การลงคะแนนเสียงเลือกตั้งเพื่อเลือกผู้สมัครแข่งขันให้ไปเป็นตัวแทนของประชาชนพลเมืองในสภานั้น ถือว่าเป็นประชาธิปไตยแบบทางอ้อม (Indirect Democracy) เนื่องจากเป็นการมอบหมายให้ตัวแทนไปทำหน้าที่บริหารจัดการบ้านเมืองเพื่อความผาสุก และความเจริญก้าวหน้าของสังคมโดยรวม
ส่วนประชาธิปไตยแบบทางตรง (Direct Democracy) นั้นคือการที่ประชาชนพลเมืองสามารถร่วมกันออกเสียงลงคะแนน ตัดสินใจในเรื่องหนึ่งเรื่องใดของบ้านเมือง ไม่ว่าจะเป็นไปในระดับท้องถิ่น หรือระดับชาติก็ตาม เช่น การลงมติเพื่อให้มีการขุดคลองสาธารณะ เป็นต้น หรือจะเป็นการลงคะแนนเพื่อตัดสินใจว่า เห็นด้วย หรือไม่เห็นด้วย กับเรื่องสำคัญๆ (การลงประชามติ) เพื่อนำผลไปสู่สภาเพื่อออกกฎหมาย หรือจัดตั้งงบประมาณ เช่น เรื่องการทำแท้ง หรือการมีระบบรถไฟเชื่อมโยงทั้ง 77 จังหวัดของประเทศ เป็นต้น
เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2565 ภายหลังการสิ้นสุดการอภิปรายไม่ไว้วางใจคณะรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่รัฐสภา ก็ได้มีคณะอาจารย์ ประกอบด้วย
1) ผศ.ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล อาจารย์ประจำภาควิชากฎหมายมหาชน คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
2) ผศ.วันวิชิต บุญโปร่ง อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต
3) รศ.ดร.ภูมิ มูลศิลป์ ประธานหลักสูตรนิติศาสตรบัณฑิต คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
4) รศ.ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต อาจารย์คณะพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า)
ได้ร่วมกันจัดระบบการออกเสียงลงคะแนนผ่านระบบออนไลน์ ด้วยมือถือ และไอแพด เพื่อให้ประชาชนพลเมืองได้แสดงความคิดเห็นว่า ไว้วางใจ หรือไม่ไว้วางใจ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และคณะ คู่ขนานกันไปกับการลงคะแนนของ สส. ที่เกิดขึ้นในสภาผู้แทนราษฎรโดยมีประชาชนพลเมืองเข้าร่วมกว่าห้าแสนคน และกว่า90 กว่าเปอร์เซ็นต์ ลงมติว่าไม่ไว้วางใจพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และคณะรวม 11 คน ซึ่งตรงกันข้ามกับผลโหวตที่ออกมาของบรรดาผู้แทนราษฎรจำนวน 471-472 คนในสภา ชนิดหนังคนละม้วน
การจัดการลงคะแนนเสียงโดยคณะอาจารย์ดังกล่าวจัดได้ว่าเป็นการทำภารกิจด้านประชาชน จัดได้ว่าเป็นปรากฏการณ์ของประชาธิปไตยแบบทางตรง (Direct Democracy) ซึ่งเป็นการสะท้อนประชาธิปไตยของการมีส่วนร่วม (Participatory Democracy) และประชาชนพลเมืองเป็นเจ้าของอำนาจและผู้ตัดสินใจต่อความเป็นไปในบ้านเมือง
ก็ขอชมเชยท่านอาจารย์ และมหาวิทยาลัยต่างๆดังกล่าวด้วยความชื่นชม เพราะถือเป็นการเปิดศักราชของการมีส่วนร่วมในความเป็นไปของบ้านเมืองของประชาชนพลเมืองโดยตรง และก็คงจะเป็นจุดเริ่มต้นของการเมืองในระบอบประชาธิปไตยแบบการมีส่วนร่วมที่ใช้เทคโนโลยีการสื่อสารสมัยใหม่เป็นเครื่องมือกลไก
นัยของเรื่องก็คือ ที่ผ่านๆ มา ก็มักจะเห็นคำสั่งของนายกรัฐมนตรี มติของคณะรัฐมนตรี และมติของเสียงข้างมากในสภา เป็นตัวตัดสินใจ และกำหนดทิศทางของประเทศ โดยประชาชนพลเมืองมิได้มีส่วนรู้เห็นหรือมีส่วนร่วมแต่อย่างใด หากแต่ต้องก้มหน้ารับสภาพกันไปว่า เมื่อประชาชนออกเสียงลงคะแนนเลือกผู้แทนไปแล้ว ก็ทำได้เพียงมอบให้เขาไปทำหน้าที่ในรัฐสภา ไปเป็นคณะรัฐมนตรี โดยไม่สามารถมีปากมีเสียง ซึ่งในแง่เดียวกัน บรรดาผู้แทนราษฎร และบรรดารัฐมนตรี ก็มักจะบริหารอะไรๆ ไปตามอำเภอใจ โดยอ้างว่า เมื่อได้รับเลือกเข้ามาทำหน้าที่แทนประชาชน ได้รับอำนาจจากประชาชนพลเมืองแล้ว ก็ไม่ต้องหันกลับไปถามประชาชนพลเมือง หรือให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น ปรึกษาหารือ หรือมีส่วนร่วมในการตัดสินใจอีกต่อไป
ในขณะเดียวกันประเทศก็มีระบบการตรวจสอบรัฐบาลที่ฝากไว้ให้กับหน่วยงานยุติธรรม และองค์กรอิสระต่างๆ อยู่แล้ว นั่นจึงทำให้เวทีที่ประชาชนจะมีส่วนร่วมในการคัดท้ายการบริหารบ้านเมืองของรัฐบาล ก็มักจะจำกัดจำเขี่ย ไม่กว้างขวาง หรือต่อเนื่อง ทำให้เกิดช่องว่าง เกิดความเหินห่างระหว่างประชาชนพลเมืองเจ้าของอำนาจ กับผู้แทนราษฎร ผู้รับอำนาจและผู้ที่ได้รับมอบหมายไปโดยปริยาย
ในปัจจุบันนี้ ด้วยเครื่องมือกลไกของเทคโนโลยีสมัยใหม่ ได้เอื้อให้มีการเข้าถึงซึ่งข้อมูลข่าวสารและการกระจายข้อมูลข่าวสารกันได้อย่างทั่วถึง อีกทั้งก็อำนวยให้มีการเชื่อมโยงระหว่างประชาชนต่อประชาชน และระหว่างฝ่ายผู้ปกครองกับฝ่ายผู้อยู่ใต้การปกครองได้อย่างกว้างขวางทั่วถึง ซึ่งเปิดโอกาสให้ฝ่ายผู้ปกครองสามารถนำข้อเสนอต่างๆ ที่เกี่ยวกับผลประโยชน์ส่วนรวมไปแจ้ง ปรึกษาหารือ และขอให้ประชาชนพลเมืองรับทราบ รับพิจารณา และตัดสินใจได้ ซึ่งนอกจากจะเป็นการขยายการมีส่วนร่วมกันอย่างกว้างขวางแล้ว ก็เป็นการลดการกระจุกตัวของอำนาจ และวิธีการบริหารราชการด้วยมติของกลุ่มชนผู้ปกครองผู้ใช้อำนาจอันน้อยนิด โดยปราศจากการชี้แจง และการร่วมแสดงความคิดเห็นอย่างกว้างขวางลึกซึ้ง
ก็ขอยกตัวอย่างที่ว่า การที่รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา กล่าวถึงการที่ไทยจะมุ่งไปสู่เศรษฐกิจแบบ 4.0, เศรษฐกิจแบบ BCG, พื้นที่เศรษฐกิจพิเศษ ไปจนถึงระบบการที่จะก่อสร้างเส้นทางคมนาคม ถนน ทางรถไฟ และทางเครื่องบินแบบคู่ขนาน ทั้งหมดเป็นการตัดสินใจ และคำสั่งของตัวนายกรัฐมนตรี ที่ไม่ปรากฏถึงการจัดทำการวิจัย ค้นคว้า และการประเมินซึ่งความเป็นไปได้ และการคุ้มค่า และต่อผลกระทบต่อชุมชน ออกมาสู่สาธารณชนแต่อย่างใดสะท้อนถึงการที่รัฐบาลไม่ได้คิดคำนึงถึงการมีส่วนร่วมของพลเมืองแต่อย่างใด จะอ้างว่ายุ่งยาก วุ่นวาย เสียเวลา ในสมัยนี้ก็คงไม่ได้ เพราะเรามีเทคโนโลยีสื่อสารสมัยใหม่ ที่สามารถติดต่อสื่อสาร และเข้าถึงซึ่งประชาชนพลเมือง ได้อย่างสะดวก รวดเร็ว อย่าลืมว่าประเทศไทยนั้นมีกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมอยู่ด้วย
ก็หวังว่าต่อไปนี้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา คณะรัฐมนตรี สมาชิกรัฐสภา พรรคการเมือง กระทรวง ทบวง กรมทั้งหลาย รวมทั้งรัฐวิสาหกิจ และกองทุนพัฒนาต่างๆ จะวางแผนทำโครงการใดๆ ก็ต้องเอาประชาชนพลเมืองเป็นที่ตั้ง และมีความเข้าอกเข้าใจเกี่ยวกับประชาธิปไตยแห่งการมีส่วนร่วมของประชาชน และที่สำคัญต้องนำเอาประชาธิปไตยแบบทางตรงมาใช้ อันได้แก่ การเปิดทางให้ประชาชนพลเมืองได้ใช้สิทธิ์ และหน้าที่ในการตัดสินใจ ไม่ว่ากิจหนึ่งใดจะเป็นไปในระดับตำบล อำเภอ จังหวัด ภูมิภาค (กลุ่มจังหวัด) หรือระดับชาติก็ตาม เมื่อคนไทยต่างคุ้นเคยกับการออกเสียงลงคะแนนเพื่อคัดเลือกผู้ชนะการแข่งขันการร้องรำทำเพลงด้วยระบบโทรศัพท์มือถือมาตั้งนานแล้ว ฉะนั้นการจะใช้โทรศัพท์มือถือเพื่อร่วมตัดสินใจในเรื่องบ้านเมืองหนึ่งใด ก็มิใช่เรื่องยากแต่อย่างใด ซึ่งหากเปิดโอกาสให้โหวตเรื่องบ้านเมือง ก็จะก่อให้เกิดการกระตือรือร้น ตื่นรู้ ตื่นทำ ความเป็นไปของการบ้านการเมืองอย่างกว้างขวางอีกด้วย
แวดวงมหาวิทยาลัย กระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม ก็อยู่ในฐานะที่จะมีบทบาทอันสำคัญในการเสริมสร้างองค์ความรู้และการมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นและการตัดสินใจของประชาชนพลเมืองต่อความเป็นไปของบ้านเมืองได้โดยตรงด้วยระบบเทคโนโลยีการสื่อสารสมัยใหม่
ซึ่งผมมั่นใจว่า ท่านอาจารย์ทั้ง 4 ท่านดังกล่าวก็คงจะให้คำแนะนำและพร้อมที่จะให้ความร่วมมือ เพื่อส่งเสริมประชาธิปไตยของการมีส่วนร่วม และประชาธิปไตยแบบทางตรงนี้ได้อย่างแน่นอน
และก็หวังว่าคณะกรรมการการเลือกตั้งจะตระหนักและให้ความสำคัญกับประชาธิปไตยแบบทางตรงนี้อย่างจริงจังด้วย
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี