วันที่ 2 ก.ค. 2540 คือ วันที่พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ นายกรัฐมนตรี ประกาศลอยตัวค่าเงินบาท หลังจากนั้นประเทศไทยก็ดิ่งลงสู่หุบเหววิกฤตต้มยำกุ้ง มีการปิดสถาบันการเงินหลายแห่ง รัฐบาลชวลิตลงนาม LOI ขอกู้เงินจากไอเอ็มเอฟแลกกับเงื่อนไขข้อจำกัดในนโยบายเศรษฐกิจมหาโหด เป็นยาขมหม้อใหญ่
หลังจากนั้น รัฐบาลชวนเข้ามาบริหารประเทศ เจรจาเงื่อนไข ทยอยใช้หนี้ บริหารเศรษฐกิจ กินยาขมหม้อใหญ่ จนเลิกกู้ก่อนกำหนด ทำให้ระยะเวลาที่จะใช้หนี้ก้อนสุดท้ายได้ร่นเร็วขึ้น
พูดง่ายๆ ต่อให้ไม่มีทักษิณ ไม่มีไทยรักไทย ประเทศก็ใช้หนี้ไอเอ็มเอฟได้ก่อนกำหนดอยู่แล้ว
แต่หลังจากนั้น ก็เปลี่ยนรัฐบาล เป็นรัฐบาลทักษิณ พรรคไทยรักไทย ทยอยใช้หนี้ต่อเนื่อง โดยได้อานิสงส์สำคัญจากเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว กระทั่งใช้หนี้ไอเอ็มเอฟหมดในที่สุด และได้จัดกิจกรรมสร้างภาพลักษณ์ให้นายทักษิณใหญ่โต ด้อยค่ารัฐบาลชวนพรรคประชาธิปัตย์ ทั้งๆ ที่เป็นรัฐบาลที่รับงานยากที่สุด ภาระหนักอึ้งที่สุด
ทั้งๆ ความจริง นายทักษิณ ชินวัตร ก็คืออดีตรองนายกฯ สมัยรัฐบาลชวลิต ในช่วงปี 2540 และเป็นคนที่มีสายสัมพันธ์ใกล้ชิดกับนายทนง พิทยะ อดีตรัฐมนตรีคลังที่ไปเซ็นกู้เงินไอเอ็มเอฟพร้อมเงื่อนไขมานั่นเอง
นี่คือความจริงในประวัติศาสตร์อย่างย่นย่อ
ทีนี้ มามองจากปัจจุบัน ไปอนาคต
ในอนาคตอันใกล้ ประเทศไทยจะเกิดวิกฤตเศรษฐกิจใหญ่เหมือนต้มยำกุ้งอีกหรือเปล่า? เพราะเห็นทักษิณ ชินวัตร ที่หนีโทษจำคุกคดีทุจริตอยู่ต่างประเทศ และลิ่วล้อบริวารในประเทศ พยายามจะสร้างกระแสปั่นกันว่า ประเทศชาติล่มจมแน่นอน พังไปหมดแล้ว จะต้องเปลี่ยนตัวผู้นำประเทศเท่านั้น !?!?
ขอฟันธงไว้ตรงนี้ว่า วิกฤตเศรษฐกิจได้เกิดขึ้นแล้ว และผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว โดยต้นเหตุไม่ได้เกิดจากปัจจัยภายในประเทศเหมือนยุคต้มยำกุ้ง หากเกิดเพราะผลกระทบจากโควิด-19 ประกอบกับวิกฤตพลังงานโลก โดยเกิดปัญหารุนแรงทั่วโลก ขณะนี้ แนวโน้มเศรษฐกิจไทยกำลังจะเดินหน้าไปสู่การฟื้นตัว
ความเห็นข้างต้น ไม่ได้มโนนึกเอาเอง แต่อยู่บนพื้นฐานข้อมูลจากรายงานของธนาคารโลก
รายงานข่าวหลายสำนัก เน้นที่พาดหัวข้อข่าวทำนองว่า“เวิลด์แบงก์ ทบทวน GDP ไทยปี’65 เป็นโต 2.9% ห่วงพิษสงครามยูเครนทำปัญหาความยากจนไทยรุนแรงขึ้น” ทำให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนในภาพรวม โดยไม่กล่าวถึง “ข้อมูล” ที่ธนาคารโลกนำเสนอประกอบความเห็นด้วยว่า “เศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวครึ่งหลังของปี 2565 และจะโต 4.3% ในปี’66” รวมถึงข้อมูลที่บ่งชี้อนาคตที่ดีของเศรษฐกิจไทยอีกหลายประเด็น
ในรายงานมอนิเตอร์เศรษฐกิจไทยเดือนมิ.ย. โดยธนาคารโลก (เวิลด์แบงก์) ประจำประเทศไทย ได้สะท้อน “ข้อมูล” ที่น่าสนใจสำหรับประเทศไทย โดยสรุป ดังนี้
1. ธนาคารโลก ระบุว่า คาดการณ์เศรษฐกิจไทยในปี’65 จะขยายตัวที่ 2.9% ลดลงจากประมาณการเดิม (ธ.ค. 2564) ที่คาดว่าจะขยายตัวได้ 3.9%
นั่นก็เพราะตอนที่คาดการณ์ไว้แรกนั้น (ธ.ค.2564) ยังไม่ได้เกิดสถานการณ์รัสเซีย-ยูเครน วิกฤตพลังงานโลก
อย่างไรก็ตาม การคาดการณ์ใหม่ครั้งนี้ ธนาคารโลกมองว่า แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปี’65 จะฟื้นตัวได้ดีขึ้น จากแรงกระตุ้นของการบริโภคภาคเอกชน และการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว และคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้เท่ากับช่วงก่อนการระบาดของโควิด-19 ได้ในช่วงไตรมาส 4/65
ถ้าดูในกราฟข้อมูลที่ธนาคารโลกนำเสนอ จะเห็นได้ว่า ไทยเราผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว ก็คือช่วงที่เราต้องล็อกดาวน์ ปกป้องรักษาชีวิตของประชาชน ยับยั้งการแพร่ระบาดของโควิด แต่ปัจจุบัน เมื่อเริ่มเปิดประเทศคลายล็อก เปิดกิจการต่างๆ สถานการณ์เศรษฐกิจก็ดีวันดีคืน และแนวโน้มจากกราฟก็จะเห็นว่าอัตราขยายตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
2. ธนาคารโลกคาดการณ์ว่า ปีนี้จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยประมาณ 6 ล้านคน โดยเฉพาะในช่วงครึ่งหลังของปีที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นมากกว่า 2 เท่าของจำนวนนักท่องเที่ยวในครึ่งปีแรก และจะเพิ่มเป็น 15 ล้านคนในปี’66 ก่อนจะขยับเพิ่มขึ้นเป็น 24 ล้านคนในปี’67
พร้อมประเมินเศรษฐกิจไทยในปี’66 จะขยายตัวที่ระดับ 4.3%
สำหรับดุลบัญชีเดินสะพัดที่ขาดดุล ธนาคารโลกก็ชี้ชัดว่า ในปี’65 คาดว่าดุลบัญชีเดินสะพัดจะขาดดุลเพียงเล็กน้อย แต่การแก้ปัญหาคอขวดในการผลิต การฟื้นตัวของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศ และราคาน้ำมันโลกที่ลดลง อาจทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยกลับมาเกินดุลอีกครั้งในปี’66 และปี’67
กล่าวเพิ่มเติมง่ายๆ ว่า ดุลบัญชีเดินสะพัดคือ ตัวบอกว่า เงินไหลเข้าประเทศจากการค้าขายและการท่องเที่ยว เป็นบวกหรือลบอย่างไร เมื่อการส่งออกฟื้นตัวแล้ว และการท่องเที่ยวกลับมา เงินก็จะไหลกลับมา หรือเรียกว่า เงินไหลนองทองไหลมานั่นเอง
3. สำหรับทิศทางอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น โดยในเดือน พ.ค. อัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ระดับ 7.1% ทะลุกรอบเป้าหมายของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ส่วนใหญ่เป็นผลจากราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้น ส่งผลต่อระดับราคาสินค้า แต่เห็นว่าการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้ายังกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มพลังงานและอาหาร ไม่ได้ปรับขึ้นในทุกหมวดสินค้า ดังนั้นการเพิ่มขึ้นของเงินเฟ้อจึงไม่ได้เป็นแบบยั่งยืน จะค่อยๆลดระดับลงมาอยู่ที่ 2.2% ในปี 2566 อัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นจะส่งผลกระทบกับครัวเรือนยากจนเป็นหลัก ทำให้มีค่าใช้จ่ายเรื่องอาหารและน้ำมันเยอะขึ้น โดยมีการประเมินว่าหากมีการเพิ่มขึ้นของราคาอาหารและน้ำมัน 10% จะส่งผลให้ครัวเรือนมีความยากจนมากขึ้น 1.5 เท่า
ธนาคารโลกระบุว่า “เงินเฟ้อคือความเสี่ยงหลักของเศรษฐกิจไทย แต่ยังอยู่ในระดับที่ยังรับมือได้ เนื่องจากว่าไทยมีเครื่องมือทางการคลังเพียงพอที่จะรับมือ”
4. ประการสำคัญ ความเข้มแข็งของทุนสำรองระหว่างประเทศไทยของไทยแข็งแกร่งมาก
ก่อนวิกฤต 2540 ทุนสำรองไทยต่ำกว่าหนี้ต่างประเทศ
แต่ปัจจุบัน ทุนสำรองไทย สูงกว่าหนี้ต่างประเทศ 1.3 เท่าตัว
ข้อมูลจากธนาคารโลกระบุว่า ทุนสำรองระหว่างประเทศของไทย อยู่ที่ระดับ 49.5% ของจีดีพี
ถึงกับบอกว่า “ไทยยังคงรักษาความแข็งแกร่งของกันชนทางเศรษฐกิจต่อผลกระทบภายนอกที่รุนแรง”
ยังมีความท้าทายจากนโยบายภาคการคลังที่ต้องติดตาม โดยหลังจากช่วงโควิด-19 ระบาด ไทยได้ออกส่วนหนี้สาธารณะ ธนาคารโลก ระบุว่า “รัฐบาลออกมาตรการเยียวยาจำนวนมาก ผ่านการออกกฎหมายกู้เงินพิเศษเพื่อประคองเศรษฐกิจ ถือว่าไทยทำได้เร็วและทำได้ดีแต่ช่วงนี้เป็นช่วงที่เศรษฐกิจกำลังฟื้นตัว จำเป็นต้องปรับนโยบายจากการเยียวยาสู่การฟื้นฟู ทำให้การใช้จ่ายภาคการคลังลดลง ส่งผลให้รัฐบาลมีพื้นที่ทางการคลังเยอะขึ้น ซึ่งการกู้เงินในช่วงที่ผ่านมาทำให้หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้น 10% จากระดับ 49% มาเป็น 61% ขณะเดียวกันมองว่าการกู้ยืมใหม่ของรัฐบาลน่าจะหมดไปเพราะเข้าสู่การฟื้นตัว โดยคาดว่าระดับหนี้สาธารณะของไทยจะพุ่งสู่จุดสูงสุดที่ 62.5% ต่อจีดีพีในปีงบประมาณ’66”
ทั้งหมดนี้ คือ ภาพสะท้อนผ่านข้อมูลที่ปรากฏในรายงานของธนาคารโลก
มั่นใจว่า เศรษฐกิจไทยไม่ล่มสลาย ไม่ดับสูญ เพราะเราผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว แนวโน้มหลังจากนี้มีแต่จะฟื้นตัวต่อเนื่อง (เว้นแต่จะมีสงครามใหญ่มากกว่าที่เป็นอยู่ ซึ่งเป็นปัจจัยนอกเหนือการควบคุมของเรา)
ส่วนนักโกงกินหนีคุก ที่อยากกลับไทยโดยไม่ต้องเข้าคุก พยายามให้ลูกน้องเคลื่อนไหวอย่างหนักในประเทศ เพื่อให้อำนาจรัฐกลับมาอยู่ในมือคนที่พร้อมเอื้อประโยชน์ช่วยเหลือตนกลับบ้านโดยไม่ติดคุก จึงพยายามปั่นกระแสว่าต้องเปลี่ยนตัวนายกฯ เปลี่ยนรัฐบาลมาเป็นพรรคพวกของตัวเขาเอง นั่นไม่เกี่ยวอะไรกับความอยู่รอดของประเทศชาติเลย แต่เป็นเพื่อความอยู่รอดของตัวเองมากกว่า เพราะประเทศชาติส่วนรวมอยู่รอดอยู่แล้ว ด้วยความร่วมมือร่วมใจของทุกภาคส่วนที่ร่วมมือกับรัฐบาลในช่วงที่ผ่านมา
สันติสุข มะโรงศรี
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี