เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2565 สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้จัดการอบรมหลักสูตรการพัฒนาการเมืองและการเลือกตั้งระดับสูง รุ่นที่ 12 (พตส.12) โดย นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี บรรยายหัวข้อ “การเลือกตั้งที่สุจริตและเที่ยงธรรม กับการพัฒนาการเมืองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” ว่า
การเลือกตั้งที่พึงปรารถนาที่สุดคือการเลือกตั้งที่ดีแต่วันนี้การเลือกตั้งที่ดีต้องสุจริตและเที่ยงธรรม ตรงไปตรงมาไม่มีกลอุบายแอบแฝง ไม่มีวิชามาร เที่ยงตรง มีคุณธรรมไม่ลำเอียง ไม่เลือกปฏิบัติ ไม่สองมาตรฐาน ซึ่งทั้งหมดรวมกันเป็นการเลือกตั้งที่ดี
ทั้งนี้ การปกครองระบอบประชาธิปไตยต้องอาศัยพัฒนาการไม่ใช่เกิดขึ้นแล้วจะสมบูรณ์เลย แต่ต้องมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ซึ่งในประวัติศาสตร์ตั้งแต่การปกครองแบบประชาธิปไตยโดยตรงสมัยกรีก ระบอบประชาธิปไตยในอังกฤษ ที่ทำให้เกิด Magna carta เกิดพัฒนาการระบบรัฐสภา จนถึงประชาธิปไตยแบบอ้อมในปัจจุบัน
“การปกครองระบอบประชาธิปไตยปัจจุบันถือว่าเป็นระบอบที่ดีที่สุด เพราะมีข้อเสียน้อยที่สุด สิ่งสำคัญคือการเลือกตั้งที่สุจริตและเที่ยงธรรม ตามหลักสหประชาชาติ คือ 1.การเลือกตั้งต้องถือเป็นเสรีภาพ แต่ระยะหลังมีพัฒนาการกำหนดให้การเลือกตั้งเป็นหน้าที่ จำเป็นต้องมีกฎเกณฑ์บังคับบางอย่าง 2.ต้องเป็นการเลือกตั้งที่มีความเสมอภาค เท่าเทียมกันไม่เลือกปฏิบัติ 3.ต้องเป็นการเลือกตั้งโดยตรง หมายถึงถ้าประชาชนเลือกใครคนนั้นก็ได้เป็นผู้แทน หรือเป็น สส. 4.ต้องเป็นการออกเสียงที่ลับ ไม่สามารถบอกได้ว่าใครเลือกใคร5.ต้องเป็นการเลือกตั้งที่ให้สิทธิแก่คนทั่วไป ไม่ไปตัดสิทธิโดยไม่จำเป็น 6.ต้องมีวิธีจัดการเลือกตั้งที่ดี ต้องมีกรรมการกลางจัดการเลือกตั้ง ซึ่งประเทศไทยมี กกต.ทำหน้าที่ดังกล่าว นอกจากนั้นต้องมีการกำหนดรูปแบบเลือกตั้งที่เป็นธรรม และต้องอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ใช้สิทธิมากเท่าที่จะมากได้”
นายวิษณุกล่าวอีกว่า สำหรับวิธีจัดการเลือกตั้งในโลกมีหลายวิธี และแต่ละประเทศก็แตกต่างไม่เหมือนกัน อังกฤษเลือกแบบ 1 คน 1 เขต อเมริกา เยอรมัน ก็จะพิสดารออกไปและประเทศไทยก็เคยพิสดาร และกำลังจะพิสดารยิ่งขึ้นในไม่ช้า และกำลังจะย้อนกลับไปอย่างเก่าอีกหรือไม่ก็ไม่รู้ แต่ทั้งหมดเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้ เรียกว่าพัฒนาการของการเลือกตั้ง ซึ่งการเลือกตั้งในประเทศไทย เคยถูกเรียกว่าการเลือกตั้งที่ทุจริตที่สุด คือการเลือกตั้งในปี 2500 แต่ปัจจุบันกำลังพัฒนาให้การเลือกตั้งสุจริตและเที่ยงธรรม ทั้งนี้ก็ไม่รู้ว่าการเลือกตั้งในอนาคตอาจจะผันแปรไปเป็นอย่างไร
“การพัฒนาการเลือกตั้งของไทยมีการพัฒนาไปมาก วันนี้การเลือกตั้งของไทยมีความสุจริตและเที่ยงธรรม ซึ่งอาจจะสุจริตและเที่ยงธรรมพอไม่พอก็ต้องพัฒนากันต่อไป ทั้งนี้ กกต.มีหน้าที่ที่จะจัดการเลือกตั้งให้สุจริตและเที่ยงธรรม ซึ่งหากไม่สุจริตก็สามารถให้ใบเหลือง ใบแดง ใบส้ม และมีอำนาจให้จัดการเลือกตั้งใหม่ได้ แต่ยังเป็นปริศนาว่าจะทำแบบไหนและทำอย่างไร ซึ่งวันนี้ก็พัฒนามาถึงขั้นการเลือกตั้งจะเอา 500 หาร หรือเอา 100 หาร ก็เป็นตัวแปรตัวหนึ่งในคำว่าสุจริตและเที่ยงธรรมด้วยเหมือนกัน” นายวิษณุ กล่าว
เมื่อถามว่าสูตรคำนวณ สส.บัญชีรายชื่อ หาร 100 หรือหาร 500 จะสอดคล้องกับหลักเกณฑ์การเลือกตั้งที่สุจริตและเที่ยงธรรม นายวิษณุกล่าวว่า ไม่สามารถตอบได้ ขอไม่ตอบเนื่องจากขณะนี้ยังมีการถกเถียงกันอยู่ในสภา
ผมขอขีด “เส้นใต้บรรทัด” ที่คำว่า “ประเทศไทยก็เคยพิสดาร และกำลังจะพิสดารยิ่งขึ้นในไม่ช้า” ของอาจารย์วิษณุ เครืองาม ไว้สัก 500 เส้น และขอเน้นย้ำว่า รัฐสภานั่นแหละ ที่กำลังผลิตความพิสดารนี้ โดยที่ไม่ได้มุ่งหมายผลิตเพื่อ “หลักการที่ถูกต้อง” หรือเพื่อนำไปสู่ “ความสุจริตและเที่ยงธรรม” ทว่า เต็มไปด้วยลูกล่อลูกชนและความสับปลับ เป็นไปเพื่อ “ความได้เปรียบทางการแข่งขัน” ทั้งนั้น
1) การตั้งกติกาการเลือกตั้งใหม่ เริ่มจากการแก้รัฐธรรมนูญ ให้มีบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ เพื่อสะท้อนความต้องการของประชาชนคนเลือก ว่าตัวบุคคล หรือ สส.เขต ต้องการใครเป็น “ผู้แทนราษฎร” ในเขตนั้นๆ นี่เป็นการเลือกที่“ตรงที่สุด” สะท้อน “ความต้องการของผู้เลือก” ได้มากที่สุดจึงกำหนดให้มีถึง 400 คน และประเทศนี้ยังมีผู้คนที่มีความรู้ความชำนาญ แต่ไม่มี “พื้นที่หาเสียง” หรือไม่ชำนาญการทำพื้นที่ แต่ความรู้ความสามารถที่มี ก็เป็นประโยชน์กับประเทศชาติได้ จึงกำหนดให้มี สส.แบบบัญชีรายชื่อ ให้โควตา 100 ที่นั่ง ดังนั้น จึงเป็นเรื่องประหลาดที่สุด ที่เมื่อแยกบัตรเป็น 2 ใบแล้ว ยังต้องมาเถียงกันอีกว่าบัญชีรายชื่อควรจะหาร 100 หรือหาร 500 ทั้งๆ ที่ สส.เขต 400 คน ประชาชนเขาเลือกโดยตรงไปแล้ว อีก 100 คน เขาก็ใส่คะแนนแยกมาต่างหาก แล้วจะหาร 500 ทำไม
2) เสียงส่วนใหญ่ในกรรมาธิการ ที่สภามอบหมายให้ไปลงรายละเอียดก็ลงมติมาแบบนี้ แต่จู่ๆ ที่ประชุมร่วมรัฐสภาก็เปลี่ยนมติเป็นหาร 500 ซึ่งเวลานั้นถูกตีความทางการเมืองว่า ต้องการเอาใจ “พรรคปัดเศษ” จากการคำนวณคะแนนแบบ “พิสดาร” ให้ช่วยอุ้มรัฐบาลผ่านวิกฤตอภิปรายไม่ไว้วางใจ
3) นายวันชัย สอนศิริ สว. ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการสนามข่าว 101 ถึงปัญหาการประชุมรัฐสภา ที่องค์ประชุมไม่ครบ ทำให้การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.)ว่าด้วยการเลือกตั้งสส. (ฉบับที่...) พ.ศ....ที่กรรมาธิการพิจารณาเสร็จแล้ว ยังไม่ได้เริ่มพิจารณามาตราต่อเนื่อง ว่า เป็นการเล่นเกมองค์ประชุมเพื่อต้องการฟื้นสูตรคำนวณสส.บัญชีรายชื่อ ด้วยจำนวน 100 คน แทนจำนวน 500 คน ตามที่มติของรัฐสภาเห็นชอบ อย่างไรก็ดีในวันที่ 3 สิงหาคม ระหว่างที่พิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) กำหนดระยะเวลาดำเนินงานในกระบวนการยุติธรรม พ.ศ. .... ตนพบว่าตั้งแต่ช่วงเช้า มีการแจ้งสส.ให้กลับ เพื่อให้มีปัญหาเรื่ององค์ประชุม และร่างพ.ร.ป.เลือกตั้งสส. พิจารณาไม่แล้วเสร็จตามกรอบเวลา 180 วัน หรือ 15 สิงหาคม โดยหวังว่าจะให้พลิกกลับไปใช้สูตรคำนวณสส.บัญชีรายชื่อ ด้วยจำนวน 100 คน ซึ่งเมื่อเป็นไปตามนั้น ขั้นตอนของรัฐธรรมนูญกำหนดให้กลับไปใช้ร่างพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งสส. ฉบับที่เสนอให้รัฐสภาวาระแรก ซึ่งกำหนดสูตรคำนวณที่ใช้จำนวน 100 คนหาค่าเฉลี่ยสส.บัญชีรายชื่อ ซึ่งกรณีดังกล่าวนั้นตนมองว่าพรรคเล็กร่วมรัฐบาลถูกหลอก
“ผมเข้าใจว่าเรื่องนี้เป็นเกมการเมือง ที่มีการตกผลึกกันภายหลังว่าสูตรหารด้วยจำนวน 500 คนนั้นดันไปสุด และต้องการกลับไปใช้จำนวน 100 คน หากจะใช้ช่องทางของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) หรือรอศาลรัฐธรรมนูญ มีหลายขั้นตอนและทำให้เสียเวลา ดังนั้นการใช้เบี้ยใกล้มือ และทำให้เกิดการสมประโยชน์ร่วมกัน” นายวันชัย กล่าว
นายวันชัย กล่าวด้วยว่า เรื่องที่เกิดขึ้นดังกล่าวได้รับสัญญาณว่าเป็นเรื่องของสส. ไม่เกี่ยวกับสว. ดังนั้นเป็นเรื่องที่สส.ต้องตัดสินใจเรื่องที่อยู่ที่ไปของตนเอง ว่า จะใช้จำนวนใดกำหนดเป็นสูตรคำนวณสส.บัญชีรายชื่อ ส่วนกรณีที่สมาชิกรัฐสภาไม่เข้าร่วมเป็นองค์ประชุมทำให้ถูกวิจารณ์ว่าไม่ทำหน้าที่นั้น ตนมองว่าการทำหน้าที่มีหลายอย่าง เช่น การทำหน้าที่เพื่อให้กลับไปใช้สูตร 100 คนหาค่าเฉลี่ยสส.บัญชีรายชื่อ
นายวันชัยกล่าวโดยเชื่อว่าจะมีการนัดประชุมรับสภาวันที่ 9-10 สิงหาคม เพื่อให้ร่างพ.ร.บ.กำหนดระยะเวลาทำได้แล้วเสร็จ ส่วนร่างพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งสส. จะพิจารณาได้หรือไม่ ต้องขึ้นอยู่กับองค์ประชุม ว่าจะมีคนมาร่วมประชุมหรือไม่ เพราะองค์ประชุมเป็นหัวใจสำคัญ อย่างไรก็ดีที่ผ่านมานายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภาพยายามเต็มกำลัง แต่พรรคพลังประชารัฐ พรรคเพื่อไทย ไม่เข้าร่วม เช่นเดียวกันพรรคร่วมรัฐบาลที่ไม่มีเช่นกัน ดังนั้นแสดงว่าได้ตัดสินใจแล้วว่าจะเดินตามแนวทางนี้
4) นายคำนูณ สิทธิสมาน สมาชิกวุฒิสภา (สว.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ค “Kamnoon Sidhisamarn”มีเนื้อหาดังนี้... 10 สิงหา-โอกาสสุดท้าย ก่อนสูตร “หาร 100”จะกลับมาตามช่องทางพิเศษ!
ตารางการนัดประชุมสภาช่วงก่อนหลัง 15 สิงหาคมจะเป็นประมาณนี้ 8-9 สิงหาคม-ประชุมวุฒิสภา, 10 สิงหาคม-ประชุมร่วมกันของรัฐสภา, 11 สิงหาคม-ประชุมสภาผู้แทนราษฎร, 12-14 สิงหาคม-วันหยุดราชการ, 15-16 สิงหาคม-ประชุมวุฒิสภา, 17-19 สิงหาคม-ประชุมสภาผู้แทนราษฎร พิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2566 วาระ 2-3
10 สิงหาคมจึงจะเป็นวันประชุมร่วมกันของรัฐสภาวันสุดท้าย ก่อนวันที่ 15 สิงหาคม ซึ่งเป็นวันครบกำหนด 180 วันที่รัฐธรรมนูญกำหนดให้รัฐสภาพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรให้แล้วเสร็จ ถ้าไม่เสร็จ จะถือว่ารัฐสภาให้ความเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญร่างหลักที่ใช้ในการพิจารณาวาระ 2 ทั้งนี้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญมาตรา 132 (1) และข้อบังคับการประชุมรัฐสภาข้อ 101
ขอขยายความชัดๆ อีกครั้งนะครับ
เริ่มที่รัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 132(1) “ให้รัฐสภาประชุมร่วมกันเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญให้แล้วเสร็จภายในเวลาหนึ่งร้อยแปดสิบวัน...ถ้า
ที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาพิจารณาไม่แล้วเสร็จภายในกำหนดเวลาดังกล่าว ให้ถือว่ารัฐสภาให้ความเห็นชอบตามร่างที่เสนอตามมาตรา 131”
ต่อด้วยข้อบังคับการประชุมรัฐสภา พ.ศ. 2563 ข้อ 101 “ในกรณีที่รัฐสภาพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญไม่แล้วเสร็จภายในกำหนดเวลาหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันที่ประธานรัฐสภาให้บรรจุระเบียบวาระการประชุมรัฐสภา ให้ถือว่ารัฐสภาให้ความเห็นชอบตามร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญที่ใช้เป็นหลักในการพิจารณาในวาระที่สอง...”
กรณีนี้ต้องพิจารณาประกอบกัน เพราะข้อบังคับการประชุมเป็นกฎหมายลำดับรองที่ออกตามรัฐธรรมนูญ
ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งนี้มีการเสนอเข้ามา 4 ร่างมีหลักการใกล้เคียงกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือใช้สูตรคำนวณสส.บัญชีรายชื่อแบบหาร 100 คือ 1. ร่างที่เสนอโดยคณะรัฐมนตรี ตามข้อเสนอของกกต. 2.ร่างที่เสนอโดยพรรคเพื่อไทย3.ร่างที่เสนอโดยพรรคพลังประชารัฐและพรรคร่วมรัฐบาล4.ร่างที่เสนอโดยพรรคก้าวไกล ทุกร่างใช้สูตรคำนวณสส.บัญชีรายชื่อแบบหาร 100 รัฐสภามีมติรับหลักการทั้ง 4 ร่าง และได้มีมติให้ใช้ร่างที่ 1 เป็นร่างหลักในการพิจารณาในวาระ 2
ร่าง 1 คือร่างของคณะรัฐมนตรี เป็นร่างที่เสนอมาเบื้องต้นจากกกต. และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ปรับแก้แล้ว เป็นกรณีที่เข้าเกณฑ์ตามข้อบังคับการประชุมรัฐสภาข้อ 101 นั่นหมายถึงการสูตรคำนวณสส.บัญชีรายชื่อแบบ“หาร 100” ที่เสนอโดยกกต. จะกลับมาทันทีในกรณีที่รัฐสภาพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไม่แล้วเสร็จภายใน 180 วัน ซึ่งเมื่อได้พิจารณาตารางเวลาแล้วแทบไม่มีอุปสรรคขวากหนามอีก เพราะไม่มีวันเหลือให้นัดประชุมร่วมได้อีกแล้ว เรียกว่าเป็นการกลับมาตาม “ช่องทางพิเศษ” ก็ว่าได้ !
หากถามว่าเหตุไฉนวุฒิสภาไม่สละวันประชุมในวันอังคารที่ 9 สิงหาคม ให้เหมือนเคย จะได้มีเวลาเพิ่มขึ้นสำหรับการประชุมร่วมกันของรัฐสภาอีก 1 วันเต็มๆ ตอบว่าเพราะในสัปดาห์หน้าวุฒิสภามีความจำเป็นต้องประชุม 2 วันตามปกติทั้งวันจันทร์ที่ 8 และวันอังคารที่ 9 ไม่อาจสละเวลาเปิดทางให้มีการประชุมร่วมฯในวันอังคารที่ 9 ได้ เพราะมีวาระสำคัญที่จำเป็นต้องพิจารณาให้แล้วเสร็จตามหน้าที่โดยเฉพาะที่มีกรอบระยะเวลาตามรัฐธรรมนูญบังคับไว้โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการทำให้สูญหาย พ.ศ. ...ที่มีความสำคัญไม่น้อยเช่นกัน และจะครบกำหนดกรอบระยะเวลาบังคับให้ต้องพิจารณาแล้วเสร็จภายในวันที่ 14 สิงหาคม 2565
ถามว่ามีความเป็นไปได้มั้ยที่จะพิจารณาร่างกฎหมายเลือกตั้งแล้วเสร็จในโอกาสสุดท้ายที่เหลืออยู่วันเดียว 10 สิงหาคม ตอบว่าในทางทฤษฎีแล้วเป็นไปได้ แต่ในทางความเป็นจริงถือว่ายากมากจนแทบจะเป็นไปไม่ได้
วันนี้ การเมืองไทยในระบบรัฐสภาเดินมาถึงจุดที่ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรแถลงเปิดเผยอย่างมั่นใจว่าการไม่แสดงตนเป็นองค์ประชุมถือเป็นการทำหน้าที่เพื่อประเทศชาติและประชาชนประการหนึ่งในกรณีที่เห็นว่าการประชุมนั้นกำลังทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง หรือออกกฎหมายไม่ถูกต้อง การอยู่ร่วมเป็นองค์ประชุมเพื่อเป็นเสมอเพียงเครื่องมือให้กับการกระทำที่ไม่ถูกต้องนั้นเสียอีกที่ควรถูกตั้งคำถามเช่นกัน
โอกาสครบองค์ประชุมให้ตลอดรอดฝั่งในวันที่ 10 สิงหาคม จึงแทบเป็นไปไม่ได้ ยิ่งมีปัจจัยเสริมที่วันนั้นบังเอิญตรงกับวันกำนันผู้ใหญ่บ้านที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวนหนึ่งมีภารกิจที่นัดหมายไว้ล่วงหน้าต้องร่วมงานในพื้นที่ จึงแทบ “ปิดประตู” ไปเลยว่าร่างกฎหมายเลือกตั้งสูตรหาร 500 จะพิจารณาแล้วเสร็จจนผ่านวาระ 3 เอาแค่ในวันที่ 10 สิงหาคมสามารถเปิดประชุมร่วมกันของรัฐสภาได้โดยไม่ล่าช้าเกินไปนักและสามารถพิจารณาร่างพระราชบัญญัติกำหนดเวลาการดำเนินงานในกระบวนการยุติธรรม พ.ศ. ... ได้จนจบวาระ 2-3 ก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว
แต่ก็ไม่ถึงกับ “ปิดประตูตาย” เสียทีเดียว เพราะเส้นทางที่จะกลับมาได้ของสูตรคำนวณ “หาร 100” นั้นยังมีช่องทางปกติอีกถึง 3 ช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นการที่ร่างกฎหมายเลือกตั้งที่กำลังพิจารณาค้างคาอยู่นี้ไม่ผ่านวาระ 3 หรือผ่านวาระ 3 แต่กกต.ให้ความเห็นกลับมาว่ามีปัญหาในทางปฏิบัติแล้วสมาชิกรัฐสภาลงมติแก้ไขกลับเป็นหาร 100 ตามความเห็นกกต. หรือยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญก่อนนำขึ้นทูลเกล้าฯ เพียงแต่ทั้ง 3 ช่องทางปกตินั้นไม่เร็วและแน่นอนเบ็ดเสร็จเหมือนช่องทาง
พิเศษ ทั้งนี้ ก็ขึ้นอยู่กับการชั่งน้ำหนักของสมาชิกรัฐสภาว่าผลของการเลือกช่องทางพิเศษนั้นคุ้มค่าแล้วกับความเสื่อมศรัทธาต่อระบบของพี่น้องประชาชนที่ส่วนใหญ่ยังเชื่อว่าการเข้าร่วมประชุมเป็นการทำหน้าที่พื้นฐานของสมาชิกรัฐสภาทุกคนสรุป : ความที่การหาร 100 เป็นภาวะ“สมประโยชน์” และเป็น “ความต้องการร่วม” ของพรรคใหญ่ทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล ไม่ว่าจะเลือกหนทางใดสุดท้ายก็คงไปจบที่การหาร 100 เพียงแต่การกลับไปกลับมาของฝ่ายกุมอำนาจรัฐ และการแอ่นอกรับว่าเป็นเกมทำสภาล่มของผู้นำฝ่ายค้านนั้น ไม่ใช่แค่เรื่อง “พิสดาร” บางทีก็รู้สึกว่ามี “ความอัปรีย์” ปนๆ อยู่ !!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี