ก่อนอื่นก็ต้องยอมรับกันว่าประเทศไทยได้นำเงินบาทผูกติดกับค่าเงินดอลลาร์มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ทำให้การค้าขาย การลงทุน การดำรงเงินสำรอง และค่าของเงินบาทผูกติดอยู่กับค่าเงินดอลลาร์
แต่บัดนี้สถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป ยุคสมัยแห่งเปโตรดอลลาร์ที่ทั่วโลกต้องใช้เงินดอลลาร์ไปซื้อหาน้ำมันแต่เพียงสกุลเดียว ซึ่งเป็นเหตุให้ทุกประเทศต้องแสวงหาเงินดอลลาร์มาใช้จ่าย หรือเป็นเงินสำรองระหว่างประเทศสิ้นสุดลง
การผงาดขึ้นของ SCO หรือองค์การความร่วมมือแห่งเซี่ยงไฮ้ที่มีเครื่องมือทางเศรษฐกิจคือกลุ่ม BRICS ที่มีประชากรค่อนโลก และความร่วมมือของกลุ่มนี้ที่จะยุติระเบียบโลกเก่า ซึ่งเรื่องหนึ่งคือการใช้เงินดอลลาร์เป็นหลัก มาใช้เงินสกุลท้องถิ่น คือ เงินหยวน หรือเงินรูเบิลหรือเงินรูปี เป็นเงินสกุลกลางระหว่างกันกำลังขยายตัวออกไปอย่างกว้างขวาง
ทำให้การซื้อขายน้ำมันของโลกได้ใช้เงินสกุลใหม่ทดแทนเงินดอลลาร์ ในขณะที่ทุกประเทศทั่วโลกเห็นว่าเงินดอลลาร์เป็นเงินกงเต๊กที่ไม่มีสินทรัพย์ใดโดยเฉพาะทองคำหนุนหลัง และมีการพิมพ์เงินดอลลาร์โดยไม่มีกฎเกณฑ์กติกา ทำให้สหรัฐก่อหนี้ขึ้นจำนวนมหาศาลกว่า 30 ล้านล้านดอลลาร์ โดยใช้กระดาษราคาไม่กี่บาทไปแลกกับทรัพยากรต่างๆ จากทั่วโลก ซึ่งเป็นเรื่องเหลวไหลสิ้นดี
ครั้นความจริงถูกย้ำเตือนอย่างต่อเนื่อง ประเทศในกลุ่ม BRICS และประเทศต่างๆ ก็เริ่มหมดความเชื่อมั่นในเงินดอลลาร์ ที่นอกจากเป็นเงินกงเต๊กแล้วยังเป็นเสมือนโซ่คล้องคอบรรดาผู้ใช้เงินดอลลาร์นั้นราวกับว่าเป็นสุนัขก็ไม่ปานจึงพากันเทขายเงินดอลลาร์ในรูปแบบต่างๆ ทั้งพันธบัตร ตราสารหนี้และอื่นๆ
เมื่อมีการเทขายเงินดอลลาร์ครั้งใหญ่ที่สุดของโลกก็ทำให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนลงอย่างไม่หยุดยั้ง ดังนั้น เพื่อจะพยุงค่าเงินดอลลาร์ไว้สหรัฐจึงต้องขึ้นดอกเบี้ยครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อหวังให้มีการซื้อพันธบัตรหรือตราสารหนี้สกุลดอลลาร์ไว้ต่อไป และได้ผลเพียงชั่วข้ามคืน แต่พอวันถัดไปค่าเงินดอลลาร์ก็ทรุดต่ำลงไปอีก
จนกระทั่งรัฐมนตรีคลังของสหรัฐต้องรับสารภาพว่าวางแผนผิดพลาดเรื่องนี้อย่างมหันต์ และไม่เห็นทางใดที่จะแก้ปัญหานี้ได้ แต่เฉพาะหน้าก็ยังคงใช้วงจรอุบาทว์นี้ต่อไป คือเมื่อค่าเงินดอลลาร์อ่อนลงก็ขึ้นดอกเบี้ย ได้ผลไม่กี่วันก็อ่อนลงอีก ก็ขึ้นดอกเบี้ยอีก แต่ภาระดอกเบี้ยที่ขึ้นไปแต่ละจุด 25% นั้นได้เพิ่มความเดือดร้อนแก่ชาวอเมริกันซึ่งเป็นประชากรโลกที่เป็นหนี้มากที่สุด และแต่ละคนมีระยะเวลาใช้หนี้เฉลี่ยถึง 80 ปีดังนั้นจึงซ้ำเติมความเดือดร้อนในประเทศอย่างรุนแรง
ลองดูการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2565 ซึ่งเป็นเวลาเริ่มต้นของสงครามยูเครน ค่าเงินดอลลาร์กับเงินรูเบิลคือ 1 ดอลลาร์เท่ากับ 174 รูเบิล จนประธานาธิบดีไบเดนประกาศว่าเราจะทำให้เงินรูเบิลไร้ค่า เป็นแค่เศษกรวดเศษหินเท่านั้น
ครั้นเวลาผ่านไปแค่ 4 เดือน ปรากฏว่า ค่าเงิน 1 ดอลลาร์ เท่ากับ 54 รูเบิล นั่นหมายความว่าเงินรูเบิลแข็งค่าขึ้นเมื่อเปรียบกับเงินดอลลาร์ถึงสามเท่าตัวแล้ว เป็นการอ่อนค่าครั้งใหญ่ที่สุดและมากที่สุดนับแต่มีเงินดอลลาร์เป็นต้นมา และรากฐานแท้จริงนั้นเกิดจากความมีหนี้สินล้นพ้นตัวของสหรัฐ และฐานะที่เป็นเงินกงเต๊กของเงินดอลลาร์ที่มีอนาคตที่จะต้องก้าวไปสู่การล่มสลายในวันใดเท่านั้น
ดังนั้นเมื่อเงินบาทผูกค่าอยู่กับเงินดอลลาร์ ถ้าหากเทียบกับเงินรูเบิล เงินบาทก็จะอ่อนค่าตามเงินดอลลาร์ที่เทียบกับเงินรูเบิลสามเท่าเช่นเดียวกัน ดังนั้น ถ้าประเทศไทยริจะขายสินค้าให้แก่รัสเซียก็จะได้ผลประโยชน์มหาศาล แต่โชคร้ายเพราะการเสียดุลความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจึงเสียโอกาสดังกล่าวนี้ไปอย่างน่าเสียดาย
ในขณะเดียวกัน ค่าเงินบาทที่ผูกติดกับเงินดอลลาร์กลับอ่อนตัวลงโดยลำดับ จาก 33 บาทต่อ 1 ดอลลาร์ในวันนี้ ได้อ่อนตัวไปถึง 36 บาทต่อ 1 ดอลลาร์แล้ว ช่างละม้ายกับเหตุการณ์ต้มยำกุ้งในปี 2540
สาเหตุหลักของการอ่อนค่าของเงินบาทก็คือการก่อหนี้สินล้นพ้นตัว ไม่ว่าหนี้สาธารณะของรัฐ หรือหนี้ครัวเรือนหรือหนี้ภาคเอกชน และการตั้งหน้ากู้หนี้ก่อหนี้อย่างไม่หยุดยั้งอยู่ในขณะนี้ สภาพที่หนี้สินล้นพ้นตัวเป็นวิถีทางเช่นเดียวกับสหรัฐ และเป็นรากฐานที่ทำให้ค่าเงินอ่อนเหมือนกันด้วย
การที่ค่าเงินบาทอ่อนลงเมื่อเทียบกับค่าเงินดอลลาร์ จะทำให้บรรดาสินค้านำเข้าจากต่างประเทศทั้งหลายแพงขึ้นตามสัดส่วนการอ่อนค่านั้น และอ่อนค่ากว่าเงินดอลลาร์ด้วย เพราะเงินบาทเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ก็ยังอ่อนกว่าอีก
เพราะเหตุที่วิธีคิดในเรื่องนี้เป็นวิธีคิดในร่องรอยเดียวกันกับสหรัฐ ดังนั้นเมื่อค่าเงินบาทอ่อนตัวลงมาก จึงมีการคิดที่จะตั้งวงเงิน 100,000 ล้านบาท เพื่อพยุงค่าเงินบาท ซึ่งต้องคอยติดตามดูความแน่ชัดว่าวงเงิน 100,000 ล้านบาทนี้จะเอามาจากไหน คือจะเอามาจากเงินสำรองระหว่างประเทศ หรือกองทุนเงินตรา หรือว่ามาจากที่ใด
ปรากฏการณ์แบบนี้เป็นปรากฏการณ์เช่นเดียวกับการเริ่มต้นวิกฤตต้มยำกุ้ง ที่เกิดจากการเทขายเงินบาททำให้ค่าเงินบาทอ่อนลง และมีการนำเงินไปพยุงค่าเงินบาท แต่ในที่สุดก็พยุงไม่ไหว เพราะได้ใช้เงินสำรองของประเทศจนหมดสิ้น ในที่สุดก็ต้องเอาประเทศไปจำนำกับ IMF
ในยุคนั้นมีผู้คนจำนวนหนึ่งคัดค้านทักท้วงแต่ถูกตอบโต้อย่างรุนแรง และไม่มีการตั้งสติรับฟังการท้วงติงใดๆ ในที่สุดชาติก็ล่มจม และส่งผลกระทบมาจนถึงวันนี้
วันนี้ประวัติศาสตร์ส่อเค้าว่าจะซ้ำรอยวิกฤตต้มยำกุ้งอีกแล้ว จึงเป็นเรื่องที่คนไทยต้องเตรียมใจเตรียมตัวรับภัยพิบัติในเรื่องนี้ให้จงดี
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี