้าหากว่าเกิดวิกฤตทางการเงินขึ้น จะได้ไม่ถูกอีแร้งทางการเงินเข้ามากินตับกินพุงเหมือนเมื่อครั้งต้มยำกุ้งจนฉิบหายวายวอดกันทั้งบ้านทั้งเมือง
แต่น่าเสียดายที่การประชุมครั้งนี้ประเทศไทยไม่ได้แสดงท่าทีที่ชัดเจนว่าจะเอาอย่างไรจึงมีการพูดจาฝ่ายเดียว ราวกับว่าเป็นการปราศรัยในสมัชชาใหญ่ สหประชาชาติ ซึ่งต่างคนต่างพูดในเรื่องของตน
แต่นี่เป็นการประชุมทวิภาคี จะใช้วิธีการแบบการพูดฝ่ายเดียวในสมัชชาใหญ่สหประชาชาติไม่ได้ จะต้องพูดจาในหัวข้อที่พหุภาคีนี้เขาจัดประชุมกัน ซึ่งมีเรื่องสำคัญคือ
เรื่องแรก เป็นการประชุมเพื่อก่อตั้งกองทุนเงินสำรองระหว่างประเทศของกลุ่ม BRICS
โดยประเทศที่เข้าร่วมจะลงขันเข้ากองทุนเริ่มแรกประเทศละ 15,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
เรื่องที่สอง เป็นการประชุมเพื่อขยายผลทางเศรษฐกิจ ทางการค้า ระหว่างกันของกลุ่ม BRICS ซึ่งมีประชากรมากกว่าครึ่งหนึ่งของโลก โดยให้ใช้สกุลเงินของภาคีสมาชิกแทนการใช้เงินดอลลาร์สหรัฐ เพราะเห็นว่าบัดนี้เป็นยุคสมัยที่เงินดอลลาร์สหรัฐกำลังล่มสลาย เพราะทั่วโลกได้รับรู้แล้วว่าเป็นเงินกงเต๊กที่ไม่มีสินทรัพย์ใดๆ หนุนเลย และระบบเปโตรดอลลาร์ก็ล่มสลายลงแล้ว
เรื่องที่สาม เป็นเรื่องความร่วมมือระหว่างกัน เพื่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจและความมั่นคงร่วมกัน ไม่ให้ชาติใดกระทำย่ำยีข่มเหงหรือแซงก์ชั่นตามใจชอบเหมือนในอดีตอีกต่อไปแล้ว
ในการประชุมครั้งนี้ปรากฏผลในภายหลังว่า นอกจากภาคีสมาชิกหลัก 5 ประเทศแล้ว ยังมีประเทศนอกกลุ่มที่เข้าร่วมเป็นพันธมิตรในการจัดตั้งกองทุนเงินสำรองระหว่างประเทศของ BRICS เช่น เกาหลีใต้ สิงคโปร์ อินโดนีเซีย เป็นต้น
ล่าสุดนี้ท่านเลขานุการรัฐมนตรีต่างประเทศก็ได้โพสต์ข้อความในเพจของท่านว่ามกุฎราชกุมารบิน ซัลมาน แห่งซาอุดีอาระเบีย จะเสด็จฯเยือนไทยในกิจการด้านการทหารในช่วงเดือนสิงหาคมนี้ ซึ่งต้องถือว่าเป็นนิมิตหมายที่ดีในความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับซาอุดีอาระเบียซึ่งห่างเหินกันมานาน อันเป็นผลกระทบมาจากความล้มเหลวของกระบวนการยุติธรรมเบื้องต้น จนเกิดความเสียหายต่อทั้งสองประเทศมาเป็นเวลายาวนาน
แต่ยังไม่ปรากฏหมายกำหนดการต่างๆในการเสด็จฯเยือนประเทศไทยครั้งนี้ แต่ก็คาดหมายได้ว่าน่าจะมีหมายกำหนดการที่รัฐบาลขอรับพระบรมราชานุญาตนำมกุฎราชกุมารบิน ซัลมาน เข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในฐานะที่ทรงเป็นพระประมุข
เพราะองค์มกุฎราชกุมารบิน ซัลมาน นั้น ไม่ได้มีฐานะเฉพาะทางการทหารอย่างเดียว แต่พระองค์คือองค์มกุฎราชกุมารแห่งซาอุดีอาระเบียที่กำลังจะสืบทอดสิริราชสมบัติในระบอบการปกครองของซาอุดีอาระเบีย และขณะนี้พระองค์ก็เป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินแทนสมเด็จพระราชาธิบดีซึ่งเป็นสมเด็จพระราชบิดาเนื่องจากทรงพระประชวร
ดังนั้นองค์มกุฎราชกุมารบิน ซัลมาน จึงทรงมีฐานะและการปฏิบัติพระราชกรณียกิจในฐานะสมเด็จพระราชาธิบดี ซึ่งทรงเป็นพระประมุขแห่งซาอุดีอาระเบียด้วย
อันความสัมพันธ์ระหว่างประเทศนั้น ในทางกฎหมายระหว่างประเทศและในทางพิธีการทางการทูตแม้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยก็ถือว่าการจำเริญทางไมตรีระหว่างประเทศเป็นเรื่องขององค์พระประมุขที่ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเอกอัครราชทูตไปปฏิบัติราชการแทนพระองค์ในต่างประเทศ จึงต้องมีพิธีพระราชทานสาส์นตราตั้งให้ผู้ที่จะไปดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตในต่างประเทศอัญเชิญพระราชสาส์นตราตั้งนั้นเพื่อนำไปยื่นต่อประมุขของรัฐที่จะไปปฏิบัติหน้าที่
ดังนั้นในฐานะที่องค์มกุฎราชกุมารบิน ซัลมาน ทรงทำหน้าที่เป็นประมุขของซาอุดีอาระเบีย และทรงมีพระราชอำนาจในการจำเริญพระราชสาส์นทางไมตรีระหว่างองค์พระประมุขเสด็จฯเยือนประเทศไทยจึงย่อมเป็นโอกาสดีและเป็นมงคลแก่ทั้งสองประเทศ
แม้พระองค์จะเสด็จฯมาในเรื่องการทหาร ทำนองเดียวกันกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของสหรัฐ นายลอยด์ ออสติน ที่ 3 แต่ก็มีความแตกต่างกันเพราะนายลอยด์ ออสติน เป็นเพียงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในรัฐบาลของท่านประธานาธิบดีไบเดน และเมื่อไม่มีพระราชกรณียกิจที่เกี่ยวข้องกับองค์พระประมุขจึงมิได้มีหมายกำหนดการเข้าเฝ้าฯ แต่ประการใด
ความสัมพันธ์ไทย-ซาอุดีอาระเบีย จงเจริญ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี