นายปรัก สุคน รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีต่างประเทศกัมพูชาในฐานะทูตพิเศษประธานอาเซียนได้แจ้งกับคณะทูตต่างประเทศเมื่อกลางเดือนกรกฎาคมว่าเขาได้เชิญรัสเซียมาร่วมประชุมกับอาเซียน และคู่เจรจาในเดือนสิงหาคม
กัมพูชาในฐานะประธานหมุนเวียนอาเซียนจัดให้มีการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศสมาชิกอาเซียน และหารือประเด็นต่างๆ ในภูมิภาคเพื่อแสวงหาลู่ทางแก้ปัญหาร่วมกัน
ในการประชุมครั้งนี้กัมพูชาได้เชิญจีน เกาหลีเหนือ ญี่ปุ่น รัสเซีย ฯลฯ มาร่วมประชุมเจรจาหารือในประเด็นเกี่ยวเนื่องกับสถานการณ์ในภูมิภาค
การเชิญรัสเซียมาร่วมประชุมได้สร้างความวิตกแก่หลายฝ่ายว่าจะเกิดความวุ่นวายเหมือนในกรุงจาการ์ตา
ประธานาธิบดีโจโก วิโดโด ลงทุนเดินทางไปมอสโกเพื่อเชิญประธานาธิบดีวลาดีมีร์ ปูติน มาร่วมประชุมผู้นำจี 20 ปลายปีนี้ในระยะเวลาที่ใกล้ๆ กับประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดประชุมเอเปก
แต่การประชุมเตรียมการสำหรับผู้นำที่คาดว่าจะมาร่วมประชุมสุดยอดผู้นำจี 20 เปิดฉากด้วยลางร้ายเมื่อนายเซอร์เกย์ ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซียวอล์กเอาท์จากหัองประชุมตั้งแต่ 20 นาทีแรก เพราะเหตุว่า นายแอนโธนี่บลิงเกิล รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐผู้ไม่รู้กาลเทศะ เป็นแกนนำผู้ที่เห็นด้วยกับอเมริการุมประณามรัสเซียว่า “รุกรานยูเครนเป็นอาชญากรสงคราม”
การประณามด่าว่าผู้เข้าร่วมประชุมเพื่อเตรียมการล่วงหน้าโดยไม่รู้กาลเทศะของนายบลิงเกิล ทำให้รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซียเดินออกจากที่ประชุม และไม่กลับเข้าไปอีกเลย ทำให้ที่ประชุมเกิดความวุ่นวายไปต่อไม่ได้
แต่บังเอิญในวันที่ประชุมเตรียมการตรงกับวันที่นายชินโสะ อาเบะ อดีตนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นถูกยิงเสียชีวิต ทำให้ผู้แทนจากประเทศต่างๆ หันไปให้ความสนใจให้กับการลอบสังหารช็อกโลก ในที่ประชุมเตรียมการประชุมจี 20 ซัมมิต จึงกลายมาเป็นเรื่องพูดจาไว้อาลัยต่ออดีตนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นไปโดยปริยาย
ดังนั้นเมื่อทูตพิเศษประธานอาเซียนแจ้งต่อคณะทูตต่างประเทศว่าได้เชิญรัสเซียมาร่วมประชุมอาเซียน และประเด็นที่เกี่ยวข้องในภูมิภาค ทำให้หลายฝ่ายเกิดความกังวลว่าเมื่อผู้แทนจากวอชิงตันกับมอสโกมาเผชิญหน้าจะเกิดการประสานงากันเหมือนกับที่ประชุมในกรุงจาการ์ตาเมื่อวันที่ 8 ก.ค.ที่ผ่านมา โดยอย่างยิ่งเมียนมาเพิ่งประหารชีวิตนักโทษ 4 คนเพียงหนึ่งอาทิตย์ก่อนหน้าที่อาเซียนจะเริ่มประชุมตั้งแต่วันที่ 3 สิงหาคม หลายฝ่ายหวั่นใจว่านายบลิงเกิลผู้ไม่รู้กาลเทศะ จะด่ากราดทั้งรัสเซีย จีน และ เมียนมา
อย่างไรก็ตาม คอลัมน์นี้มั่นใจว่าสหรัฐฯจะไม่กล้าซ่าบังอาจด่าชี้หน้าใครๆ ต่อใครในกัมพูชา เพราะเหตุว่าปีนี้กัมพูชาเป็นประธานหมุนเวียนอาเซียน กัมพูชาเป็นมิตรที่สนิทแนบแน่นกับจีน รัสเซีย และเมียนมา ทำให้สหรัฐไม่กล้าซ่าเหมือนพฤติกรรมในกรุงจาการ์ตา และตอนที่มาประเทศไทย
นายฮุน เซน ประธานหมุนเวียนอาเซียนปีนี้นอกจากแนบแน่นกับจีนและรัสเซียแล้วยังเป็นคู่กัดตัวฉกาจของสหรัฐ ถึงขนาดสั่งให้กองทัพทำลายอาวุธสงครามทั้งหมดของสหรัฐที่ตกค้างจากสงครามกลางเมืองในกัมพูชา นอกจากนั้นรัฐบาลกัมพูชายังสั่งให้รื้อถอนทำลายสิ่งอำนวยความสะดวกที่กองทัพเรือสหรัฐสร้างไว้ที่ท่าเรือเรียมในอ่าวไทย และอนุญาตให้กองทัพเรือจีนสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกขึ้นมาใหม่เพื่ออำนวยความสะดวกให้เรือรบของจีนได้ใช้บริการเมื่อมาเทียบท่า
ส่วนท่าทีของนายปรัก สุคน ในฐานะทูตพิเศษประธานอาเซียนในกิจการเมียนมาได้แสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่เห็นด้วยกับท่าทีของสหรัฐในการแก้ปัญหาวิกฤตการเมืองในเมียนมา
ปรัก ในฐานะทูตพิเศษอาเซียน บอกที่ประชุมสัมมนาวิกฤตการเมืองเมียนมา ที่จัดโดยสถาบันเอเชียอาคเนย์ศึกษายูซฟ อิซฮัก เป็นองค์กรอิสระที่ตั้งอยู่ในสิงคโปร์โดย นายปรักพูดกับที่ประชุมผ่านทางวีดีโอคอลว่า
“สำหรับผู้ที่คาดหวังว่าวิกฤตการเมืองในเมียนมาจะสามารถหาข้อยุติในเร็ววัน...ผมคิดว่าความหวังนั้นคงไม่เกิดขึ้น การแก้ปัญหาขัดแย้งที่ซับซ้อนต้องใช้เวลาเราไม่มีไม้เท้าวิเศษที่ชี้ให้ปัญหาหมดไปในพริบตา
การแก้ปัญหาวิกฤตการเมืองในเมียนมาทุกฝ่ายต้องร่วมมือกันใช้ความอดทนอดกลั้น สำหรับประเด็นที่หลายฝ่ายเรียกร้องให้อาเซียนมีปฏิสัมพันธ์กับเอ็นยูจี (รัฐบาลเงาฝ่ายนางออง ซาน ซู จี) และเชิญออง ซาน ซู จีี เข้าร่วมเจรจาเพื่อความปรองดองแห่งชาตินั้น...
..ในฐานะทูตพิเศษประธานอาเซียนในกิจการเมียนมา ผมขอเรียนว่า เราได้สร้างความก้าวหน้าไปมากเป็นที่น่าพอใจ คือเราได้เริ่มต้นพูดจากับฝ่ายที่เรียกว่าผู้ก่อการร้ายบ้างแล้ว แต่การพูดเรื่องละเอียดอ่อนไม่จำเป็นต้องขึ้นไปตะโกนบนหลังคา..”( “We don’t have to shout from the rooftop..”)
นายปรักกล่าวด้วยว่าประเทศกัมพูชาใช้เวลาถึงยี่สิบปีหลังจากที่ขับไล่เขมรแดงออกจากกรุงพนมเปญเมื่อ 2522 ถึงสามารถสร้างสันติภาพในกัมพูชาได้
“การแสวงหาสันติภาพต้องใช้เวลา ใช้ความอดทนอดกลั้น และต้องได้รับความยินยอมพร้อมใจจากทุกฝ่ายที่มีส่วนได้ส่วนส่วนเสีย เพราะโดยธรรมชาติความขัดแย้งเกิดจากผลประโยชน์ และการแบ่งปันอำนาจไม่ลงตัว การเจรจาเรื่องผลประโยชน์ทางการเมืองต้องใช้เวลานาน
นายปรัก กล่าวด้วยว่าการเยือนเมียนมาครั้งที่สองเมื่อวันที่ 29 มิ.ย. ถึง 3 ก.ค. ได้รับผลเป็นที่น่าพอใจยิ่งที่สามารถกรุยทางให้นำสิ่งของไปช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ชาวเมียนมาตามฉันทามติ 5 ข้อของอาเซียนได้
นายปรักพูดด้วยว่าเขาสามารถเปิดพื้นที่สำหรับการเจรจาการเมืองกับกลุ่มที่รัฐบาลทหารเรียกว่า“ผู้ก่อการร้าย” ในภาวะเงื่อนไขบางประการรวมทั้งต้องให้พวกเขามีคำมั่นว่าไม่มีความต้องการเข้ามาเป็นรัฐบาลแทน (รัฐบาล) ที่มีอยู่..
ในการเดินทางเยือนเมียนมาครั้งที่สองเขาไม่ได้พบกับนางออง ซาน ซู จี แต่ได้รับคำมั่นว่าในอนาคตต้องได้พบกับเธอและ ทุกฝ่าย
ในการให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว CNA ของสิงคโปร์นายปรักกล่าวว่าเขาจะเยือนเมียนมาอีกในเดือนกันยายน และ เน้นว่าการเปิดพื้นที่พูดจากับฝ่ายต่อต้านที่รัฐบาลขึ้นบัญชีเป็นผู้ก่อการร้ายต้องใช้ความระมัดระวังเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่ต้องพูดจากันในที่ลับไม่ใช่#ขึ้นไปตะโกนบนหลังคา
ขึ้นไปตะโกนบนหลังคาคงเป็นคำพังเพยของกัมพูชา ที่ทูตพิเศษอาเซียนในกิจการเมียนมานำมาสั่งสอนอเมริกาเรื่องมารยาททางการทูต
เป็นที่ชัดเจนว่าบัดนี้สมาชิกสมาคมประชาชาติอาเซียนแบ่งออกเป็นสองฝ่ายคืออาเซียนในกลุ่มสุวรรณภูมิ ได้แก่ สปป.ลาว เมียนมา กัมพูชา และประเทศไทย กับสมาชิกอาเซียนนอกสุวรรณภูมิ
อาเซียนกลุ่มสุวรรณภูมิใช้วิธีการทูตเงียบ (Quiet Diplomcy) คือติดต่อประสานงานพบปะเจรจาหาข้อยุติกันภายในกับฝ่ายที่เกี่ยวข้องโดยตรงเงียบๆ ไม่โฉ่งฉ่างออกข่าวโพนทะนาว่าทำนั้นโน้นนี้
ส่วนสมาชิกอาเซียนนอกสุวรรณภูมิส่วนใหญ่ ติดเชื้อโรคโวยวายมาจากอเมริกาคือเอะอะก็คว่ำบาตร ประณามกดดัน ประท้วงสนับสนุนให้ฝ่ายต่อต้านจับอาวุธทำสงครามประชาชนกับรัฐบาลทหารเมียนมาเรียกว่า “สปริงรีโวลูชั่น”
ส่วนประเทศในสุวรรณภูมิใช้วิธีการทูตเงียบที่ปฏิบัติได้จริง และ มันได้ผลมาแล้วในการแก้ปัญหาสงครามกลางเมืองกัมพูชา
การทูตโอ้อวดกักขฬะโวยวายแบบสหรัฐนอกจากไม่ได้ผลแล้วอาจทำให้เกิดความหายนะเพิ่มขึ้น เช่น ในประเทศยูเครน ถ้าวอชิงตันไม่เอะอะโวยวายว่ายูเครนกำลังชนะ รัสเซียไปต่อไม่ได้ ประเทศยูเครนคงไม่หายนะถึงขนาดนี้
สถานการณ์ในเมียนมาก็เช่นกัน หากสหรัฐไม่ประโคมข่าวเอะอะโวยวายสร้างกระแสความยิ่งใหญ่ของรัฐบาลเงา หรือเอ็นยูจี และความเข้มแข็ง กล้าหาญของกองกำลังพิทักษ์ประชาชน หรือ พีดีเอฟที่ตะวันตกสร้างขึ้นมาว่าเที่ยววางระเบิดที่นั้นที่โน้นที่นี้ โจมตีค่ายทหารจุดนั้น สังหารผู้ที่สงสัยว่าเป็นสายให้รัฐบาล คนนั้นคนนี้ #ไม่แน่บางทีป่านนี้นางออง ซาน ซู จี อาจยังอยู่ในบ้านพักส่วนตัวไม่ต้องเข้าคุกเข้าตะราง
และเป็นไปได้ว่านักโทษ 4 คนที่ถูกประหารชีวิต ไม่แน่อาจยังมีลมหายใจอยู่ก็เป็นไปได้หากสหรัฐไม่โวยวายท้าทาย กดดันรัฐบาลทหารเมียนมามากเกินไป
ดังนั้นในการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนสี่วันเริ่มตั้งแต่วันที่ 3 สิงหาคมที่จะถึงนี้ถ้าสหรัฐอเมริกา ยังด่ากราดรัสเซีย จีน และ รัฐบาลทหารเมียนมา ฟันธงได้ว่า ความหายนะจะเกิดขึ้นกับฝ่ายที่อเมริกาให้การสนับสนุน
สุทิน วรรณบวร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี