สส.ประเดิมชัย บุญช่วยเหลือ ตั้งกระทู้ถามรักษาการนายกรัฐมนตรีในกรณีสิบตำรวจโทหญิงที่ได้รับการบรรจุให้ไปช่วยราชการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร หรือ กอ.รมน.ภาค 4 แต่ตัวผู้ได้รับการบรรจุงานอยู่ในจังหวัดราชบุรีและกำลังถูกดำเนินคดี ในข้อหาค้ามนุษย์และทำร้ายร่างกายว่า
“เป็นเรื่องปรกติไหมที่สิบตำรวจโทหญิง อายุ 39 ปี ได้รับการบรรจุให้เป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายบัญชีใน กอ.รมน.ภาค 4 แต่เจ้าตัวอยู่ที่ จังหวัดราชบุรี เป็นเรื่องปรกติหรือไม่ที่พนักงานบัญชีอยู่นอกพื้นที่ปฏิบัติงาน กอ.รมน. ภาค 4 ขาดแคลนพนักงานบัญชีจริงหรือ”
สส.ประเดิมชัย ถามในสภา และ เสริมว่า “การบรรจุสิบตำรวจโทหญิงคนนี้เป็นปรกติของระเบียบราชการ หรือ การบรรจุแบบฟาสต์แทรค (ทางลัด) หรือว่าสิบตำรวจโทหญิงคนนี้มีนายพลฝากชื่อไว้ให้ได้รับสิทธิพิเศษหลายประการ”
พลเอกชัยชาญ ช้างมงคล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ตอบกระทู้ในสภาแทนรักษาการนายกฯว่า“เป็นไปตามระเบียบราชการทุกประการ”
สิบตำรวจโทหญิง ศูนย์กลางของปัญหาที่สร้างความปั่นป่วนให้กองทัพบกและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) เพราะหลายฝ่ายตั้งข้อสงสัยเรื่องวุฒิการศึกษาและอายุสูงกว่าที่ระเบียบราชการกำหนดไว้
เรื่องฉาวโฉ่ของสิบตำรวจโทหญิง ถูกเปิดโปงออกมา หลังที่มีอดีตนายสิบทหารหญิงคนหนึ่งแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าเธอถูกนายจ้าง ซึ่งอ้างว่าเป็นเมีย สว.ทุบตีและทรมานร่างกาย เจ้าทุกข์ให้การกับตำรวจว่าเธอเป็นทหารหญิงที่ถูกส่งมาเป็นทหารรับใช้
สิบตำรวจโทหญิง ที่เธอกล่าวหา
เมื่อเรื่องนี้ถูกเปิดเผยออกมาสื่อมวลชนและสังคมไทยตั้งคำถามมากมายกับวุฒิสภา กองทัพบกและ สตช. เพราะสื่อส่วนใหญ่รายงานข่าวว่า ผู้ต้องหาเป็นเมียน้อย สว. ผู้ยิ่งใหญ่ที่สนิทสนมกับนายพลตำรวจนอกราชการและนายพลทหารนอกราชการที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็น สว.มาด้วยกัน และเกิดคำถามขึ้นมาในสังคมไทยว่า สว.บางคน กับนายพลนอกราชการกองทัพไทย และนายพลนอกราชการของ สตช.เน่าเฟะถึงขนาดนั้นหรือ
คำถามมากมายที่ค้างคาใจสังคมไทยได้รับการทำความเข้าใจในบางส่วนจากอดีตนายพลผู้มีตำแหน่งเหนือกว่าใครในกองทัพภาค 4 และนักวิชาการทาง
ด้านความมั่นคง
“เรื่องสิบตำรวจโทหญิง ที่กำลังฉาวโฉ่ มันเป็นยอดภูเขาน้ำแข็งของธุรกิจสงคราม”นายพลนอกราชการของกองทัพภาค 4 กล่าวกับแนวหน้า และ เสริมว่าที่พลเอกชัยชาญ ตอบในสถานะถูกต้องแล้วเพราะระเบียบของ กอ.รมน.เจ้าหน้าที่มีชื่อช่วยงานไม่จำเป็นต้องอยู่ในพื้นที่ก็ได้” อดีตผู้ยิ่งใหญ่แห่งกองทัพภาคที่ 4 กล่าว
เขาบอกกับแนวหน้าว่ากอ.รมน.ภาค 4 ตั้งอยู่ที่ค่ายอิงคยุทธบริหาร ในจังหวัดยะลา เมื่อยี่สิบกว่าปีที่แล้วไม่ค่อยมีงานอะไรทำเกือบจะยกเลิกไปแล้ว แต่สมัยที่ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ในปี 2547 เกิดมีเหตุการณ์รุนแรงขึ้นในสามจังหวัดภาคใต้
นายทักษิณได้ฟื้นชีพ กอ.รมน.ภาค 4 ขึ้นมา ด้วยความหวังว่า จะให้คนทั่วไป ได้ทำงานช่วยราชการ “ในตอนนั้น กอ.รมน.จ้างคนทั่วไปให้มาช่วยราชการได้รับเบี้ยเลี้ยงเดือนละ 6 พันบาท” แหล่งข่าวและกล่าวเสริมว่า ชาวบ้านทั่วไปที่ช่วยงาน กอ.รมน.ไม่จำเป็นต้องอยู่ในจังหวัดที่ทำงาน”
ตัวอย่าง เช่น น้องเป็นสื่อมวลชน นั่งทำงานอยู่ในกรุงเทพฯแต่ช่วยราชการ กอ.รมน.ในด้านการข่าว น้องเคยพบกับผู้ก่อการร้ายกลุ่มไหน หรือ สถานที่ใดก็ช่วยงานกอ.รมน.ได้...
...ในเบื้องต้น กอ.รมน.จ้างชาวบ้านห้าหกพันคน ส่วนใหญ่ให้ช่วยงานด้านการข่าวและงานด้านจิตวิทยามวลชนแต่นานเข้าเมื่อทหารจากกองทัพภาคที่ 1 ภาค 2
ภาค 3 เสริมกำลังมารวมกันในภาค 4 นายทหารผู้ประสานงานที่ไม่ได้เข้ามาในพื้นที่ ก็ถูกบรรจุให้เป็น กอ.รมน.แม้กระทั่งเจ้าหน้าที่ประสานในโรงพยาบาลที่ประสานงานให้ทหารบาดเจ็บส่งถึงโรงพยาบาลก็ถือว่าทำงานให้ กอ.รมน. ...
...“แต่ในระยะหลังมันมีคอร์รัปชั่น อย่างกรณีสิบตำรวจโทหญิงที่กำลังเป็นข่าว อย่างนี้ถือว่าคอร์รัปชั่นเพราะมีข่าวว่าอดีตนายทหารใหญ่ภาค 4 กับอดีตนายตำรวจใหญ่ สตช.สมคบกันจัดการให้ผู้ต้องหาคนนั้นได้กินเงินเดือนทั้งจาก กอ.รมน.และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ”
แหล่งข่าวเปิดเผยด้วยว่าเมื่อมีชื่อช่วยราชการ กอ.รมน.จะได้รับการเพิ่มอายุราชการสองเท่าได้รับเงินเพิ่มพิเศษจากการสู้รบ (พ.ส.ร.) ได้รับเลื่อนขั้นทวีคูณ
“เงินพ.ส.ร.นี้ได้รับไปจนตายนะ พี่ไปรบเวียดนามก็ได้รับเงินพ.ส.ร.เดือนละ 700 บาท ไปปีเดียวได้รับเงิน พ.ส.ร.ไปตลอดชาติ”
นักวิชาการด้านความมั่นคง กล่าวกับแนวหน้าว่า สิบตำรวจโทหญิงผู้ต้องหาเป็นเพียงหนึ่งยอดภูเขาน้ำแข็งที่โผล่ขึ้นมาให้เห็นความเน่าเฟะของหน่วยราชการ
“มีคนกลุ่มหนึ่งทำให้จังหวัดชายแดนภาคใต้กลายเป็นแหล่งธุรกิจสงครามคือสร้างบัญชีข้าราชการผีขึ้นมาเพื่อหากินกับงบประมาณ...เราใช้เงินไปกว่าห้าแสนล้านบาท ในการบริหารจัดการกับความรุนแรงในสามจังหวัดภาคใต้ในห้วงเวลา 18 ปี ที่ผ่านมา..เราใช้กำลังตำรวจ ทหารและพลเรือนกว่า 60,000 คน ในการปราบปรามและพัฒนา...
...ถ้าสอบสวนเจาะลึกลงไปจะพบว่ามีไม่ต่ำกว่า 20% ของเจ้าหน้าที่อยู่ในบัญชีข้าราชการคือบัญชีผีไม่มีหน้าที่ใดๆเกี่ยวข้องกับการทำงานในสามจังหวัดภาคใต้”
แหล่งข่าวกล่าวเสริมด้วยว่า ความรุนแรงในสามจังหวัดภาคใต้ยังคงดำรงต่อไปอีกนานเพราะมีคนบางกลุ่มในส่วนราชการ และ กลุ่มผู้ก่อการร้ายไม่ต้องให้เกิดความสงบ
“คือเมื่อความรุนแรงมันเงียบไป ไม่ฝ่ายใดก็ฝ่ายหนึ่งก็สร้างสถานการณ์ขึ้นมาเพื่อหารายได้จากธุรกิจสงครามต่อไป..กล่าวคือฝ่ายหน่วยงานรัฐก็ต้องได้เพิ่มงบประมาณ ฝ่ายผู้ก่อความไม่สงบก็มีรายได้หลักจากเงินบริจาคและมีรายได้เสริมจากการค้ายาเสพติดต่อไป”
ผู้เขียนเคยสัมภาษณ์คนสนิท ดร.ฮารง มุเล็ง อดีตเลขาธิการพูโล ในเมืองโกตาบารู ประเทศมาเลเซีย ตัวแทนพูโลกล่าวว่า “พูโลไม่มีอิทธิพลในภาคใต้ของประเทศไทย แม้แต่ตารางนิ้วเดียว ความรุนแรงในสามจังหวัดภาคใต้ มันเป็นฝีมือของมุสลิมหมวกแดง (มุสลิมนอกคอก) กับเจ้าหน้าที่รัฐสร้างสถานการณ์ขึ้นมา”
และในปี 2549 ผู้เขียนได้สัมภาษณ์นายลุกมานบิน ลิมา รักษาการประธานพูโลในขณะนั้น ในประเทศอินโดนีเซียก็ได้ข้อมูลมาคล้ายๆ กัน คือนายลุกมานกล่าวกับผู้เขียนว่า “ต้องขอบคุณนายทักษิณที่สร้างสถานการณ์รุนแรง ในมัสยิดกรือเซะและที่ตากใบขึ้น ทำให้ขบวนการแบ่งแยกดินแดนกลับมีชีวิตชีวาขึ้นมาหลังจากเงียบไปหลายปี..”
วันที่ 28 เมษายน 2547 เจ้าหน้าที่หน่วยงานมั่นคงโดยการกำกับของพลเอกพัลลภ ปิ่นมณี ผู้อำนวยการกอ.รมน.ภาค 4 ปะทะกับผู้ก่อความไม่สงบในมัสยิดกรือเซะ จังหวัดปัตตานี ทำให้คนร้ายตายในที่เกิดเหตุ 32 ศพ นายกฯในเวลานั้นชม พลเอกพัลลภว่า “ทำหน้าที่ได้ดีมาก”
ต่อมาวันที่ 25 ตุลาคมในปีเดียวกันเจ้าหน้าที่หน่วยงานมั่นคง จับผู้ประท้วงก่อความรุนแรงที่หน้าสถานีตำรวจอำเภอตากใบ ใส่รถบรรทุกทหารทับซ้อนกันจากอำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส มายังค่ายอิงคยุทธบริหาร ในจังหวัดยะลา ระหว่างการเดินทางหลายชั่วโมงผู้ประท้วงที่ทับซ้อนกันขาดอากาศหายใจตายไป 82 คน
เหตุการณ์ร้ายในสามจังหวัดภาคใต้ที่เงียบสงบไปกว่ายี่สิบปีเกิดปะทุรุนแรงขึ้นตั้งแต่วันที่ 3 ม.ค. 2547 เมื่อกลุ่มคนร้ายปล้นค่ายทหารในอำเภอเจาะไอร้อง จังหวัดนราธิวาส ฆ่าทหารตายสามนาย ปล้นอาวุธปืนหลายชนิดไปได้กว่า 300 กระบอก จนวันนี้ยังมีคนสงสัยว่า คนร้ายสิบกว่าคนปล้นค่ายทหารง่ายๆ ได้อย่างไร
อย่างไรก็ตาม จากเหตุการณ์ปล้นค่ายทหาร จนมาถึงวันนี้ ความรุนแรงยังดำรงอยู่ต่อไป จนหลายฝ่ายสงสัยว่า มีคนตั้งใจทำให้มันกลายเป็นธุรกิจสงครามหรือไม่
สุทิน วรรณบวร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี